ทว่าข้าวมื้อนี้ก็ไม่ได้กินอยู่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยเจิงไม่ให้เขาเลี้ยง แต่เป็นเพราะแม่ของเซี่ยเจิงยังไม่รู้สึกตัว เขาไม่วางใจที่จะให้แม่อยู่บ้านเพียงคนเดียว ทั้งสองคนเลยทำกับข้าวมั่วๆ กินกันเอง ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังวางตะเกียบลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

        ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้นพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา ด้วยความลังเลอยู่นิดหน่อย

 

        “รับเถอะ เดี๋ยวฉันไปล้างชามเอง” เซี่ยเจิงจึงรีบยกชามและตะเกียบของทั้งคู่ขึ้นมา เพื่อที่จะให้ความเป็นส่วนตัวกับเขา

 

        “ฉัน…” ชวีเสี่ยวปออยากที่จะพูดอะไรออกมา แต่เซี่ยเจิงกลับเดินออกไปแล้ว เขามองไปยังหน้าจอที่เขียนว่า “ท่านแม่” ซึ่งเขาเป็นคนตั้งให้เวินลี่ จากนั้นจึงกดรับโทรศัพท์

 

        “ฮัลโหล”

 

        “ฮัลโหล ลูก? ” เวินลี่ที่อยู่ในสายดูเหมือนจะใช้ความพยายามลองโทรหาเขาดูอีกสักครั้ง เพราะถึงยังไงตัวเธอเองก็โทรมาหลายต่อหลายสายแล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้รับเลยสักสาย ดังนั้นเมื่อจู่ๆ มีเสียงจากปลายทางดังขึ้นมาจึงทำให้เธอทั้งรู้สึกตกใจและดีใจไปพร้อมกัน “ลูกอยู่ไหน? กินข้าวหรือยัง? ”

 

        “อยู่บ้านเพื่อนครับ” ชวีเสี่ยวปอทำท่าแคะนิ้วไปด้วย ในขณะนั้นก็มีเสียงเซี่ยเจิงที่กำลังล้างจานดังออกมา จึงทำให้เขาถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปเล็กน้อย ทั้งยังตอบออกไปอย่างใจลอย

 

        “ลูก” เวินลี่ลังเลที่จะพูดออกมา แต่ความจริงแล้วต่อให้เวินลี่ไม่พูด ชวีเสี่ยวปอก็รู้อยู่แล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร

 

        เวินลี่ถอนหายใจออกมา ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “อย่าโกรธไปเลยนะลูก กลับบ้านกันเถอะ อย่าไปรบกวนที่บ้านเพื่อนเขาเลยนะ”

 

        “ผมไม่อยากเจอชวีอี้เจี๋ย” ชวีเสี่ยวปอพูดไปตรงๆ

 

        “แม่รู้” เวินลี่เงียบไปครู่หนึ่ง เธอไม่ชอบให้ชวีเสี่ยวปอเรียกชื่อของชวีอี้เจี๋ยตรงๆ แต่ในตอนนี้ก็คงต้องปล่อยไปเลยตามเลย “สองวันนี้พ่อของลูกน่าจะไม่ได้กลับมาหรอก เชื่อฟังแม่นะ กลับบ้านเถอะ หรือลูกบอกแม่มาก็ได้ว่าลูกอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวแม่ให้คนขับรถไปรับ? ”

 

        “ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมเรียกรถกลับเอง แค่นี้นะครับ” ชวีเสี่ยวปอรีบวางสายไปทันที แล้วเขาก็นั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว

 

        “ขนมปังน้อย” ชวีเสี่ยวปอยืนพิงกรอบประตูห้องครัว พลางมองไปยังเซี่ยเจิงที่สวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้และกำลังล้างโฟมออกจากอ่างล้างจานอยู่

 

        “อะไรนะ? ” เซี่ยเจิงได้ยินไม่ชัด จึงยื่นมือไปปิดก๊อกน้ำ “นายโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม อีกเดี๋ยวจะกลับบ้านแล้ว” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง เนื่องจากเขาผูกผ้ากันเปื้อนแน่นเกินไปหน่อย จึงทำให้เห็นว่าเอวของเซี่ยเจิงดูเล็กมาก จากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงหัวเราะออกไปอย่างร้ายกาจ พลางยื่นนิ้วชี้ออกไป “นายใส่แบบนี้เหมือนกำลังใส่กระโปรงตัวเล็กอยู่เลยอ่ะ”

