บทที่ 7 ท่านพี่ผู้มีคุณธรรม

ชายหนุ่มอายุเพียงสิบแปด ทว่าสามารถสั่นสะเทือนจิตใจคนด้วยความหวาดกลัวได้ เวลาเจ็ดปีผ่านไป คนผู้นั้นจะพัฒนาความน่าหวั่นเกรงไปถึงเพียงไหน!

ฮ่องเต้ชิงหลานได้แต่รู้สึกเคร่งเครียดอยู่ภายใน หัวคิ้วขมวดแน่น

เยี่ยนซู่ไม่เผยอารมณ์ใด หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไปแล้ว ท่วงท่าความมั่นใจก็กลับคืนมาดังเดิม “ฝ่าบาท แม้ชางไห่อ๋องจะเป็นผู้ที่รับมือได้ยาก ทว่าเยี่ยนซู่ผู้นี้ก็ไม่ใช่ว่าใครจะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย หากมีข้ายังไม่เพียงพอ ฝ่าบาททรงอย่าลืมว่าข้ายังมีสำนักละอองหมอกที่ทรงอำนาจที่สุดหนุนหลังเยี่ยนหนิงลั่วซึ่งเป็นบุตรสาวของข้าอยู่อีก”

ยามเมื่อเยี่ยนซู่พูดจบ ความกังวลในจิตใจของฮ่องเต้แห่งชิงหลานก็พลันลดลง พระองค์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เมื่อครู่เราควบคุมความกังวลไม่ได้ ปล่อยชางไห่อ๋องทำให้หวาดกลัวอยู่เนิ่นนาน ดูท่าเราจะเริ่มแก่ตัวลงแล้ว”

“ฝ่าบาทยังทรงแข็งแรง หากพูดเรื่องอายุ มิใช่ว่ากระหม่อมอายุมากกว่าท่านถึงสองปีหรือ!?”

“ฮ่า ๆ เยี่ยนซู่ เมื่อตอนที่พวกเราสาบานเป็นพี่น้องกัน ตอนนั้นเรายังเป็นเพียงเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว ทว่าพริบตาเดียวลูก ๆ ของเรากลับเติบโตกันหมดแล้ว พวกเราทั้งคู่แก่ตัวลงแล้วจริง ๆ”

เมื่ออารมณ์ในอดีตได้ผุดขึ้นมา ฮ่องเต้จึงเดินลงจากบัลลังก์มังกร ตบไหล่เยี่ยนซู่เบา ๆ “วันนี้กินข้าวในวังเถิด นานแล้วที่พวกเราไม่ได้นั่งรำลึกอดีตกัน เจ้านำชัยชนะกลับมาครั้งนี้ควรพักผ่อนเสียให้พอ มีเจ้าอยู่ ข้าก็วางใจไปได้มาก”

ตอนนี้ฮ่องเต้ชิงหลานมิได้แทนตัวว่า ‘เรา’ อีกต่อไป ยามเมื่ออยู่กันสองคน คนทั้งคู่ยังคงเป็นพี่น้องที่แน่นแฟ้นกันดังเดิม

อาจกล่าวได้ว่าเยี่ยนซู่นั้นมีอำนาจรองจากคนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินชิงหลาน คำที่ผู้คนกล่าวว่าเขามีอำนาจสูงกลบฮ่องเต้นั้นไม่เป็นที่กังวลใจต่อฮ่องเต้แต่อย่างใด อาจเป็นเพราะมีแต่คนทั้งคู่เท่านั้นที่รู้ว่าต่างพากันฝ่าฟันพายุฝนคะนองกันมาตั้งเท่าไหร่ สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าผ่านไปกี่ปี

เยี่ยนซู่ถูกรั้งอยู่ในวัง ส่วนเยี่ยนซีเฉิงกลับไปจวนอ๋องแต่เพียงผู้เดียว

“ซื่อจื่อกลับมาแล้ว!” (1)

ในสมรภูมิรบ เยี่ยนซีเฉิงเป็นแม่ทัพที่น่าเกรงขาม แข็งแกร่งกล้าหาญ และเข้มงวดเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อถอดชุดเกราะออก เขากลับกลายเป็นชายหนุ่มแสนสง่าผู้สุภาพอ่อนโยนแถมยังหล่อเหลาผู้หนึ่ง

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดที่ผู้คนนับถือ เขามิได้วางท่าเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย ทุกคนสามารถเข้าหาเขาได้ ไม่ว่าใครในจวนอ๋องต่างก็รักและชื่นชม

เยี่ยนซีเฉิงบอกทุกคนที่พากันคุกเข่าคำนับเขาให้ลุกขึ้น ยังพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มอีกว่า “พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าอยากไปพบนาง”

ข้ารับใช้หญิงตัวน้อยผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงใสฟังดูกล้าหาญ “สองสามวันมานี้พระชายาร่าเริงมาก ทั้งยังไปขอพรที่วัดให้ซื่อจื่อและท่านอ๋องด้วยเจ้าค่ะ!”

