บทที่ 8 ความเป็นจริงมักโหดร้าย

ชิงเป่ยดูตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายที่เขาเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกผู้นี้ เป็นเวลาครู่หนึ่งกว่าเขาจะเรียกสติตนคืนมาได้ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร…..”

“เป็นเพราะเจ้าไม่กล้าพูดใช่หรือไม่?” เยี่ยนซีเฉิงขมวดคิ้ว “ไม่ต้องกลัว ท่านแม่ข้าเป็นผู้ที่ดูแลเรื่องทุกอย่างในจวนมาโดยตลอด ช่วงนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยดี พวกข้ารับใช้จึงมองข้ามเรื่องนี้ไป ข้าจะไปถามเรื่องนี้กับท่านแม่เดี๋ยวนี้”

พูดจบก็หันไปในทันที ทว่าเมื่อตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินนั่นเอง

ชิงอวี่พลันหัวเราะเสียงเบา “จริง ๆ แล้ว เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดนักหรอก”

ฝีเท้าเยี่ยนซีเฉิงชะงักลง จากนั้นน้ำเสียงเจือเสียงหัวเราะก็กล่าวต่อ

“ความเป็นจริงมักไม่ใช่สิ่งที่คนต้องการฟัง ยามเมื่อหน้าต่างกระดาษถูกทำลายเป็นรู คนผู้นั้นอาจจะผิดหวังมากก็เป็นได้!” (1)

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

ชิงอวี่หัวเราะ ไม่พูดอะไรอีก เด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็นลังเลอยู่นานก่อนจะค่อย ๆ เปิดปากเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ พระชายาทราบดี หรือจะพูดก็คือ….. นางเป็นผู้ที่ทำให้เป็นเช่นนี้! ขาของข้าเป็นเช่นนี้เพราะนางไม่อนุญาตให้หมอประจำจวนอ๋องทำการรักษาข้า เมื่อพลาดเวลาสำคัญในการรักษาไป ขาของข้าจึงพิการเช่นนี้!”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เยี่ยนซีเฉิงเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและความกังขา “เจ้าพูดคำกล่าวหาออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร!?”

ในสายตาของเขา ท่านแม่เป็นสตรีผู้อ่อนโยนและใจดี ถึงท่านพ่อจะผิดสัญญาว่าจะมีท่านแม่แต่เพียงผู้เดียว ท่านแม่ก็หาได้แต่รู้สึกเจ็บปวดและย้ายไปอยู่เรือนที่มีความเงียบสงบ กระนั้นก็ยังคอยดูแลจัดการเรื่องภายในจวนอ๋องอยู่ตลอด คนอย่างนางจะกระทำเรื่องที่ชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไร!?

“ภายในจวนอ๋องแห่งนี้ หากไม่ได้รับความยินยอมจากพระชายา ท่านพี่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำร้ายบุตรชายอีกคนหนึ่งนอกจากท่านพี่ได้อย่างไร?” ชิงเป่ยว่า ที่มุมปากบังเกิดรอยยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปอีกด้านไม่เอ่ยอะไรอีก

เยี่ยนซีเฉิงกำหมัดแน่น จากนั้นคลายมือ สีหน้าที่จ้องมองฝาแฝดตรงหน้าคล้ำลง ก่อนจะสาวเท้าเดินจากไป

“ข้าไม่คิดมาก่อนว่าผู้สืบทอดของจวนหย่งอันอ๋องจะมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นน้ำเสียงหยอกเย้า ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “แต่ถ้าเขาไปถามพระชายาและได้รับคำตอบมาละก็ ดูท่าอารมณ์คงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างล่ะ!”

“ปกติพี่ใหญ่ไม่ค่อยอยู่ที่จวน ไม่ได้รับรู้ถึงแผนการและจิตใจชั่วร้ายของคนพวกนี้มาก ไม่แปลกที่จะมีความคิดใสซื่อเรียบง่ายไปสักหน่อย” ชิงเป่ยเอ่ยขึ้นเสียงเบา สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังที่ค่อย ๆ เลือนหายไป

“แล้วเจ้าเด็กคนนี้ก็ฉลาดนัก” ชิงอวี่พูดกลั้วหัวเราะ ยกมือขึ้นขยี้หัวเด็กหนุ่ม “ข้าดูแล้ว เจ้าชอบเขามากพอตัวเลยนี่?”

