บทที่ 9 หลินยวน แคว้นบนผืนน้ำ

“เดิมทีข้าคิดว่าเหตุผลที่เขาแต่งงานกับสตรีเหล่านั้น เป็นเพราะต้องการสร้างฐานอำนาจหลังจากพิจารณาข้อดีข้อเสีย ตราบเท่าที่เขายังมีข้าในใจ ข้ายังเลือกไม่ใส่ใจสตรีเหล่านั้นได้”

“แต่ว่าเขา….. ตกหลุมรักสตรีอื่นได้อย่างไร….. เขาให้นางคลอดลูกของเขาออกมาได้อย่างไร…..”

“ข้าเกลียดเขา เกลียดสตรีผู้นั้น ข้าชังน้ำหน้าเด็กสองคนนั้นนัก!”

เป็นครั้งแรกในยี่สิบกว่าปี ที่บนใบหน้าอ่อนโยนใจดีของท่านแม่เผยสีหน้าโหดร้ายน่าพรั่นพรึงออกมา เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่ท่านแม่ของตนต้องกลายเป็นสตรีจิตใจบอบช้ำ เก็บตัวอยู่ในเรือนอย่างสันโดษ

เขาคิดมาโดยตลอดว่าเรื่องเช่นนี้คงมีแต่ในวังหลวง

พระชายาที่แสนใจดีและอ่อนโยนในความทรงจำ ท่านแม่ที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ กลับกลายเป็นคนที่เขารู้สึกว่าไม่รู้จักแม้แต่น้อย

เขาไม่อาจยอมรับได้ และไม่ต้องการยอมรับความจริงนี้

เมื่อรวบรวมสติกลับมาได้ เขาก็มองไปยังเด็กสาวตรงหน้า บนใบหน้าของนางแสดงออกว่าเป็นห่วงเขานัก ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้น มือใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนไปแตะใบหน้านางอย่างแผ่วเบา “หนิงเอ๋อร์ พี่หวังว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนไปเหลือเกิน”

ดวงตาไม่มืดบอด ที่ต้องการไขว่คว้าอำนาจมาไว้ในกำมือ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นใครอื่นเพื่อบุรุษคนไหน

คิดได้ดังนั้น เยี่ยนซีเฉิงก็จำได้ว่าน้องสาวแสนสวยและฉลาดล้ำของเขาผู้นี้ได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาทไปแล้ว “หนิงเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้ากับองค์รัชทายาทได้พบกันบ้างหรือไม่?”

“เขาน่ะหรือ? ไม่เลย” เยี่ยนหนิงลั่วเม้มปาก ทำสีหน้าราวกับไม่อยากใส่ใจเรื่องนี้นัก

คู่หมั้นคู่หมายที่มีพันธสัญญาต่อกันนี้ ดูท่าจะไม่แสดงความสัมพันธ์อย่างเช่นคู่หมั้นควรจะเป็นระหว่างกันออกมาเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสองคนเป็นศิษย์สายตรงวงในของสำนักละอองหมอก ทว่าองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อเข้าสำนักก่อนสองปี นับเป็นศิษย์พี่ของเยี่ยนหนิงลั่ว

ยามอยู่ในสำนัก เจอกันเมื่อไหร่ก็มักก้มหัวลงต่ำ ด้วยเหตุนี้เยี่ยนหนิงลั่วจึงไม่มีความรู้สึกใดต่อคู่หมั้นของตน ส่วนซวนหยวนเช่อก็เย็นชาและสร้างระยะห่างระหว่างกันเสมอ ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นคนแปลกหน้า

คนทั้งสองถูกหมั้นหมายด้วยสมรสพระราชทานมาตั้งแต่เกิด ทว่าไม่อาจเข้ากันได้แม้แต่น้อย

เยี่ยนซีเฉิงสับสนนัก ถึงน้องสาวของเขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรีและมีนิสัยสันโดษไปสักหน่อย ทว่าคนอื่น ๆ ก็ยังคงชื่นชอบนาง

สตรีที่มีรูปโฉมและมีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากในแคว้นชิงหลานและในใต้หล้าเช่นนาง องค์รัชทายาทกลับไม่สนใจนางแม้สักเล็กน้อย

เป็นที่รู้กันว่าในแคว้นชิงหลานแห่งนี้ ไม่มีบุรุษคนใดไม่ชอบหนิงเอ๋อร์

หรืออาจเป็นไปได้ว่าองค์รัชทายาท….. ชอบบุรุษงั้นหรือ?

