เซี่ยเจิงลืมไปแล้วว่าเคยได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหน ความโดดเดี่ยวนั้นเป็นสภาวะปกติของมนุษย์ อาจจะดูเสแสร้งไม่มีเหตุผลไปสักนิด แต่สำหรับเซี่ยเจิงแล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

        เซี่ยเจิงคิดว่าตัวเขาคงจะเคยชินแล้วที่ต้องเผชิญหน้าทุกอย่างเพียงลำพัง ทว่าความจริงคือ คนเราไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงคนเดียวไปได้ตลอด ดังนั้นในตอนที่ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ข้างเขาและออกหน้าแทนเขาในวันนี้ เซี่ยเจิงจึงเพิ่งจะรู้ว่า แท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีคนมายืนอยู่ข้างๆ ตัวเองก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

        “ขอบคุณนะ”

        ในระยะห่างเพียงแค่นี้ ชวีเสี่ยวปอสามารถเห็นหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้าของเซี่ยเจิงได้อย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อขยับเข้าไปใกล้ ลมหายใจที่ค่อนข้างชื้นของอีกฝ่ายก็ตกกระทบลงมายังหน้าของเขา ชวีเสี่ยวปอมองตัวเองที่สะท้อนในรูม่านตาของเซี่ย แล้วเขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า :

        “ขอบใจอะไรกัน นายต้องการความช่วยเหลือฉันก็แค่เข้าไปช่วยเท่านั้นแหละ”

        แล้วจู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาสองครั้งอย่างประหลาด ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังตึกๆ ตึกๆ ออกมาอย่างผิดปกติ

        ซึ่งมันทำให้เขาไม่กล้าที่จะสบตากับเซี่ยเจิงตรงๆ คงจะเป็นเพราะตั้งแต่ที่เขาทั้งสองรู้จักกันในวันนั้น การไม่ชอบขี้หน้ากันถือว่าเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของเขาทั้งสอง ดังนั้นเมื่อเซี่ยเจิงพูดขอบคุณออกมาด้วยใจจริง จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่

        “ที่จริงแล้วฉันก็เตะออกไปแรงมากอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอจับศีรษะของตัวเอง “ถึงยังไงนั่นมันก็พ่อนาย”

        “แค่ทางสายเลือดเท่านั้นล่ะ” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปัดปอยผมที่เปียกชื้นบนหน้าผากออก “มองเห็นไหม? ”

        “ตีนผมดูดีมาก ไม่มีวี่แววว่าที่ผมจะร่วงนะ” ชวีเสี่ยวปอตอบ

        “ให้นายดูตรงนี้” เซี่ยเจิงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ด้านหนึ่งของคิ้วตัวเอง

        “คิ้วแตกน่ะเหรอ” ชวีเสี่ยวปออ๋อขึ้นมา “ฉันรู้อยู่แล้ว ตอนที่ต่อยกับนายครั้งแรก…ตอนที่เจอกับนายครั้งแรกก็เห็นมันแล้ว แค่นี้เองยังจะเอามาอวดอีก”

        “นายคิดว่าฉันโกนมันเองหรือยังไง? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ “นายดูดีๆ สิ”

        “ไม่ใช่หรอกเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอยื่นหน้าเข้าไป แล้วดูคิ้วของเซี่ยเจิงอย่างละเอียด… มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย คิ้วที่แตกเป็นเพราะว่าตรงนั้นมีรอยแผลเป็น จึงทำให้ขนคิ้วตรงนั้นมันไม่งอกออกมา

        “ตอนเด็กเขาทะเลาะกับแม่ของฉัน แล้วลงไม้ลงมือ” เซี่ยเจิงลูบผมของเขาไปสองที “ฉันเลยรีบวิ่งเข้าไปกอดขาเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาเข้าใกล้แม่ของฉัน นี่เป็นแผลที่เขาใช้แก้วน้ำมาทุบลงมา แต่ถ้าเบี่ยงไปอีกนิดก็จะทุบลงไปที่…” เซี่ยเจิงไปพูดต่อ

