บทที่ 11 ก่อปัญหา

นายท่านดูไม่ต่างจากยามปกติเลย!

เมื่อไหร่ที่พิษกำเริบ ต้องใช้เวลาวันกว่าอาการจึงจะดีขึ้น ทว่าวันนี้ใช้เวลาไปเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น เรื่องแบบนี้…..

โหลวจวินเหยาไม่สนใจไป๋จือเยี่ยนที่ทำหน้าเหมือนเห็นผีเท่าไรนัก นัยน์ตาสีม่วงเย้ายวนดั่งนัยน์ตาปีศาจของเขาส่องประกาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไปสืบประวัติของเด็กคนนั้นมา!”

กระทั่งผู้สืบทอดจากตระกูลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดา อย่างตระกูลเซียนแพทย์ ยังไม่อาจทำอะไรได้ ทว่าเจ้าเด็กนั่นที่มีอายุเพียงสิบกว่าปี กลับสามารถกดฤทธิ์ของพิษปีศาจในร่างของเขาด้วยยาเพียงขวดเดียวเท่านั้น ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ กระทั่งในแดนสวรรค์และแดนเมฆาสวรรค์เอง ก็ยังเป็นที่หมายตาของคนหลายกลุ่ม แน่นอนว่าถ้าถูกคนพวกนี้ล่วงรู้เข้าล่ะก็ ต้องพากันไปแย่งเด็กคนนั้นมาเป็นพวกแน่นอน

เพราะอย่างไรในโลกที่พลังอำนาจตัดสินชะตากรรมแทบทุกสิ่ง ฐานะของนักปรุงยานั้นสูงส่งกว่าตระกูลขุนนาง หรือกระทั่งสำนักใหญ่ๆสำนักหนึ่งเสียอีก

ในแดนเมฆาสวรรค์นั้น ตระกูลเซียนแพทย์มีฐานะสูงส่งมากเช่นกัน ในตระกูลเซียนแพทย์รุ่นปัจจุบันมีไป๋จือเยี่ยนเป็นผู้สืบทอด เขาได้รับการเคารพยกย่องราวกับเป็นเทพเซียน ทว่าความสามารถด้านการแพทย์ของเด็กคนนี้สูงส่งกว่าไป๋จือเยี่ยนนัก

เขาต้องดึงเด็กคนนี้มาเป็นคนของเขาให้ได้!

ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม!!

ไป๋จือเยี่ยนสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของนายท่าน เขาถอนหายใจออกมาก่อนกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนายท่านสนใจคนผู้หนึ่งได้ถึงเพียงนี้ เกรงแต่ว่าหากเจ้าเด็กคนนั้นถูกดึงตัวมาจริง ผู้สืบทอดตระกูลเซียนแพทย์อย่างเขาคงจะกลายเป็นหมาหัวเน่า!

เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ อนาคตของเขาก็ดูจะมืดมนเสียแล้ว

——————–

เมื่อเยี่ยนซู่เดินทางออกจากวังหลวง ทำให้ผู้คนในจวนอ๋องต้องยุ่งวุ่นวายกันอีกครา

ภายในจวนอ๋อง นอกจากพระชายาเอกแล้ว ยังมีพระชายารองสองคน และอนุภรรยาอีกสี่คนที่ไม่ได้เห็นหน้าสามีมาเป็นเวลานาน ดังนั้นวันนี้แต่ละคนจึงพยายามแต่งตัวให้งดงามน่ามองที่สุด

พระชายามีบุตรและธิดาอย่างละหนึ่งคนคือเยี่ยนซีเฉิงและเยี่ยนหนิงลั่ว ลูกทั้งสองคนของนางมีพรสวรรค์และเป็นที่รักของคนในจวน ถึงความสัมพันธ์ของนางกับเยี่ยนซู่ในช่วงหลายปีมานี้จะไม่ค่อยสงบสุขเท่าใด ลูกสองคนนี้ก็ยังทำให้นางมีหน้ามีตาได้บ้าง

ส่วนพระชายารองและอนุภรรยาทั้งหลาย ต่างคนต่างมีเพียงธิดาเท่านั้น

ธิดาของพวกนาง ถึงแม้รูปโฉมจะไม่ได้งามล่มเมืองอย่างเยี่ยนหนิงลั่ว ทว่าแต่ละนางนั้นมีใบหน้าที่งดงามหมดจด ด้วยเพราะเยี่ยนซู่และภรรยาทุกนางล้วนก็มีหน้าตาโดดเด่นเหนือใคร ดังนั้นบุตรธิดาของพวกเขาจึงมีหน้าตาไม่เลวนัก

ณ เรือนสงบเงียบ

ไม่ว่าภายนอกจะมีบรรยากาศยุ่งวุ่นวายถึงเพียงไหน ทว่าคนภายในเรือนแห่งนี้กลับสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งกำลังนั่งหลับตาบำเพ็ญเพียร รอบกายมีคลื่นพลังหมุนวน ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เขาได้