 

        “งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงก้มลงไปมอง จากนั้นเขาก็รีบถกชายผ้ากันเปื้อนขึ้นมา เผยให้เห็นขายาวที่ใส่กางเกงขาสั้นเอาไว้อยู่ จากนั้นเขาก็ยกมือมาเท้าเอวแล้วทำท่าทางยั่วยวน “เย้ายวนใจไหม? ”

 

        “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอตกตะลึงไปสามวินาที เซี่ยเจิงนี่ช่างเป็นคนที่ชอบทำให้คนอื่นประหลาดใจขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ

 

        “พอแล้วๆ แค่นี้พอ” เซี่ยเจิงถอดผ้ากันเปื้อนออก กลั้นขำเอาไว้จากนั้นก็เดินไปตบหลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ แต่เขาก็ยังคงใช้มือกุมท้องเอาไว้และหัวเราะออกมาไม่หยุด

 

        “เป็นเรี่องเป็นราวเลยจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าลึกๆ ทั้งยังยกนิ้วโป้งยื่นให้เซี่ยเจิงด้วย

 

        “ก็นายพูดเองว่าเหมือนใส่กระโปรงไม่ใช่เหรอ? ” เซี่ยเจิงยื่นนิ้วไปจิ้มยังจุดบ้าจี้ของชวีเสี่ยวปอ และในที่สุดตัวเองก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งคู่จึงหัวเราะออกมาด้วยกันอย่างสนุกสนาน

 

        หลังจากที่ทั้งสองคนหยุดหัวเราะ ชวีเสี่ยวปอที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ก็ส่งเสียงโอ๊ะออกมา เหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ : “ตอนบ่ายนายต้องไปสอนพิเศษด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วคุณป้าจะทำยังไงอ่ะ? ”

 

        “คงไม่ไปแล้วละ” เซี่ยเจิงพูดออกมาอย่างสบายๆ “เดี๋ยวโทรอธิบายให้เขาฟัง ถ้าเปลี่ยนวันได้ก็เปลี่ยน แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็ช่างมันเถอะ”

 

        “แล้วเงินสองร้อยหยวนล่ะ” ชวีเสี่ยวปอร้อนใจขึ้นมา พอร้อนใจออกไปแล้วเขาก็ผงะไป… เงินสองร้อยหยวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักหน่อย แล้วเขาจะร้อนใจไปทำไมกัน? อีกอย่างเขาเก็บเรื่องเงินอันน้อยนิดนี้มาใส่ใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันคงจะสำคัญต่อเซี่ยเจิงมาก ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปด้วยใบหน้าเหยเก : “ถ้างั้นให้ฉันช่วยดูคุณป้าให้ก่อนไหม? แล้วนายก็ไปสอน? ”

 

        “ขอบใจ” เซี่ยเจิงยิ้ม “แต่ถ้าแม่ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอฉันก็จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เหมือนกับแม่ของนายที่จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นนายอีกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ”

 

        “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย” ชวีเสี่ยวปอยกศอกขึ้นมาทำท่าจะศอกเข้าไปที่เซี่ยเจิง ซึ่งมันก็เป็นเพียงแค่การทำท่าทางเท่านั้น เขารู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย และสาเหตุหลักที่ทำให้เขากลัดกลุ้มเช่นนี้ก็คือ เซี่ยเจิงพูดจี้ใจดำเขาเข้าแล้ว

 

        และแล้วเขาก็พบว่าเซี่ยเจิงนั้นถือว่าเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งที่ตัวเขาก็รู้อยู่อย่างชัดเจนแต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมา ราวกับว่าเขารู้ไปหมดซะทุกเรื่อง เพียงแวบเดียวก็สามารถมองผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

        เจ้าขนมปังน้อยนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

 

        “ได้ งั้นฉันไปก็ได้” ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเวินลี่ก็ส่งข้อความมาเร่งเขาอีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้แล้ว จึงจำต้องเตรียมตัวออกเดินทาง

 

        “เดี๋ยวก่อน” เซี่ยเจิงพูดขึ้นพลางรีบเดินเข้าบ้านไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับสิ่งของอย่างหนึ่งที่ถือไว้ในมือ

 

        “อะไรเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอรับมาดู เป็นกล่องพลาสติกกล่องหนึ่งข้างในมีคุกกี้ที่เซี่ยเจิงทำไว้เมื่อเช้าบรรจุไว้อยู่