        ถ้าเบี่ยงมาอีกนิดเขาก็จะตาบอดไปข้างหนึ่ง

        ชวีเสี่ยวปออ้าปากขึ้นมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกอัดอั้นตันใจมาก ราวกับว่าเห็นภาพท่าทางของเซี่ยเจิงตัวน้อยที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเลือดกำลังเอาตัวเข้าไปขว้างเพื่อที่จะปกป้องแม่ที่อยู่ด้านหลังปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น ชวีเสี่ยวชวีรู้สึกเสียใจที่เขาพูดประโยคที่ว่า “ถึงยังไงนั่นมันก็พ่อนาย” นี้ออกไปเมื่อครู่ เขานั่งเงียบอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นจึงด่าคำหยาบออกไปหนึ่งคำ

        “เชี่ย”

        “ช่างมันเถอะ” เซี่ยเจิงตบไปที่ไหล่ของเขา เหมือนกำลังปลอบเขากลับไปด้วยเช่นกัน “ถือซะว่าเติมสีสันให้กับชีวิตตัวเอง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

        ชวีเสียวปอกำลังจะพูดว่า ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง แต่ร่างกายกลับซื่อตรงยิ่งกว่า ทั้งยังจามออกมาเสียงดังลั่น

        “บ้าจริงเลย ไปเปลี่ยนละ เปลี่ยนๆ” ชวีเสี่ยวปอสูดจมูก บ่นพึมพำและเดินเข้าบ้านไป

        หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเจิงก็ไปดูแม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวายครั้งหนึ่ง แม่ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะดีขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหลับไปแล้ว แต่ตรงหว่างคิ้วก็ยังคงขมวดไว้อยู่ เซี่ยเจิงดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้แม่ของเขา หลังจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นชวีเสี่ยวปอกำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง แต่เท้ายังวางอยู่บนพื้น ขาของเขาขยับไปมาอย่างอยู่ไม่นิ่ง ท่อนบนสวมเสื้อของเซี่ยเจิง แต่มันสั้นไปหน่อย จึงเผยให้เห็นท้องเล็กน้อย

        “ตอนกลางวันคงจะไม่ได้กินปลาแล้วล่ะ” เซี่ยเจิงนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ เจ้าเตียงไม่รักดีจึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา

        ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปากออกมา “เมื่อคืนตอนนอนฉันยังไม่กล้าจะพลิกตัวเลย นายรู้ไหม? เสียงเอี๊ยดอ๊าดนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันจะถล่มลงไปได้ตลอดเวลาเลย”

        “งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ ในใจก็คิดว่านายก็ไม่ได้พลิกตัวน้อยนะ แถมยังพลิกขึ้นมาทับฉันด้วย

        “ไม่กินก็ไม่กิน” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้ว “ให้คุณป้าพักผ่อนเถอะ”

        ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้อยากอาหารสักเท่าไหร่ เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวายขนาดนี้ มันช่างทำให้คนรู้สึกขยะแขยงเสียจริง ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอยังคิดอยู่เลยว่าตอนที่แม่ของเซี่ยเจิงทำกับข้าว ตัวเขาจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเข้าไปช่วยไปเป็นลูกมือสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากนอนลง และรอให้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านไป

        เซี่ยเจิงชนเขาไปทีหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอจึงขยับออกไปด้านข้างนิดหน่อย ทั้งสองคนเงียบสนิทไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย จากนั้นเซี่ยเจิงจึงนอนลงไปข้างๆ เขา

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอมองไปบนเพดานซึ่งเป็นจุดด่างๆ ที่เกิดจากความเปียกชื้น “พ่อแม่ของนาย…แม่ของนายหย่ากับเขามากี่ปีแล้วเหรอ? ”

        “น่าจะตอนฉันประมาณแปดขวบล่ะมั้ง” เซี่ยเจิงหลับตาลง ราวกับกำลังระลึกความทรงจำอย่างละเอียด แต่มันก็นานเกินกว่าจะจำได้แล้ว

        “ถ้างั้นเขาก็ตามดื้อพวกนายแบบนี้มาหลายปีแล้วล่ะสิ? ”

        “อืม”

        “แล้วพวกนายไม่คิดที่จะย้ายบ้านอะไรแบบนี้บางเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบปี ช่างเป็นช่วงเวลาสิบปีที่ยาวนานซะเหลือเกินที่พวกเขาต้องถูกคนแบบนั้นมาตามรังควานชีวิตไม่หยุดไม่หย่อน เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย

        “เคยคิดแล้ว แล้วก็เคยย้ายแล้วด้วย” เซี่ยเจิงฝืนยิ้มออกมา “แต่ไม่รู้ว่าเซี่ยรุ่ยเซินไปรู้มาจากไหน และก็กลับมาก่อกวนอยู่เหมือนเดิม เจ้าของบ้านกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้พวกเราย้ายออกมา”