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู เด็กหนุ่มเอียงหูเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้น คลื่นพลังถูกซัดไปยังประตูที่เปิดออกมาครึ่งหนึ่งอย่างรุนแรง

“หากสวนสมุนไพรของพี่ถูกเจ้าทำลาย คืนนี้พี่จะให้เสี่ยวเสวี่ยมานอนกับเจ้าด้วย~” น้ำเสียงร่าเริงเจือความอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ฟังดูทั้งนุ่มหูและไร้พิษภัย ทว่าถ้อยคำที่นางเอ่ยออกมาถึงกับทำให้เด็กหนุ่มตกใจขนลุกเกรียว

เสี่ยวเสวี่ยคือคางคกหิมะพันปี สิ่งที่มันชอบที่สุดคือพิษร้าย

ยิ่งเจ้าคางคกตัวนี้ที่อยู่ข้างกายชิงอวี่มาหลายปี นางป้อนพิษให้มันกินนับไม่ถ้วน ตอนนี้จึงกลายเป็นคางคกพิษที่มีพิษในกายร้ายแรงที่สุดในหมู่สัตว์มีพิษไปแล้ว พิษที่ทำลายขาของเขาก็ได้เจ้าเสี่ยวเสวี่ยช่วยดูดออกไปทีละนิดจนหายดี

สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นพิษร้ายกาจ เจ้าเสี่ยวเสวี่ยกลับมองเป็นอาหารเลิศรส

ทว่าเรื่องนั้นไม่ได้สำคัญกับชิงเป่ยสักนิด ที่สำคัญคือเจ้าคางคกนั่น….. หน้าตาอัปลักษณ์เกินทนต่างหาก

แค่นึกถึงหน้าตาของเจ้าเสี่ยวเสวี่ย ท้องไส้ชิงเป่ยก็พลันปั่นป่วน ใบหน้าซีดเผือก เขาเป็นเด็กหนุ่มที่รักความสะอาดจนถึงขั้นหมกมุ่น เมื่อครั้งที่ยังต้องให้เจ้าเสี่ยวเสวี่ยรักษาขา เขากินอะไรไม่ลงนานกว่าสองอาทิตย์

ชิงอวี่ที่ผลักประตูเดินเข้ามา ก็ทันเห็นใบหน้าเหมือนคนท้องผูกเข้าพอดีจึงอดหยอกเขาเล่นไม่ได้ “ก็ได้ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นหรอก ไม่รู้เจ้าเสี่ยวเสวี่ยหนีไปเล่นที่ไหน เจ้าคงไม่ได้เห็นมันอีกสักพัก”

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงสงบใจลงได้

“ทะลวงด่านแล้วใช่หรือไม่? ไม่เลวเลยนี่”

ชิงอวี่สามารถสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเจ้าเด็กคนนี้แข็งแกร่งขึ้น ชิงเป่ยนับว่าเป็นเด็กมีความสามารถในเรื่องการบำเพ็ญเพียร ทว่าน่าเสียดายที่หลายปีมานี้ถูกพิษขัดขวางเอาไว้ ทำให้ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบำเพ็ญเพียรต้องเสียไป

ทว่าชิงเป่ยดูไม่ยินดีแม้แต่น้อย เขาก้มลงมองฝ่ามือตนเองแล้วส่ายหัว “ยังไม่พอ ข้ายังอ่อนแอเกินไป”

“หือ? อ่อนแอเกินไป?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม “อย่าโลภมากนัก การบำเพ็ญเพียรจะเร่งรีบไม่ได้ สมควรบำเพ็ญจนพลังของเจ้ามั่นคงดีก่อน มิใช่กระหายความสำเร็จ มากเกินไป เพราะมันจะทำให้เจ้าสูญเสียมากกว่าสิ่งที่ได้รับกลับมา!”

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

“งั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“อย่างเช่นเมื่อครู่ กระทั่งชายเสื้อเจ้าข้ายังไม่อาจแตะต้องได้” นัยน์ตาชิงเป่ยพลันหม่นแสงลง อ่อนแอจนไม่สามารถปกป้องแม้กระทั่งตนเองได้เช่นนี้ แล้วเขาจะปกป้องพี่สาวตนได้อย่างไร…..

‘ปั้ก!’

ชิงเป่ยที่ถูกเคาะหัวดังปั้ก ชะงักไปในทันที

เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวตรงหน้า นัยน์ตาหงส์แสนเย้ายวนคู่นั้นมองมาและทำสีหน้าล้อเลียนเขา “เจ้าเด็กคนนี้ ข้าอยู่มากี่ปีแล้ว? หากเจ้าทำให้ข้าบาดเจ็บได้โดยง่าย ข้าก็อายเขาตายน่ะสิ?”

