เมืองชิงหมิง ทางเข้าตระกูลเสวี่ย

ตอนเสวี่ยติงเถียนบินลง เขาสังเกตเห็นว่าสถานที่เงียบจนน่าขนลุก ไม่มีแม้แต่คนคุ้มกัน มันทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ

ในไม่ช้าเขาก็มาถึงด้านนอกโถงหลัก ขณะที่เขามองด้านใน เขาก็เห็นร่างคุ้นเคยในที่นั่งอันทรงเกียรติ ผู้อาวุโสเจ็ดของโหยวหมิงกู่ โหยวกุ่ยฉี

ผู้อาวุโสเจ็ดกำลังจิบชาเงียบๆ

“ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเจ็ดจะให้เกียรติเราถึงขนาดนี้ โปรดอภัยให้ข้าที่ไม่มาต้อนรับท่าน!”

การมาของผู้อาวุโสเจ็ดคุกคามเสวี่ยติงเถียนแต่เขาก็บังคับตัวเองให้แสดงความเคารพ

โหยวกุ่ยฉีจิบชาจากนั้นก็กระแทกลงโต๊ะ

ปึก!

และหัวใจของเสวี่ยติงเถียนก็ดำดิ่ง

โหยวกุ่ยฉีแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์”เสวี่ยติงเถียน เจ้าอยู่ใต้โหยวหมิงกู่มานับร้อยปี เรามักใจดีต่อเจ้า”

“ขอรับ!มันต้อขอบคุณโหยวหมิงกู่กับผู้อาวุโสเจ็ดที่ช่วยเหลือเรา ตระกูลเสวี่ยเราถึงเติบโตได้!”เสวี่ยติงเถียนบังคับเขาให้กระวนกระวายน้อยลง ซ่อนมันไว้หลังรอยยิ้ม

โหยวกุ่ยฉีพยักหน้าและยืนขึ้น เขาเดินไปตรงหน้าเสวี่ยติงเถียน ตบไหล่เขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“ดีที่เจ้าคิดอย่างนั้น งั้น…”

ขณะพูด ใบหน้าของโหยวกุ่ยฉีก็บิดเบี้ยวและตะปบใส่ไหล่เสวี่ยติงเถียนขณะคำราม”ทำไมเจ้าถึงสุมหัวกับคนนอกและขโมยทรายเพชรของโหยวหมิงกู่?”

เสวี่ยติงเถียนตัวสั่นด้วยความโกรธ และคุกเข่าลงกับพื้น”ผู้อาวุโสเจ็ด!นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด!ตระกูลเสวี่ยไม่เคยทรยศโหยวหมิงกู่ เราไม่เคยทำอะไรแบบนั้น!”

“ฮ่าๆๆ ข้าเองก็เคยคิดแบบนั้น ว่าเจ้าคงไม่ฉวยโอกาสแทงข้างหลังเรา แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว!”

โหยวกุ่ยฉีตบโต๊ะและคำราม”หลานของเจ้าไปไหน เสวี่ยหนิงเซียงนะ?”

เสวี่ยติงเถียนผงะ แต่ไม่ตอบ

“ฮึ่ม ข้าจะบอกเจ้าให้ฟัง นางกับเด็กระยำสองคนขโมยทรายเพชรของข้าและตอนนี้พวกมันก้คงตายไปแล้วในเทือกเขาหมื่นอสูร”คิ้วของโหยวหมิงกู่ขมวดขณะที่เขานึกถึงเสียงร้องน่ากลัวตอนนั้น ถ้าเขาอยู่นานกว่านี้หน่อย เขาคงตายไปแล้ว

แม้จะไม่ได้ฆ่าทั้งสาม เขาก็สันนิษฐานว่าสัตว์อสูรนั่นคงจัดการทั้งสามไปแล้ว

เขาคิดถึงเหตุการณ์นี้ เสวี่ยหนิงเซียงเป็นประโยชน์ต่อเขา แต่ตอนนี้นางหายไปแล้ว เขากลับมามือเปล่าเช่นกัน ไร้ทั้งทรายเพชรและเตาหลอม

โหยวกุ่ยฉีได้แต่ถอนหายใจ และระบายความโกรธกับตระกูลเสวี่ย

“นำพวกมันเข้ามา!”โหยวกุ่ยฉีปรบมือและยอดฝีมือหลอมกระดูกสามคนก็ดึงคนสามคนที่โดนโซ่มัดเข้ามา