เยี่ยนซีเฉิงเบิกตากว้าง ตกใจกับความคิดตนเอง เขารีบปัดความคิดแปลกประหลาดนั่นทิ้งไปทันที

เมื่อเห็นน้องสาวตนนั่งเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย นัยน์ตาคู่งามเปิดอยู่เพียงครึ่ง เหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง เยี่ยนซีเฉิงจึงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้าคิดอะไรอยู่? เจ้าไม่ชอบองค์รัชทายาทจริงหรือ?”

“เหตุใดต้องชอบเขาด้วย? ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ” เยี่ยนหนิงลั่วมองพี่ชายตนด้วยสายตาเกียจคร้าน สีหน้าบ่งบอกว่า “ท่านนี่แปลกจริง”

“พวกเจ้าอยู่สำนักเดียวกัน แล้วยังเป็นศิษย์สายตรงเหมือนกันอีก เจ้าจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร?”

“ท่านพี่ไม่รู้หรือว่ากฎระเบียบของสำนักละมองหมอกนั้นเข้มงวดเรื่องฐานะมาก? คนอย่างข้าที่เพิ่งเข้าสำนักมาแค่สามปี มีพรสวรรค์แค่เล็กน้อย ไม่มีทางมีโอกาสได้พูดคุยกับองค์รัชทายาทที่เป็นศิษย์หลักและอยู่ในสำนักมาแล้วถึงเจ็ดปีหรอก”

“…..” เยี่ยนซีเฉิงไม่เอ่ยคำใด

น้องสาวตัวน้อยของข้า เจ้านี่ดื้อรั้นเสียจริง เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างทั้งนั้น ฝีมือเจ้าไม่ได้แย่ถึงเพียงนั้น จะมีสตรีใดที่เก่งกาจมีความสามารถเทียบเจ้าได้บ้าง?

ถึงจะไม่อยากพบหน้าองค์รัชทายาทมากเพียงไหน ก็ไม่ควรคิดหาข้ออ้างที่ดูออกง่ายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?

เจ้ากำลังทำให้พี่คิดว่าเจ้าเป็นเจ้าตัวโง่งมตัวหนึ่งอยู่ เจ้ารู้ตัวหรือไม่?

เยี่ยนซีเฉิงเป็นกังวลกับน้องสาวผู้นี้ ที่วัน ๆ ไม่สนสิ่งใด สนเพียงการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น

“องค์รัชทายาทเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปลักษณ์หรือความรู้ความสามารถ รวมถึงเรื่องการบำเพ็ญเพียรที่ลึกล้ำ ก็เหมาะกับเจ้าเป็นที่สุด ขนาดพี่ยังไม่มีความสามารถมากเท่าเขา หนิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่ชอบเขาเล่า?”

เยี่ยนซีเฉิงยังคงพูดตะล่อมน้องสาวตนราวกับยายแก่ผู้หนึ่ง “เจ้าถูกลิขิตมาให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท ยังมีเวลาอีกสองปีก่อนที่จะต้องเข้าพระราชวังตะวันออก หากความสัมพันธ์ของพวกเจ้าย่ำแย่เช่นนี้ ต้องถูกองค์รัชทายาททอดทิ้งเป็นแน่”

เยี่ยนหนิงลั่วหลุดหัวเราะออกมา “ใครสนตำแหน่งพระชายากัน?”

“หนิงเอ๋อร์!” เยี่ยนซีเฉิงมองหน้านางด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง “เจ้าจะพูดพล่อยๆเช่นนี้ออกมาไม่ได้ หากคนมีจิตมุ่งร้ายมาได้ยินเข้าจะเกิดปัญหาได้”

“ข้ารู้แล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่นี่ขี้บ่นจริง” เยี่ยนหนิงลั่วยกยิ้ม ส่งสีหน้าน้องสาวผู้อ่อนน้อมถ่อมตนให้เขา ราวกับนางเข้าใจทุกสิ่งที่กล่าวมาอย่างแท้จริง

ในที่สุดเยี่ยนซีเฉิงก็ปล่อยเรื่องนี้ไป

โฉมสะคราญล่มเมืองผู้นี้พลันหันหน้าเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ริมฝีปากบางสวยยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ เป็นภาพที่งามตายิ่ง

ใช่แล้ว ใครสนเรื่องตำแหน่งพระชายากัน!?

