บทที่ 10 พิษกำเริบ

“แค่ก ๆ…..”

ภายในห้องทรงพระอักษรอันเงียบสงบ พลันมีเสียงไอของคนผู้หนึ่งดังขึ้น

“ฝ่าบาท ร่างกายมังกรของท่านสำคัญนัก พักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” ชายหนุ่มผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านในของห้องเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

แคว้นชิงหยวนแตกต่างจากแคว้นอื่น ๆ ที่แคว้นนี้ไม่มีขันทีด้วยเพราะต้นราชวงศ์ ได้ยกเลิกระบบการตอนตนเองอันแสนโหดร้ายและผิดศีลธรรมลง

ในวังมีเพียงสาวใช้และผู้ช่วยที่คอยดูแลฮ่องเต้ในเรื่องต่าง ๆ สาวใช้และผู้ช่วยเหล่านี้ยังมีฝีมือสูงส่ง สามารถปกป้องฮ่องเต้ได้ด้วยเช่นกัน

เบื้องหลังบัลลังก์มังกร คือชายผู้หนึ่งที่กำลังยกมือขึ้นปิดปาก เขาไอรุนแรงออกมาก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจากฎีกาที่วางอยู่เบื้องหน้า

เป็นบุรุษคิ้วงาม นัยน์ตาสดใสผู้หนึ่ง ผิวหน้าดูเรียบลื่นดั่งหินหยก หน้าตาอ่อนโยนและมีกลิ่นอายสูงส่ง หากแต่มีสีหน้าซีดขาว เห็นได้ชัดว่ามีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนัก

“ข้าไม่เป็นไร ชางไห่อ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?” เยว่มู่เฉินถามเสียงเบา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ผู้ช่วยด้านข้างตอบกลับอย่างนอบน้อม “ชางไห่อ๋องได้สติแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน หมอหลวงไปตรวจอาการท่านอ๋องแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี หลายปีที่ท่านอ๋องหลับไป ร่างกายยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่เรื่อยมา หมอหลวงรายงานมาว่าที่ท่านอ๋องหลับลึกไปนานเช่นนั้นเป็นเพราะกำลังทะลวงด่าน ร่างกายไม่อาจทนรับพลังมหาศาลได้จึงทำให้ท่านอ๋องหลับไป เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวพ่ะยะค่ะ”

“เป็นเพราะเหตุนั้นเองหรือ?” รอยยิ้มบนใบหน้าเยว่มู่เฉินยิ่งลึกขึ้น “ดูท่าสวรรค์จะอวยพรให้แคว้นหลินยวนของเรา ชางไห่อ๋องเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่สวรรค์มอบให้กับแคว้นของเราเลย”

เมื่อสิบสองปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นบนแดนสวรรค์ มีดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า และในตอนนี้ดาวดวงนั้นก็คือผู้พิทักษ์ของแคว้นหลินยวนนั่นเอง

“ฝ่าบาท คณะขององค์หญิงเก้าที่เดินทางไปยังชิงหลาน พระองค์….. คิดจะให้องค์หญิงแต่งงานกับองค์รัชทายาทชิงหลานจริงหรือ?” ผู้ช่วยเอ่ยถามคำถามที่ติดค้างในใจมาอย่างยาวนานขึ้น เขารับใช้ฝ่าบาทมาเป็นเวลาหลายปี ความสัมพันธ์จึงไม่ธรรมดา เมื่อไม่มีสายตาผู้ใด ฝ่าบาทยังเป็นมิตรมาก

“ฮ่า ๆ เหยียนเหยียนเด็กป่วนผู้นั้น หากข้าเมินความต้องการของนางและให้นางแต่งออกไปจริง นางคงได้พังห้องทรงพระอักษรของข้าทิ้งเป็นแน่” นัยน์ตาทั้งสองข้างของเยว่มู่เฉินฉายแววเอ็นดูออกมา “เกรงว่าจะเป็นเพราะนางเห็นว่าชางไห่อ๋องฟื้นจากการหลับลึกจึงคิดว่าตนมีผู้ถือหาง จึงอยากไปป่วนแคว้นชิงหลานก็เท่านั้น”

ได้ยินดังนั้น ผู้ช่วยข้างกายฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก องค์หญิงเก้าเป็นที่รักของประชาชนแคว้นหลินยวน หากนางต้องแต่งออกไปยังแคว้นชิงหลานจริง ทั้งบุรุษและสตรีในแคว้นนับไม่ถ้วนคงน้ำตานองหน้าทุกวี่วันเป็นแน่!