เมื่อเห็นว่าชิงเป่ยยังคงก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด น้ำเสียงชิงอวี่จึงอ่อนลง “สิ่งที่เจ้าฝึกฝนอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ข้าถ่ายทอดมันให้กับเจ้า เป็นการบำเพ็ญเพียรที่ละเอียดอ่อนเสียยิ่งกว่าที่เคยมีในดินแดนแห่งนี้ทั้งหมด เจ้าเพิ่งเริ่มบำเพ็ญตนได้เพียงสองปี ทว่าตอนนี้กลับนับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง ไม่เป็นสองรองใครในระดับเดียวกัน ต่อไปเจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน”

นางต้องอดทนค่อยเป็นค่อยไป ไม่กดดันเด็กคนนี้เกินไป ไม่เช่นนั้นหากเขาล้มแล้วไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกนางจะทำอย่างไร

ได้ยินดังนั้น ชิงเป่ยจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้ง “ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นได้แน่!”

“อืม ข้าเชื่อเจ้า” ชิงอวี่ยิ้มก่อนจะขยี้หัวน้องชาย

“ชิ ไม่อยากเชื่อว่าในจวนอ๋องของเราจะมีสถานที่น่าอนาถเช่นนี้อยู่ ผู้ใดไม่รู้อาจกล่าวหาได้ว่ามีขอทานคนใดมาอาศัยอยู่…..”

น้ำเสียงของคนผู้หนึ่งลอยมาเข้าหู ชิงอวี่ที่มีประสาทการรับเสียงดีมากคนหนึ่ง คนพวกนั้นอยู่ไม่ไกลนัก ยามเมื่อเดินเข้าใกล้เรือนก็พากันพูดอย่างสนุกปาก

ทว่า….. ที่เรือนแห่งนี้ แม้จะกล่าวได้ว่าเรียบง่ายทั้งยังไร้ความหรูหราใดๆ แต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ยังมีสวนสมุนไพรที่นางปลูกเองกับมือที่สวนด้านนอกอีก ถึงในสายตาของใครหลายคนจะมองว่า พวกมันเป็นเพียงกอหญ้าที่ขึ้นรกรุงรังหลายกอก็ตาม

สถานที่ ที่ขอทานอาศัยอยู่งั้นหรือ?

กล่าวเกินไปหน่อยกระมัง?

“พี่สาม ท่านไม่รู้อะไร! ที่เรือนแห่งนี้เคยเป็นเรือนอนุที่ไม่ได้รับความชื่นชอบอาศัยอยู่ยังไงล่ะ ที่ลูกของนางยังอาศัยอยู่ที่เรือนนี้ได้เป็นเพราะท่านพ่อมีเมตตาสงสาร” เด็กสาวพูดขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ คำพูดคำจาชั่วร้ายกว่าประโยคที่แล้วนัก

“เจ้าคนสมควรตายพวกนี้!” นัยน์ตาชิงเป่ยพลันเย็นเยียบลงทันที เขาลงจากเตียง เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู กะว่าจะไปสั่งสอนผู้หญิงไม่รู้ความพวกนั้นเสียหน่อย

ชิงอวี่ยืนพิงอยู่ที่ผนังข้างประตู นางเหยียดแขนข้างหนึ่งออกกั้นประตูไว้อย่างเกียจคร้าน เหลือบตามองเขาครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “กลับไปนั่งเสีย ทะเลาะกับสตรี เจ้าไม่ละอายบ้างหรือ?”

“คนพวกนั้นปากเหม็นเน่านัก! เจ้าจะให้ข้าทนอยู่เช่นนี้หรือ?!” ชิงเป่ยเอ่ยขึ้นอยากไม่อยากเชื่อ นางจะยังคงสีหน้าสงบนิ่งไว้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร? ทำแบบนี้ไม่ใช่นางคนเดิมที่เลยสักนิด เมื่อก่อนหากมีใครล่วงเกินนางแม้เพียงเล็กน้อย นางย่อมเอาคืนให้ถึงที่สุด!

ถูกต้องแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานหลายปีเข้า ชิงเป่ยจึงเริ่มเข้าใจนิสัยของพี่สาวของตนมากขึ้น

นิสัยเฉยชาราวกับน้ำนิ่ง ไม่เคยก่อปัญหาใดเนื่องจากนางชังปัญหากวนใจเป็นที่สุด ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่ทำตัวโดดเด่นจนกระทั่งผู้คนลืมเลือนไปว่านางยังมีชีวิตอยู่ในจวนแห่งนี้

ทว่านางเป็นสตรีที่มีความแค้นฝังลึกนัก

ไม่ว่าจะเป็นใคร หากคนผู้นั้นตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง หากนางอารมณ์ดีก็แล้วไป แต่หากคนผู้นั้นมาหาเรื่องนางในวันที่นางอารมณ์ไม่ดีละก็ คงกล่าวได้ว่าคนผู้นั้นดวงซวยเข้าให้แล้ว