ใจทั้งดวงของนางได้ให้คนผู้นั้นไปแล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้ใจนางเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งได้

——————–

แคว้นหลินยวนตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำ นับได้ว่าเป็นเมืองบนน้ำ แตกต่างจากชิงหลานที่มีพื้นที่ราบกว้างขวางมากมาย

ด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ชาวหลินยวนจึงมีผิวพรรณขาวผ่อง เป็นเพราะน้ำที่นี่มีคุณภาพดีและมีความสวยงามเป็นอย่างมาก

ในเรื่องความงาม องค์หญิงเก้าเยว่ซินเหยียนนั้นโดดเด่นเหนือใคร นางได้รับดวงตาสีไพลินงดงามมาจากฮองเฮา ท่วงท่าของนางสวยงามจับจิตจับใจ

ยามเอ่ยถึงโฉมสะคราญท่ามกลางหมู่คน มีเพียงเยี่ยนหนิงลั่วจวนหย่งอันอ๋องแห่งชิงหลานและเยว่ซินเหยียนแห่งหลินยวน ที่โดดเด่นเหนือโฉมงามใด ชื่อเสียงของพวกนางดังไกลทั่วใต้หล้า ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าพวกนางมีรูปโฉมงดงามนัก

ระหว่างแม่นางสองคนนี้ คนหนึ่งเย็นชาสูงส่งราวกับเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้า อีกคนซุกซนน่ารักราวกับพรายน้ำ แต่ละคนโดดเด่นแตกต่างกันไป

ชาวหลินยวนยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกด้วย

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพียงข่าวลือไม่มีมูล ผู้คนจากแคว้นนี้มีความสามารถในการควบคุมน้ำตั้งแต่เกิด

ตำนานเล่าว่าเมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่แผ่นดินจะแยกออกเป็นหลายแคว้น สถานที่แห่งนี้ เคยเป็นที่ตั้งของชนเผ่าลึกลับเล็ก ๆ ชนเผ่าหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษ จนทำให้ผู้คนต่างโลภอยากได้อำนาจนั้น

ทว่าราวกับมีเวทมนตร์คอยปกปักรักษาอยู่ ไม่อาจมีผู้ใดเดินทางเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นได้เลย

สถานที่ ที่สามารถเดินทางไปถึงได้ ทว่าดูราวกับถูกน้ำทะเลล้อมรอบไว้ กั้นมิให้ผู้คนเดินทางเข้าไป ล่ำลือกันว่าแคว้นแห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนที่มีจิตมุ่งร้ายเดินทางเข้ามาได้ ผู้ที่ต้องการเข้าแคว้นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าแคว้นก่อน ผู้ใดที่คิดจะบุกฝ่าเข้าไปจะต้องถูกเทพเจ้าแห่งท้องทะเลลงทัณฑ์ ถูกกลืนกินหายไปอย่างไร้ความปรานี

มีคนบางคนไม่เชื่อคำเล่าลือนี้ ยังบุกรุกเข้าไป ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจก็ถูกคลื่นน้ำซัดเข้าใส่ ไม่อาจออกไปได้

เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ผู้ที่ต้องการบุกรุกเข้าไปเริ่มหวาดกลัว ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปอีก

ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ ที่ถูกปกปักรักษาโดยเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ปุถุชนธรรมดาที่ต้องการท้าทายเทพเซียนนั้นราวกับเอาไข่ไปกระทบหิน

หลังจากนั้น แผ่นดินได้แยกออกเป็นหลายส่วน ผู้แข็งแกร่งจากหลากหลายสถานที่ต่างพากันรวบรวมอาณาเขตตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าแคว้น ทว่าไม่มีผู้ใดที่กล้าแตะต้องแผ่นดินเหนือท้องทะเลแห่งนี้เลย

ผู้นำชนเผ่าผู้สามารถควบคุมวารีได้ จึงนำคนในเผ่าตั้งเป็นแคว้นเหนือทะเล โดยเรียกตนเองว่าแคว้นหลินยวน

คนผู้นั้นคือฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นหลินยวน เป็นต้นราชวงศ์เยว่ เขาครองราชย์ได้สามสิบปี ก่อนจะมอบบัลลังก์ให้ลูกหลานสืบต่อไป จากนั้นก็ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า

ว่ากันว่าเขาเป็นผู้สูงส่งที่มีขั้นพลังที่ว่างเปล่า และได้ก้าวข้ามไปยังดินแดนที่แข็งแกร่งกว่าโลกใบนี้ไปแล้ว

ราชวงศ์ในปัจจุบันคือฮ่องเต้หลินยวนองค์ที่สิบเจ็ด มีนามว่า เยว่มู่เฉิน

เขามีอายุราวยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี ถือกำเนิดมาเพื่อสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ ทว่าน่าเสียดายนัก….. ที่เขาเกิดมามีร่างกายอ่อนแอขี้โรค