——————–

ไป๋จือเยี่ยนเป็นเจ้าของหอเมฆาเคลื่อน เขาเปิดกิจการนี้ขึ้นเมื่อสมัยที่ยังไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน หลังจากที่ได้มารับใช้โหลวจวินเหยาแล้ว ความเป็นไปต่าง ๆ ในหอเมฆาเคลื่อนก็ยกให้เหลียนจีเป็นคนจัดการ

การกลับมาที่นี่หลังจากผ่านมาแล้วหลายปีเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลือกได้

“ออกไป!”

เสียงตะโกนที่เจ้าของเสียงพยายามข่มความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ดังออกมาจากภายในห้องที่ถูกปิดผนึก ร่างสีแดงลอยออกมาจากด้านใน ก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง

“นายท่าน…..” วันนี้เป็นวันพิเศษ เหลียนจีจึงปิดหอก่อนกำหนด นางยืนดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกตอนที่เห็นร่างเจ้านายตนลอยละลิ่วออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปพยุงเขาลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเป็นกังวล

“แค่ก ๆ” ไป๋จือเยี่ยนกำอกตนแน่น ไออีกสองสามทีก่อนจะปัดมือเหลียนจีออก เขามุ่งหน้าเข้าไปในห้องอีกครั้งหนึ่ง

“นายท่าน ให้ข้าดูอาการเถอะ ข้าไม่เป็นอะไร ท่าน…..”

“เจ้าอยากตายหรือไง!?” น้ำเสียงบุรุษที่ดังออกมาจากภายในนั้นทั้งขู่ขวัญและเยียบเย็นยิ่งนัก

ร่างของโหลวจวินเหยาที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษ เพลิงเยือกแข็งนั้นได้รับพิษสืบต่อมาจากมารดาของเขา เมื่อครั้งที่นางถูกลอบโจมตีตอนกำลังตั้งครรภ์เขาอยู่

ทั้งยังไม่ใช่พิษเพลิงเยือกแข็งธรรมดา แต่เป็นพิษจากคำสาปเลือด ทุกครั้งที่พิษกำเริบ ผนึกคำสาปเลือดก็จะแล่นไปทั่วร่าง ครึ่งหนึ่งสีแดง ครึ่งหนึ่งสีน้ำเงินเข้ม ทำให้เขาดูราวกับปีศาจผู้ชั่วร้ายหน้าตาน่ากลัว

ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ หลอดเลือดในร่างจะขาดสะบั้น เจ้าของร่าง จะต้องเผชิญหน้ากับความทรมานเหลือคณาเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน

ไป๋จือเยี่ยนมุ่งหน้าเข้าไปในห้องเช่นนี้หมายถึงรนหาที่ตาย เมื่อพิษกำเริบ โหลวจวินเหยาจะจำผู้ใดไม่ได้ และอาจสังหารไป๋จือเยี่ยนทิ้งอย่างไร้ความเมตตา

เมื่อครู่ยังเพิ่งโดนพลังซัดออกมาจากห้อง กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ กลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ยิ่งทำให้โหลวจวินเหยายิ่งจิตใจไม่สงบ และอาจทำให้เขาขาดสติไปจนสิ้น

“นายท่าน!” ไป๋จือเยี่ยนร้องตะโกนเมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำ ราวกับกำลังกดความเจ็บปวดจากด้านใน ราวกับเจ้าของเสียงกำลังบ้าคลั่ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความแค้นและเศร้าใจ ได้แต่โทษตนเองที่มีฝีมือไม่มากพอ ไม่อาจรักษาพิษเพลิงเยือกแข็งได้ และปล่อยให้นายท่านทนทรมานเช่นนี้

ด้วยความกังวล ไป๋จือเยี่ยนจึงมุ่งมั่นที่จะเข้าไปดูอาการนายท่านของตนอีกครั้ง ทว่าเหลียนจีดึงแขนเขาไว้แน่น “เจ้านาย ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ ถ้าเข้าไปท่านอาจ…..”

“ปล่อย!”

“เหลียนจีไม่อาจปล่อยให้เจ้านายพาตนเองไปตายได้!”

“อวดดีนัก! เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้…..”