 

        “นายชอบกินไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเจิงพูด “เอากลับไปให้คุณป้าชิมด้วยก็ได้นะ” หลังจากคิดครู่หนึ่งจึงเสริมออกไปอีกประโยคว่า “อย่าทะเลาะกันล่ะ”

 

        “ทะเลาะอะไรเล่า” ชวีเสี่ยวปอมองคุกกี้ที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงชูมันขึ้นมา “ไปล่ะ”

 

        “อืม” เซี่ยเจิงก็โบกมือให้เขาด้วยเช่นกัน

 

        เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินไปถึงประตูรั้ว ก็หยุดยืนอีกครั้ง เมื่อหันหลังกลับมาก็เห็นเซี่ยเจิงยังคงยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นในท่าทางเดียวกันกับเมื่อครู่นี้

 

        “มีอะไรงั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม

 

        “ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอตะโกนออกไป “เจอกันวันจันทร์เพื่อนร่วมโต๊ะ” แล้วเขาก็หันหลังเดินเข้าซอยไป

 

       

        แน่นอนว่าเมื่อกลับถึงบ้านก็ยังคงเป็นเช่นเดิม พอเวินลี่เห็นชวีเสี่ยวปอเข้าบ้านมาก็เรียกเขาว่า “ลูกสุดที่รัก” หรือไม่ก็ “ลูกชาย” ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ทำราวกับว่าเมื่อคืนชวีเสี่ยวปอจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลจนทำให้เธอคิดถึงจนแทบจะทนไม่ไหว

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร หลังจากนั้นเขาก็อธิบายไปว่าเรื่องต้วนเหล่ยนั้นเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งมันก็ทำให้เวินลี่ตกใจไปไม่น้อย และหลังจากเงียบอยู่พักใหญ่จึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้พ่อของลูกผิดจริงๆ เดี๋ยวแม่จะต้องไปต่อว่าเขาแน่นอน” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันคงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้นั่นล่ะ เวินลี่จะไปว่าอะไรชวีอี้เจี๋ยได้? อีกอย่างชวีอี้เจี๋ยจะคิดยังไง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

 

        เช้าวันจันทร์เขารู้สึกเวียนศีรษะจากการนอนไม่เต็มอิ่ม เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินไปถึงทางแยกก็รู้สึกว่ากายละเอียดของเขายังคงนอนอยู่บนเตียง และที่เดินอยู่บนถนนนี้ก็เป็นเพียงแค่กายหยาบของเขา จนกระทั่งเขาถูกคนมาตีเข้าที่ด้านหลังอย่างแรง ในขณะนั้นร่างทั้งสองของเขาจึงได้รวมเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็มีเสียงที่ไม่ค่อยพอใจของซือจวิ้นดังเข้ามาในหูของเขา

 

        “ปอเอ๋อร์ ฉันตั้งใจมารอนายที่นี่เลยนะ” บ้านของซือจวิ้นและบ้านของชวีเสี่ยวปออยู่คนละทางกัน ดังนั้นเขาจึงตื่นแต่เช้าเพื่อมารออยู่ตรงนี้

 

        “วันเสาร์อาทิตย์ไม่เจอกันเลยคิดถึงฉันเหรอ” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลงพลางพ่นลมหายใจออกมา พร้อมทั้งทำท่าทางทะเล้นอย่างไม่จริงใจ

 

        “ฉันร้อนใจต่างหากล่ะ !” ซือจวิ้นจับไหล่ของชวีเสี่ยวปอแล้วเขย่าเบาๆ “พวกของต้วนเหล่ยแก๊งนั้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ”

 

        “ก็ตีกันไปยกหนึ่งล่ะมั้ง” ชวีเสี่ยวปอตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก พร้อมทั้งถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นเล็กน้อยให้ซือจวิ้นเห็นผ้าพันแผลที่พันไว้จนหนานั่น “แล้วก็เป็นแบบนี้นี่แหละ”

 

        “บ้าเอ๊ย” ดวงตาของซือจวิ้นมองตรงออกไป “ปอเอ๋อร์…”

 

        “ทำไม? ถ้ายังทำเสียงแบบนี้เลิกฉันต่อยนายแน่” เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดจบ ก็เห็นเงาของคนคนหนึ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว

 

        “เซี่ยเจิง !”