เสวี่ยติงเถียนเต็มไปด้วยความเศร้าใจ น้ำตาไหลหยดลงมา

พวกเขาคือเสวี่ยว่านหลงกับลูก ๆ ของเขา เสวี่ยกังกับเสวี่ยหลิน มีตะขอใหญ่ฝังลึกเข้าไหล่พวกเขา ตรึงกระดูกเข้าไว้ ผนึกการบ่มเพาะ จากรอยช้ำและแผลทั่วตัว มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาใกล้หมดลมหายใจแล้ว

“ผู้อาวุโสเจ็ด!”

เสวี่ยติงเถียนคำราม จ้องโหยวกุ่ยฉีด้วยดวงตาแดงก่ำ”ตระกูลเสวี่ยยอมเป็นข้ารับใช้โหยวหมิงกู่มาร้อยปีเพื่อป้องกันเมืองชิงหมิง นี่คือการตอบแทนของโหยวหมิงกู่หรือ?”

“ฮี่ๆ ตระกูลระดับสองของเจ้าไม่มีอะไรนอกจากขยะ โหยวหมิงกู่สามารถมีได้มากเท่าต้องการ สำหรับข้า เจ้าไม่ใช่ข้ารับช้ แต่เป็นสุนัขที่มีประโยชน์”

“เราโยนกระดูกให้เจ้าเป็นรางวัล และเจ้าก็ควรวิ่งอย่างมีความสุข ตอนสุนัขเริ่มตั้งคำถามกับนายถึงผลงานสำหรับหน้าที่ มันต้องคุกเข่า!”

เสวี่ยติงเถียนไม่สามารถทนคำพูดถากถางได้ เขากำหมัดและปลดปล่อยความโกรธ

เขาปล่อยแรงกดดันของยอดฝีมือระดับนภา ผลักยอดฝีมือหลอมกระดูกสามคนรอบเขาออกไปขณะที่โหยวกุ่ยฉีจ้องมองด้วยจิตสังหารที่ไหลทะลัก

“ดูเหมือนสุนัขรับใช้จะอยากแว้งกัดนายมัน ฮี่ๆๆ..งั้นมันก็ถึงเวลาแทนที่แล้ว!”

“โหยวกุ่ยฉี!”

ทั้งชีวิตเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เสวี่ยติงเถียนคำรามชื่อของผู้อาวุโสเจ็ดออกมาด้วยความโกรธ”้ข้าขอถาม การแต่งงานของหนิงเอ๋อร์เป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อใช้นางเป็นเตาหลอมและฝึกวิชายุทธ์ใช่หรือไม่?”

โหยวกุ่ยฉีมองเขาด้วยความแปลกใจก่อนหัวเราะ”ฮ่าๆๆ ข้าชินกับการดูถูกเจ้าตลอด แต่พอเห็นเจ้าฉลาดขึ้นมา ข้าก็ดีใจที่เจ้าเป็นตระกูลบริวารเดียวที่คิดได้ นี่คือเหตุผลที่ตระกูลเจ้าต้องล่มสลาย แค่เพราะเด็กโง่คนหนึ่ง!”

“สารเลว!”

เสวี่ยติงเถียนระเบิดความโกรธ แผ่พลังปราณออกมาทั้งตัว”ข้าจะฆ่าเจ้า!’

โหยวกุ่ยฉีแค่นเสียง หลบฝ่ามือของเสวี่ยติงเถียนและสวนกลับ

ปัง!

ฝ่ามือฟาดใส่หน้าอกของเสวี่ยติงเถียนและเสวี่ยติงเถียนก็กระอักเลือดขณะเซไปข้างหลัง

โหยวกุ่ยฉีฉวยโอกาสและส่งฝ่ามือไปอีกสองฝ่ามือ

เสวี่ยติงเถียนรู้สึกเหมือนหน้าอกของเขากำลังแผดเผาและพ่นเลือดออกมาเหมือนน้ำพุ

“ฮ่าๆๆ เสวี่ยติงเถียน เจ้าคิดว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้?เจ้าไม่มีค่าอะไรนอกจากผู้บ่มเพาะระดับนภาที่เพิ่งทะลวงผ่าน ขณะที่ข้าอยู่ขั้นสาม เจ้าอยู่ที่ชั้นล่าง ส่วนข้าอยู่ ณ จุดสูงสุด เจ้าไม่มีวันเอาชนะข้าได้หรอก!”