        “วิญญาณร้ายไม่ไปผุดไปเกิด” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันพูด “แล้วเขาขอเงินไปทำอะไร? ”

        “ใช้หนี้พนัน”

        “ให้ตายเถอะ” ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอเหมือนจะได้ยินรางๆ ว่าคืนเงินอะไรทำนองนี้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการพนัน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพนันเช่นนี้ ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอยังเด็กอยู่ก็ได้รู้จักมาจากชวีอี้เจี๋ย ในตอนนั้นชวีอีเจี๋ยมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ค่อนข้างดีคนหนึ่ง ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ ทั้งยังมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอถูกชวีอี้เจี๋ยพาไปร่วมงานเลี้ยง ยังเจอคนคนนี้อยู่สองสามครั้ง แต่พอผ่านไปเพียงแค่ประมาณครึ่งปี ชวีเสี่ยวปอก็บังเอิญไปได้ยินเวินลี่พูดว่าชวีอี้เจี๋ยไปร่วมงานศพเขาแล้ว หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอถึงได้รู้ว่าคนคนนั้นเสียชีวิตแล้ว

        โดยการฆ่าตัวตาย

        ติดพนันจนทำให้ครอบครัวล่มจม พ่อเฒ่านอนอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรอเงินที่จะเอามาช่วยชีวิต แต่กลับถูกเขาเอาไปอุดกับเงินที่เสียไป และยังคิดอยู่เสมอว่าตัวเองจะสามารถเงยหน้าอ้าปากได้อีกสักครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นก็กลับตกต่ำยิ่งกว่าเดิมจนน่าเวทนา

        ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า “การพนัน” คำคำนี้มันมีความหมายอะไรแฝงเอาไว้… นักพนันที่ชอบพูดว่า “ฉันจะปรับปรุงตัว” “จะไม่ไปเล่นพนันแล้ว” “ช่วยฉันหน่อยนะ” คำเหล่านี้มันก็เป็นเหมือนกับบาดแผลอันเน่าเฟะบนตัวของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก ทว่าเพียงแค่ถลกผ้าที่ปกปิดความอัปยศนั้นขึ้นมา ก็จะเห็นบาดแผลนั้นใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว ราวกับว่าความเน่าเฟะนั้นจะไม่มีวันหยุดกัดกินไปตลอดกาล จนกระทั่งถึงในวันที่ถูกยึดทรัพย์สินไปจนไม่เหลืออะไรเลย

        ห้ามไปติดมันโดยเด็ดขาด

        ต้องอยู่ให้ห่างไกลจากมันมากที่สุด มิเช่นนั้นสิ่งที่จะรอคุณอยู่ก็คือหลุมลึกที่ฆ่าคนโดยปราศจากเลือด

        ชวีเสี่ยวปออยากที่จะกำชับเซี่ยเจิงสักสองสามประโยค แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่พูด ถึงยังไงตัวเองก็เป็นเพียงแค่คนยืนดูอยู่ข้างๆ แต่เซี่ยเจิงนั้นคือคนที่อยู่ในกระแสน้ำวนนี้จริงๆ ผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะมากมายยังไม่มีหนทางที่จะเอาตัวเองออกมาได้เลย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเซี่ยเจิงในตอนนี้ก็กล้าหาญมากพอแล้วเช่นกัน

        คำปลอบใจที่พูดออกมาได้ก็คงจะดูเกินความจำเป็นไปหน่อย ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่นาน และในที่สุดก็พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า : “ฉันเลี้ยงข้าวนายละกันนะ? ”

        ฟู่

        เซี่ยเจิงกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง เขานึกขึ้นมาได้ถึงตอนที่เขาประเมินชวีเสี่ยวปอไว้ครั้งก่อน เด็กน้อย เด็กน้อยจริงๆ เหมือนกับเด็กน้อยชั้นอนุบาลอย่างไรอย่างนั้นเลย พอเห็นนายไม่มีความสุขก็หยิบลูกอมกำหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วจึงพูดว่าให้นายกิน พอกินแล้วนายก็จะมีความสุข ดีไหม?

        แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าเพียงแค่ว่า ถ้าเขาทำเช่นนั้น นายก็จะมีความสุขขึ้นมา

 

        ทำตัวเป็นเด็ก…แต่ก็จริงใจสุดๆ เลยล่ะ