ขณะที่กำลังฉุดกระชากกันนั่นเอง บางสิ่งบางอย่างก็ร่วงหล่นออกมา เสียงดัง “กริ๊ง” ดังขึ้นให้ได้ยิน ทำให้คนทั้งคู่ชะงักไป

ไป๋จือเยี่ยนก้มหน้าลงมองขวดยาลวดลายประณีตที่เด็กคนนั้นมอบไว้

เขาก้มลงเก็บขวดยา ก่อนจะกำมันไว้แน่น ในเวลาเช่นนี้ คงมีแต่ต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง!

“นายท่าน ลองยานี่ดู!” ไป๋จือเยี่ยนไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน เขารู้ว่าโหลวจวินเหยาไม่ต้องการผู้ใดให้เห็นเขาในสภาพเช่นนั้น ดังนั้นจึงแหวกม่านออกเล็กน้อยก่อนจะผลักขวดยาเข้าไปด้านใน

ภายในห้องมืดสนิทไม่อาจเห็นสิ่งใด

ทว่าที่มุมหนึ่งกลับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังส่องแสงเรืองอ่อน ๆ ออกมา นัยน์ตาสีม่วงคู่หนึ่งส่องประกายระยับท่ามกลางความมืด ดูราวกับคนผู้นี้สามารถมองเห็นในความมืดมิดได้

ขวดกระเบื้องขวดเล็กตั้งอยู่ที่หน้าประตู

เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น ผิวหน้าตรงตาด้านขวามีเส้นเลือดสีแดงฉานเกาะกินไปทั่วใบหน้า ราวกับเป็นจอมปีศาจที่มาจากขุมนรก

เขายื่นมือออกไปคว้าขวดยานั่น ด้านในมียาลักษณะกลมสีเขียวส่องแสงเรืองเล็กน้อยนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น

เขากลืนยาเม็ดนั้นเข้าไปอย่างไม่ลังเล

พิษเพลิงและน้ำแข็งในร่างยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือดราวกับต้องการเอาชนะอีกฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้ ความเจ็บปวดรุนแรงที่ซัดอยู่ในร่างพลันค่อย ๆ เลือนหายไปยามกลืนยาเม็ดนั้นลงไป

ไม่กี่อึดใจ ทั้งความร้อนและความเย็นที่กัดกินร่างต่างก็หายไปจนสิ้น ราวกับพวกมันพากันตกลงสู่ห้วงนิทราลึก

เส้นเลือดเป็นแผงดูน่ากลัวบนใบหน้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ จนกระทั่งหายไปจนหมด

ในห้องยังมีกระจกอยู่บานหนึ่ง ทว่ามันกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว กระทั่งโหลวจวินเหยาผู้ทรงอำนาจ ยังไม่อาจทนมองใบหน้าปีศาจของตนเองไหว

เขายืนนิ่งงัน หลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง ก็หยิบเศษกระจกที่แตกกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นนัยน์ตาสีม่วงก็ค่อย ๆ เคลื่อนมามองเงาสะท้อนจากเศษกระจกนั่น

ไม่มี ไม่มีร่องรอยอะไรเลย

ใบหน้าหล่อเหลาที่ทั้งมนุษย์และเซียนต่างพากันแค้นใจกลับปราศจากร่องรอยใดๆ

เขายกมือขึ้นแตะใบหน้าตนเอง

หรือเขาจะ….. เห็นภาพหลอน?

ใบหน้าเรียบเนียนเช่นนี้ ราวกับเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน

ทว่าเขาเคยเห็นใบหน้าตนเอง ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงฉานกระจายอยู่ทั่วใบหน้า จากนั้นกระทั่งตัวเขาก็ยังไม่อาจทนมองหน้าตนเองตรง ๆ ได้เมื่อพิษกำเริบอีกครั้ง

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็เกือบลืมใบหน้าของตนเองไปเสียแล้ว

ภายในห้องอันมืดมิดขนาดเล็กแห่งนั้น นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายสว่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจเขาลุกโชติช่วง ริมฝีปากมีเสน่ห์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มงามรอยยิ้มหนึ่ง

ไป๋จือเยี่ยนรออยู่ด้านนอกด้วยความร้อนใจ หัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่นขณะที่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องไม่หยุด

ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก

ไป๋จือเยี่ยนหยุดเดินในทันที หันไปมองคนที่เดินออกมาจากห้อง จากนั้นก็ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น