“งั้นหรือ?” เยี่ยนซีเฉิงตอบกลับพร้อมเลิกคิ้ว รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งลึกขึ้นอีกเล็กน้อย เขาหันไปมองเด็กรับใช้ตัวน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “ขอบใจมาก”

จากนั้นจึงเดินออกไป มุ่งหน้าไปยังเรือนที่หรูหราที่สุดในหมู่เรือนฝั่งสตรีของจวนอ๋อง

ช่วงสองสามปีมานี้ พระชายาในหย่งอันอ๋องสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก เรือนที่นางพำนักอยู่จึงมีวิวงดงามเป็นพิเศษ อากาศสดชื่นดีต่อสุขภาพ ถึงจะเป็นเรือนที่เงียบสงบทว่าก็มิขาดความโอ่อ่าหรูหรา

ระหว่างทางไปเรือนพระชายา จะต้องผ่านเรือนหลังน้อยที่ดูเก่าและผุพังที่สุดในจวนอ๋อง

เรือนสงบเงียบ เป็นเรือนที่สตรีผู้นั้นอาศัยอยู่ เป็นการแต่งงานระยะยาวไม่กี่ปีหลังจากที่หย่งอันอ๋องเดินทางออกไปและรับนางเข้าจวนมา โชคร้ายที่นางเสียชีวิตจากการคลอดบุตรเนื่องจากเสียเลือดมาก ทว่านางก็อดทนจนคลอดฝาแฝดต่างเพศคู่หนึ่งออกมาได้

ก่อนที่เยี่ยนซีเฉิงอายุสิบสองปี เขามักจะออกนอกจวนไปฝึกตนและบำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ เมื่ออายุได้สิบสองปีเขาก็ตามท่านพ่อไปรบในสมรภูมิ ดังนั้นจึงไม่เคยพบพี่น้องฝาแฝดคู่นี้มาก่อน

เมื่อคิดดังนั้น ความสงสัยจึงก่อตัวขึ้นในจิตใจ ฝีเท้าเขาเปลี่ยนทิศทางเดินเข้าไปในเรือนที่สงบเงียบ เมื่อเดินเข้าไปพบว่าลานในเรือนแห่งนั้นทั้งเล็กและเรียบง่ายยิ่ง เรือนของข้ารับใช้หญิงที่มีตำแหน่งสูงหน่อยยังดูดีกว่าเรือนแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ

เยี่ยนซีเฉิงขมวดคิ้วมุ่น กำลังคิดว่าข้ารับใช้คนใดที่โอหังกล้าทำเช่นนี้ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นภายใน หลังจากเคาะประตูเรือนดู ประตูก็ถูกเปิดออก

เยี่ยนซีเฉิงตกตะลึงจนได้แต่ยืนนิ่ง

ชิงอวี่สัมผัสได้แล้วว่ามีคนกำลังเดินอยู่ด้านนอก ทว่าไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นเยี่ยนซีเฉิง นางจึงอดคิดเป็นเรื่องน่าขำขันไม่ได้ ชายหนุ่มผู้นี้คงไม่ใช่ว่าว่างมากถึงได้เดินมาชมเรือนหลังน้อยแห่งนี้ของพวกนาง

ถึงนางจะรู้ตัวตนของเขานานแล้ว ทว่าก็ยังแสดงละครตบตาออกไป “ท่านคือ?”

เยี่ยนซีเฉิงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนมองนางนิ่ง

นางคือ….. น้องสาวของเขาหรือ?

ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดว่าสาเหตุที่พี่น้องคู่นี้ถูกทอดทิ้งมานานหลายปีเป็นเพราะพวกเขาอาจรู้สึกว่าพวกตนต่ำต้อยกว่า หรืออาจจะขี้อายไม่กล้าเรียกร้องสิ่งใด หรือเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจดื้อรั้น ไม่ยินดีรับการสั่งสอนจากใครได้

ทว่าเด็กสาวเบื้องหน้าผู้นี้ทั้งสง่างามและดูมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก ไม่น้อยหน้าไม่กว่าธิดาสกุลสูงในจวนอ๋องคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย

สิ่งสำคัญคือ หน้าตาของเด็กคนนี้นั้น….. มีเสน่ห์ยวนใจยิ่ง?