“อืม ในจวนอ๋องแห่งนี้ มีแต่พี่ใหญ่ที่นับได้ว่ามีจิตใจสมกับเป็นมนุษย์ ข้า….. ชื่นชมเขามาก” ชิงเป่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเขินอายเล็ก ๆ

ตั้งแต่เขายังเล็ก เยี่ยนซีเฉิงก็ได้ติดตามอาจารย์ร่อนเร่ไปทั่ว เพื่อบำเพ็ญตน ผู้คนต่างคิดว่าระดับการบำเพ็ญตนของเขานั้นต้องสูงส่งมากเป็นแน่ แล้วตอนนี้ยังได้ทำในสิ่งที่บุรุษทุกคนอยากทำ นั่นคือการปกป้องแคว้น สังหารศัตรูในสนามรบ แถมยังเป็นแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในแคว้นชิงหลาน

ชิงอวี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางถอนหายใจแผ่วเบา “ถึงทหารจะได้รับความเคารพนับถือสูงส่ง ทว่าก็ต้องพร้อมเผชิญกับความตายอยู่ทุกเมื่อ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเจอกับเรื่องแบบนั้น อยากให้เจ้าได้ใช้ชีวิตธรรมดาอย่างสงบสุขมากกว่า”

สตรีที่งดงามไม่อาจมีผู้ใดเทียมตรงหน้าเขาเผยรอยยิ้มที่มุมปาก สายตาที่มองมาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยาก นางมองเขานิ่งไม่เอ่ยคำใด ทำให้ใจที่สงบนิ่งพลันเต้นแรงขึ้น

ทั้งสองคนอายุเท่ากันแท้ ๆ ทว่านางกลับทำท่าเป็นผู้ใหญ่สุขุมกว่า ทำให้เขารู้สึกราวกับนางมีชีวิตอยู่มานานแสนนาน เป็นผู้ที่สามารถอ่านคนและอ่านสถานการณ์ออก ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องใส่ใจอีกต่อไป

ความอ่อนโยนในนัยน์ตาคู่นั้นของนางทำให้ชิงเป่ยรู้สึกว่านางกำลังใส่ใจ ถึงตนเองจะกลัวว่ามันอาจเป็นเพียงภาพที่เขาคิดไปเอง

เขายื่นมือออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว ดึงนางมากอด เอนหัวลงพิงกับเอวนาง “ข้าขอโทษท่านพี่ ข้าพูดออกไปไม่ทันคิด ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะใช้ชีวิตให้ดี ข้าจะ….. ปกป้องท่านพี่เอง”

เป็นครั้งแรกในเวลาหกปีที่เขาเรียกนางว่าท่านพี่

จากตอนแรกที่ดูน่าสงสัย จนถึงครั้งที่นางปกป้องเขาอย่างภยันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านั้นทำให้ชิงเป่ยเปิดใจรับนางโดยแท้จริง

เป็นเช่นที่เขาเคยกล่าวไว้ ไม่ว่านางจะเคยเป็นใคร หรือมาจากไหน เมื่อนางเป็นพี่สาวเขาแล้วหนึ่งวัน ก็จะเป็นพี่สาวเขาไปตลอดกาล

“ดีมาก” รอยยิ้มบนใบหน้าชิงอวี่ยิ่งกว้างขึ้น นิ้วเรียวงามลูบหัวเด็กชายแผ่วเบา

ความอบอุ่นเดียวที่นางได้สัมผัสในโลกแปลกประหลาดแห่งนี้ นางจะคอยปกป้องดูแล รอดูเขาเติบโตเอง

——————–

“ท่านพี่ มีเรื่องอะไรหรือ?” น้ำเสียงอ่อนนุ่มเสียงใสของเด็กสาวผู้หนึ่งดังขึ้น ดึงเยี่ยนซีเฉิงให้หลุดออกจากภวังค์

เขายิ้มให้นางอย่างอ่อนแรง “ขอโทษด้วยหนิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าว่าอันใดนะ?”

แม่นางน้อยผู้มีรูปโฉมงดงามในชุดสีเขียวมรกตนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา รอยแต้มดอกไม้กลางหน้าผากสีชมพูจาง ๆ โดดเด่นเหนือใบหน้างดงามทว่าดูเย็นชาในเวลาเดียวกัน ยิ่งส่งให้ใบหน้านั้นดูน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม สตรีผู้นี้คือโฉมงามอันดับต้นแห่งแคว้นชิงหลาน เยี่ยนหนิงลั่ว

เยี่ยนหนิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านพี่เพิ่งได้ชัยชนะกลับมา เหตุใดจึงดูยังมีเรื่องค้างคาใจ? ช่วงนี้ข้าเห็นท่านพี่เหม่อลอยบ่อยๆ หรือท่านมีปัญหายากเย็นอันใดที่แก้ไม่ได้หรือ? ท่านบอกหนิงเอ๋อร์เรื่องนี้ได้หรือไม่?”