จากนั้นโหยวกุ่ยฉีก็ส่งฝ่ามือไปอีกฝ่ามือ”ตายซะ ตาแก่!แต่ดีหน่อยที่เจ้าได้รู้ว่าลูกชายกับหลานชายของเจ้าจะตามเจ้าไปด้วย!’

เสวี่ยติงเถียนไร้อำนาจต่อต้าน เขาหลับตาขณะรอการโจมตีสุดท้าย เขาไม่เคยอยากให้เกิดจุดจบเช่นนี้ต่อตระกูลเสวี่ย แต่อย่างน้อยที่สุด หลานสาวสุดรักของเขาก็รอดพ้นหายนะนี้ได้

เสวี่ยติงเถียนโล่งใจที่โหยวกุ่ยฉีสันนิษฐานว่านางตายไปแล้วและไม่ค้นหานาง…

“หยุด!’

เสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นและโหยวกุ่ยฉีก็หยุดมือ เขามองไปข้างหน้า เห็นเสวี่ยหนิงเซียงที่ประตูกำลังถือมีดจ่อคอตัวเอง

“เจ้ายังไม่ตาย?”โหยวกุ่ยฉีตกใจ เหตุผลเดียวที่เขามาตระกูลนี้ก็เพื่อให้นางเป็นเตาหลอม

เสวี่ยหนิงเซียงมองเห็นสภาพของครอบครัวนาง ปู่ของนางโดนทุบตีจนเละเป็นสุนัขข้างถนน น้ำตาของนางเอ่อล้น นางเกลียดชังโหยวกุ่ยฉีอย่างมาก

มีดจิ้มที่คอนาง เสวี่ยหนิงเซียงขู่”ถ้าเจ้ายังอยากใช้ข้าเป็นเตาหลอม ก็ปล่อยพวกเขาซะ!ไม่งั้นข้าจะปลิดชีพตัวเองเสียตรงนี้!’

โหยวกุ่ยฉีเยาะเย้ย”ฮี่ๆๆ หนิงเอ๋อร์ ลงหลังเสือเสียเถอะ เราต้องการเจ้าก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาใครมาแทนเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่มีค่าอะไร”

เสวี่ยหนิงเซียงตกใจและกังวล แต่นางก็นึกถึงการวิเคราะห์ของจั๋วฝานและเชิดคอขาวขณะเย้ยหยัน”ผู้อาวุโสเจ็ด เจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอก ข้ารู้ว่าโหยวหมิงกู่ขาดเตาหลอม ข้ารู้คุณค่าของข้า ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ งั้นข้าก็จะตายไปพร้อมตระกูลข้า”

เสวี่ยหนิงเซียงลากมีดไปตามคอ เรียกเลือดสีแดงออกมา

“หนิงเอ๋อร์ ไม่!”

“ไม่หยุด!’

เสวี่ยติงเถียนกับโหยวกุ่ยฉีกรีดร้องพร้อมกัน เสวี่ยหนิงเซียงดูถูกโหยวกุ่ยฉี”ผู้อาวุโสเจ็ด ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่พร้อมปล่อยข้าไปนะ!”

โหยวกุ่ยฉีฉายแววอำมหิต”เจ้าหนูนั่นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”

เสวี่ยหนิงเซียงหลบสายตาเขา นางรู้ว่าเขาพูดถึงใคร”เขาตายในเทือกเขาหมื่นอสูร เจ้าสามารถไปหาศพเขาได้ถ้าต้องการ แต่ข้าเกรงว่าสัตว์อสูรคงกินมันไปแล้ว”

“ฮึ่ม อย่าพยายามโกหกข้า!”โหยวกุ่ยฉีแค่นเสียง”ข้ามีศัตรูมากมาย แต่เจ้าหนูนั่นคือคนแรกที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพแบบนั้น กลับมามือเปล่าแถมยังบาดเจ็บสาหัส”