ถูกต้อง มีเสน่ห์น่ามองยิ่ง ทั่วทั้งร่างนางแผ่กลิ่นอายความงดงามจากสรวงสวรรค์ นัยน์ตายาวราวกับหงส์คู่นั้นส่องเป็นประกายระยับ หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย เป็นความงามเหนือมนุษย์ มุมปากบางยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบางกระจายอยู่บนใบหน้า นางสวมชุดสีม่วงอ่อน มองดูแล้วราวกับดอกบัวสีม่วงบริสุทธิ์ที่อยู่ในบ่อน้ำใสสะอาด ทว่ายามมองนางกลับทำให้ใจคนรู้สึกราวกับถูกล่อลวง

ชิงอวี่เห็นว่าเขายังไม่ได้สติ รอยยิ้มจึงยิ่งลึกขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้เยี่ยนซีเฉิงรู้สึกจมูกตนอุ่น ๆ ราวกับจะมีอะไรไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นจึงได้สติ ก่อนจะหันมองไปทางอื่น

น้องสาวคนนี้ของเขา ดูถูกนางไม่ได้เลย!

หากคนทั้งคู่อยู่ท่ามกลางสนามรบ คงมิต้องมีการต่อสู้ฆ่าฟันกันหรอกกระมัง? แค่พาตัวนางออกไป พวกข้าศึกคงจะยอมสยบแทบเท้านางโดยไม่ต้องสู้ อำนาจทำลายล้างของนางมีสูงมากจริง ๆ

เยี่ยนซีเฉิงแอบคิดอยู่ในใจ

ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัว จากนั้นจึงหัวเราะเก้อเขินออกมา “เจ้าคือ….. ชิงอวี่ใช่หรือไม่? ข้าคือพี่ชายของเจ้า เยี่ยนซีเฉิง”

“ท่านพี่” ชิงอวี่พยักหน้า เอ่ยออกไปตามมารยาท น้ำเสียงทั้งอ่อนนุ่มและน่าหลงใหล

เยี่ยนซีเฉิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกระแอมออกมาสองทีเพื่อปิดบังความงุ่มง่ามของตนเมื่อครู่ “ข้าเพิ่งกลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเจ้า หลายปีที่ผ่านมาข้าไม่ได้กลับจวนอ๋องเลย ใช่แล้ว ชิงเป่ยไปไหนเสียเล่า?”

น้ำเสียงแผ่วเบาลงเมื่อได้ยินเสียงล้อเคลื่อนมาจากด้านใน เด็กหนุ่มร่างบางผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นค่อย ๆ เข็นเก้าอี้ของตนออกมาด้านนอก เขามีใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาเรียวยาวดั่งหงส์ที่แฉลบขึ้นเล็กน้อยนั้นงดงามยิ่งนัก มองดูแล้วหน้าตาเหมือนกับของเด็กสาวเมื่อครู่

เขาส่งยิ้มให้เยี่ยนซีเฉิง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ลำบากท่านพี่แล้วที่ต้องเดินทางมาหาข้ากับพี่สาว”

“ขาเจ้า…..” เยี่ยนซีเฉิงขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้?”

ถึงเยี่ยนซีเฉิงจะไม่รับรู้เรื่องภายในจวนมากนัก ทว่ากลับไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยถึงมาก่อนว่าคุณชายอีกคนในจวนอ๋องนั้นขาพิการเดินไม่ได้ ถึงขาทั้งสองข้างจะได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุใดหมอประจำจวนจึงไม่มาทำการรักษาให้เขาเล่า?

ผู้ใดที่กล้าไม่ใส่ใจคุณชายน้อยผู้นี้กัน!?

สีหน้าเยี่ยนซีเฉิงแปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัว “ชิงเป่ย มีผู้ใดทำให้ขาเจ้าเป็นเช่นนี้หรือไม่?”

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูล มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าบรรดาสตรีในจวนสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง? เด็กคนนี้คงจะขาพิการมานานแล้วเป็นแน่!

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุอยู่ภายใน “บอกข้ามาว่าใครเป็นคนทำเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องพวกนี้เงียบอีก คนพวกนั้นกล้าทำร้ายกระทั่งคุณชายในจวนหย่งอันอ๋อง ข้าจะทำให้คนพวกนั้นชดใช้แน่!”

ช่างเป็นบุรุษผู้ผดุงความยุติธรรมยิ่ง ทว่าสิ่งเหล่านี้นั้นมีความจริงใจอยู่มากเพียงไหนกัน?

เชิงอรรถ

ซื่อจื่อ ใช้เรียกผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา หรืออาจจะเรียกว่า ‘ผู้สืบทอด’ ก็ได้ ในเรื่อง เยี่ยนซีเฉิง เป็นบุตรชายคนโตของหย่งอันอ๋อง ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้สืบทอดยศอ๋องต่อจากบิดา