เยี่ยนซีเฉิงไม่คิดว่าอารมณ์ภายในของตนจะส่งผลต่อน้องสาวของเขาได้มากถึงเพียงนี้จึงรู้สึกผิดนัก “ข้าอยากมีเวลาพูดคุยกับหนิงเอ๋อร์ให้มาก แต่กลับเป็นเช่นนี้ พี่ต้องขอโทษเจ้าด้วย”

พี่น้องคู่นี้ ตั้งแต่เล็กมา เวลาที่จากกันยาวนานกว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเสียอีก

คนหนึ่งสังหารศัตรูอยู่ในสนามรบ อีกคนหนึ่งบำเพ็ญตนอย่างสันโดษอยู่ที่สำนักละอองหมอก

ในแต่ละปี เยี่ยนหนิงลั่วได้ใช้เวลาอยู่ที่จวนอ๋องสั้นมากด้วยเพราะในสำนักมีผู้มากความสามารถมากมาย หากนางไม่หมั่นฝึกฝนตน ก็จะถูกคนอื่น ๆ บีบออกจากการเป็นศิษย์สายตรง มีพรสวรรค์เป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าความขยันอดทนก็สำคัญมากเช่นกัน

ถึงพี่น้องคู่นี้จะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากนัก ทว่าก็เป็นพี่น้องที่มาจากมารดาเดียวกัน ดังนั้นความสัมพันธ์จึงสนิทชิดเชื้อกันมาก

“ท่านพี่ไม่เคยเผยอารมณ์ออกมาเช่นนี้มาก่อน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

เยี่ยนซีเฉิงชะงักไป นึกย้อนไปยังเหตุการณ์ในวันนั้น

เขาไม่เชื่อคำชิงอวี่และชิงเป่ย จึงมุ่งหน้าไปหาพระชายาในหย่งอันอ๋อง ไปถามเรื่องราวทั้งหมดและถามหาความจริงจากปากนาง

เขาคิดมาโดยตลอดว่าถึงเรื่องภายในจวนตระกูลสูงศักดิ์จะชั่วร้ายดำมืดมากถึงเพียงไหน อย่างน้อยจวนหย่งอันอ๋องก็ปราศจากเรื่องเช่นนั้น

ทว่าคำพูดของท่านแม่ในวันนั้นกลับ…..

“เฉิงเอ๋อร์ ก็แค่เด็กนอกคอกผู้หนึ่งที่ไม่สมควรถูกพบเห็นนอกเรือน ใช่เรื่องที่มีค่าพอจะให้เจ้ามาถามข้าหรือ?”

“แต่นั่นคือน้องชายของข้านะท่านแม่!”

“เจ้ามีหนิงเอ๋อร์เป็นน้องสาวเพียงคนเดียว เจ้ามีน้องชายตั้งแต่ตอนไหนกัน?”

เขายังจำนัยน์ตาของท่านแม่ในวันนั้นได้ มันทั้งเยียบเย็นและไร้อารมณ์ยิ่งนัก

“ขาของเขา….. จริงหรือที่ท่านแม่ปล่อยให้พวกสตรีในจวนทำร้ายเขา…..”

ตอนที่เอ่ยคำถามนี้ขึ้นมา ในใจเขาก็ไม่รับรู้อีกต่อไปว่าตนเองรู้สึกเช่นไร

ทว่าหลังจากนั้น ท่านแม่กลับคลี่ยิ้ม น้ำเสียงยามนางเอ่ยตอบนั้นเยือกเย็นนัก “ถ้าใช่แล้วอย่างไร?”

“ข้าไม่สนว่าพ่อเจ้าอยากแต่งสตรีมากหน้าหลายตาเพียงไหน ที่ข้าใส่ใจคือเขากลับตกหลุมรักนางนั่น! สตรีที่เขาได้เพิ่งพบหน้าเพียงไม่กี่วัน! ตอนนั้นเขาเอาข้าไปไว้ที่ไหน?! ข้าแต่งงานกับเขามาหลายปี เขากลับลืมเลือนคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับข้าได้อย่างง่ายดาย!”

เชิงอรรถ

ทำลายหน้าต่างกระดาษเป็นรู หมายถึง เมื่อไปถามอีกฝ่ายแล้วความจริงถูกเปิดเผย