โหยวกุ่ยฉีหัวเราะต่อ”แม่นางน้อย อย่ามองข้าแบบนั้น ยังไงซะเจ้าก็ไม่มีทางอ่านความคิดข้าได้หรอก เจ้าหนูนั่นคงบอกเจ้าแล้ว”

เสวี่ยหนิงเซียงไม่ยอมละสายตา ซึ่งทำให้โหยวกุ่ยฉีส่ายหัว”ไม่ว่ายังไง ข้าคงต้องยอมถอย ในเมื่อเจ้ายืนกราน ข้าก็จะไม่เอาชีวิตครอบครัวเจ้า”

“จริงหรือ?”เสวี่ยหนิงเซียงกำลังจะไปช่วยปู่นางด้วยความยินดี แต่โหยวกุ่ยฉีกลับสะบัดมือและเจาะเข้าตัวเสวี่ยติงเถียน!

“อ้าก!’

เสียงร้องทรมานดังขึ้นและเสวี่ยติงเถียนก็หมดสติไป หน้าอกของเขาชุ่มไปด้วยเลือด กระดูกไหปลาร้าของเขาโดนเจาะ เหมือนกับลูกชายเขา

“โหยวกุ่ยฉี เจ้า..”

“ข้าบอกว่าจะไม่ฆ่า แต่ปู่เจ้าคือยอดฝีมือระดับนภา ข้าต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะไร้พลัง แน่นอน ข้าจะปล่อยพวกมันทีเดียวตอนเราไปโหยวหมิงกู่แล้ว”

“เจ้าควรรักษาคำพูด!”เสวี่ยหนิงเซียงจ้องเขา

โหยวกุ่ยฉีพยักหน้าพลางหัวเราะ”ข้าจะโกหกได้ยังไงในเมื่อเจ้ามีค่ามากขนาดนั้น!”

“พวกเจ้า พาแม่นางหนิงเอ๋อร์ไปพัก เราจะกลับไปโหยวหมิงกู่พรุ่งนี้เช้า!”

ชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัวข้างเสวี่ยหนิงเซียงพร้อมข้ารับใช้สองคน จั๋วฝานคงจำเขาได้ทันที เขาคือโหยวหมิง ผู้แทรกซึมเข้าภูเขาลมดำในฐานะหยางหมิงและต่อมาก็หนีออกเมืองเนตรสายลม

โหยวหมิงที่ยืนข้างเสวี่ยหนิงเซียงหัวเราะเยาะ”เจ้าก็คือเตาหลอมสำหรับศิษย์พี่ของข้า?ข้าต้องบอกว่าเจ้าสวยมาก”

เสวี่ยหนิงเซียงพ่นลมหายใจ หันไปมองครอบครัวนางขณะเดินจากไป

โหยวหมิงยักไหล่จากนั้นก็เดินไปหาโหยวกุ่ยฉี”ท่านอาจารย์ ท่านอยากให้เราทำอะไรกับตระกูลลั่ว?เราเสียหายหนักมากในน้ำมือของพ่อบ้านพวกมัน จั๋วฝาน!”

เสวี่ยหนิงเซียงชะงักงันกับชื่อนั้น

“เจ้าได้บอกใครไหมว่าเขาฆ่าผู้อาวุโสของเราไปสองคน?”

“ยังครับ!”โหยวหมิงระมัดระวัง”ต่อให้ข้าบอก ก็คงไม่มีใครเชื่อข้า”

“ฮ่าๆ ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ไม่กี่เดือนก่อน ข้าพบกับเจ้าหนูที่โต้กลับทุกอย่างที่่ข้าโยนใส่เขาได้ ด้วยความกว้างใหญ่ของโลก มันย่อมมีพวกสัตว์ประหลาดเช่นนั้นอยู่”

“ท่านอาจารย์ งั้น..”โหยวหมิงพูดเสียงเบา

ดวงตาของโหยวกุ่ยฉีระเบิดจิตสังหารออกมา”เราจะจัดการกับเจ้าหนูสารเลวนี้ก่อน จากนั้นค่อยคิดหาทางจัดการจั๋วฝานนั่น ไม่งั้นถ้าสองคนนี้เกิดร่วมมือกันขึ้นมา มันคงเป็นฝันร้ายของโหยวหมิงกู่

เสวี่ยหนิงเซียงกังวลกับคำพูดนั้นและรีบเร่งฝีเท้า

นางกังวลเนื่องจากโหยวกุ่ยฉีหมายตาจั๋วฝานเพราะนาง แต่ไม่มีใครรู้ว่าบุคคลทั้งสองที่พวกเขาพูดจะเป็นคนคนเดียวกัน

ค่ำคืนดูเหมือนจะไร้สิ้นสุดสำหรับเสวี่ยหนิงเซียง หัวใจของนางไม่สามารถหาความสงบได้เลย

ยามรุ่งสาง แสงแดดแรกสาดส่องผ่านลานเล็กๆของตระกูลเสวี่ย ข้ารับใช้นับสิบกำลังเตรียมเสวี่ยหนิงเซียงให้พร้อม

ในขณะเดียวกัน คลื่นกระแทกก็ได้เคลื่อนผ่านเทือกเขาหมื่นอสูรเขตแรก และเผยให้เห็นถ้ำดำสนิท

ชายเปลือยกายเดินโซเซอยู่ข้างนอกท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ทำให้ตัวของเขาเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ

ทุกย่าวก้าวของเขาทิ้งรอยลึกลงไปในดิน แม้แต่หินก็ยังแหลกเป็นผงธุลี

เขาหลบแสงแดดและมองไปรอบๆ เขาก้าวไปอีกก้าวและใช้มือค้ำกำแพงเพื่อพยุงตัว

แต่การกระทำเล็กน้อยของเขาได้ทำลายกำแพงหินจนหมดและเขาก็ล้มลงกับพื้น

ชายคนนั้นยืนขึ้นท่ามกลางเศษหิน แต่ทว่า หินที่เขาทับก็แหลกเป็นผงธุลี

เขาใช้เวลาครู่หนึ่งในการปรับตัว ตอนนี้ใบหน้าของเขาแสดงความมุ่งมั่น และชายคนนี้ก็ไม่ใช่ใครนอกจากจั๋วฝาน

เพียงแต่ว่าสัดส่วนกับเค้าโครงหน้าเขาราวกับรูปปั้น แผ่กลิ่นอายทรงอำนาจ ตอนเขาลืมตา มันมีสายฟ้าแล่บเป็นประกายอยู่ในนั้น

จั๋วฝานรู้สึกถึงพลังในตัวและเผยรอยยิ้มคลั่งไคล้ ทุกที่ที่เขาสัมผัสจะส่งเสียงโลหะออกมา

เขาพอใจอย่างมากกับกายใหม่ ซึ่งตอนนี้ได้รับการขัดเกล้าอย่างสมบูรณ์ด้วยทรายเพชร และแข็งแกร่งพอๆกับอาวุธจิตวิญญาณระดับห้า

จากนั้นเขาก็แตะหน้าผากและเปลวเพลิงสีฟ้าก็พวยพุ่งออกมา

นี่คือเปลวเพลิงทที่ยอดฝีมือลึกลับมอบให้เขา เขาไม่สามารถควบคุมมันได้จนกระทั่งตอนนี้ แต่ด้วยการหลอมของค่ายกลพิศดาร มันได้ผสานเข้ากับดวงวิญญาณเขาและกลายเป็นไฟวิญญาณของเขา เขาสามารถใช้มันได้ตามใจชอบแล้ว

พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้

กระบวนการหลอมเหมือนตกนรกทั้งเป็น เจ็บปวดและถึงตาย แต่ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ ตอนนี้เขาเกิดใหม่ด้วยกายเพชรที่ไม่มีวันแตก แม้กระทั่งยอดฝีมือระดับนภาก็ไม่สามารถทำให้เกิดรอยบุ๋มบนตัวเขาได้

ด้วยความคิดนั้น ปีกสายฟ้าคู่หนึ่งก็ปรากฏ งอกจากแผ่นหลังเขา ยกเขาขึ้นสูงในอากาศสิบเมตร

พวกมันคือปีกของวิหคสายฟ้า สิ่งมีชีวิตที่ความเร็วเหนือยิ่งกว่ายอดฝีมือระดับนภา นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกหลอมพวกมันเข้ากับตัวเขา

เช่นนี้ เขาจึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง!

เขาสวมเสื้อผ้าใหม่ เขาพุ่งไปเมืองชิงหมิงเหมือนสายฟ้า..