เสียงตะโกนของชวีเสี่ยวปอได้ยินชัดเจนทุกตัวอักษร เซี่ยเจิงจึงต้องบีบเบรกที่มืออย่างแรง จนทำให้เกิดเสียงแหลมจนแสบแก้วหู

 

        ชวีเสี่ยวปอทั้งวิ่งทั้งกระโดดออกไปอย่างดีใจ โดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าใบหน้าของซือจวิ้นที่อยู่ข้างหลังนั้นได้แสงสีหน้าออกมาว่าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

 

        “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือไปจับถุงพลาสติกของเซี่ยเจิงที่แขวนไว้บนแฮนด์จักรยาน ซึ่งในนั้นมีเครปจีนที่ยังร้อนๆ อยู่เลย

 

        “อืม” รอบตาของเซี่ยเจิงดูคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าแล้วเมื่อวานคงจะไม่ค่อยได้นอน

 

        “คุณป้าเป็นยังไงบ้าง? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “พอไหวอยู่” เซี่ยเจิงพูดอย่างสบายๆ แต่ท่าทางที่เหนื่อยล้าของเขากลับทรยศเขาและเปิดเผยความจริงออกมาให้เห็นเข้าแล้ว เมื่อคืนแม่ของเขาเอาแต่ร้องไห้ตลอด เซี่ยเจิงเลยต้องนั่งเฝ้าเขาทั้งคืน “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”

 

        “ตาหมีแพนด้าของนายมันจะลงมาถึงคางอยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “นี่ เดี๋ยวเลิกเรียนฉันไปเยี่ยมคุณป้าหน่อยละกัน? ” ในขณะที่พูดชวีเสี่ยวปอก็เดินไปโรงเรียนพร้อมกับเซี่ยเจิงด้วย จนกระทั่งเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ชวีเสี่ยวปอจึงรีบหันกลับไปทันที แล้วเรียกซือจวิ้นที่เดินตามหลังมาอย่างช้าๆ : “เร็วสิ รีบตามมา !”

 

       

        หลังจากเลิกเรียนคาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้า ชวีเสี่ยวปอก็ถูกซือจวิ้นคว้าตัวเอาไว้

 

        “วันนี้นายต้องอธิบายให้รู้เรื่อง !” ซือจวิ้นไล่ต้อนชวีเสี่ยวปอไปที่มุมของกำแพง แล้วบังคับให้เขามองตัวเอง

 

        “อะไรๆ อะไรอีกเล่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกประหลาดใจ

 

        “นี่นายยังเห็นฉันเป็นพี่น้องอยู่ไหม” ซือจวิ้นพูดกับชวีเสี่ยวปออย่างไม่พอใจ “นายเปลี่ยนใจไปแล้ว”

 

        “เห็นสิ ฉันก็เป็นพ่อที่ดีของนายมาตลอดนี่” ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้น “เปลี่ยนใจอะไรกัน”

 

        “ไม่ใช่ ก็เขานั่นไง” ซือจวิ้นใช้สายตาชี้ไปยังเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ “นายสองคนนี่ยังไงกันแน่”

 

        “อะไรคือยังไงกันแน่” ชวีเสี่ยวปอดึงคอเสื้อของตัวเอง “ครั้งก่อนนายก็ถามไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

 

        “นายโกหก” บนใบหน้าของซือจวิ้นแทบจะมีประโยคที่ว่า “ชวีเสี่ยวปอนายเปลี่ยนใจแล้วแน่ๆ ตอนนี้ข้าช่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยจริงๆ ” เขียนไว้อยู่เต็มหน้าของเขา “นายสองคนไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ นายยังไม่สนใจเลยว่าฉันกินข้าวเช้าหรือยัง”

 

        “คืนวันนั้นที่เขาช่วยฉัน” ชวีเสี่ยวปอเขย่าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บ “ไม่งั้นก็แผลก็คงจะไม่เล็กเท่านี้หรอก”

 

        “อ๋อ” ซือจวิ้นชำเลืองมองที่หลังของเซี่ยเจิงอีกครั้ง แล้วพึมพำออกไปเสียงเบาว่า “ถือว่ายังมีคุณธรรมอยู่มาก”

 

        “นายอยากให้ฉันสนใจว่านายกินข้าวเช้าหรือยังด้วยเหรอ” ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางออกมาโบกให้ซือจวิ้น

 

        “ไม่ใช่” ซือจวิ้นเบิกตากว้าง “งั้นเรื่องจดหมายรักก็ช่างมันแล้ว? ”

 

        “…เปล่า” พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ได้อึดอัดจนยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับในตอนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว หรือว่าเป็นเพราะหลังจากที่ถูกเซี่ยเจิงปฏิเสธความรู้สึกนั้นก็จืดจางลงไปแล้ว แต่อย่างไรก็แล้วแต่เขารู้สึกแค่ว่าเขาไม่อยากที่จะจริงจังกับเรื่องนี้อีกต่อไป ทว่าตอนที่อธิบายให้ซือจวิ้นฟัง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าทำไมปากกับใจของเขาถึงไม่ตรงกัน “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลังเถอะ มันคนละเรื่องกัน แล้วอีกอย่างนายไม่เห็นเหรอว่าโหยวเจียจับตามองฉันทั้งวัน ถ้าฉันมีเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ฉันก็คงจะไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้แล้วละ”

 

        “มันก็จริง” ซือจวิ้นยังอยากที่จะพูดอะไรออกมาอีก แต่เสียงกริ่งเข้าเรียนกลับดังขึ้นมาซะก่อน ทั้งคู่จึงเดินกลับเข้าที่นั่งของตัวเองไป จากนั้นโหยวเจียที่ถูกชวีเสี่ยวปอนินทาไปเมื่อครู่ก็เดินเข้าห้องมา

 

        ห้องเรียนในวันจันทร์ที่บรรยากาศแสนจะอึมครึม วันหยุดอันแสนสั้นสองวันนี้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่มีแรงกดดันมากมายเช่นนี้มันช่างไม่พอให้ได้พักหายใจหายคอได้เลยเสียจริงๆ ดังนั้นในขณะที่โหยวเจียเดินเข้ามาจึงยังมีนักเรียนหลายคนฟุบหน้านอนหลับอยู่บนโต๊ะ ถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของเจียงอี้หยางที่นั่งอยู่ด้านหลังถัดจากโต๊ะเขา

 

        “เรียนวิชาอะไรอะ? ” เซี่ยเจิงที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะตั้งแต่คาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้าเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วถามชวีเสี่ยวปอออกไปด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย

 

        “ประวัติศาสตร์” ชวีเสี่ยวปอหันไปมองโหยวเจียอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาเดินเข้ามายืนอยู่หน้าชั้นเรียนนานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นจึงตอบเขาไป “นอนเต็มอิ่มแล้วเหรอ? ”

 

        “ยังเลย” เซี่ยเจิงขยี้ตา แต่ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้เลยว่าบนหน้าของเขาถูกรอยพับของเสื้อผ้าประทับลงไปจนเห็นเป็นเส้นสีแดงสองเส้นอย่างชัดเจน

 

        “ตื่นๆ ลุกขึ้นมาๆ” โหยวเจียมองไปยังพวกเขา และใช้แรงตีไปบนโพเดียมหน้าชั้นเรียนสองครั้ง “ครูเข้าใจทุกคนนะ เช้าวันนี้ครูก็ยังนอนไม่เต็มที่เหมือนกัน ถ้าจะนอนก็ค่อยไปนอนตอนพักกลางวัน ในวิชาของครู ครูไม่อนุญาตนอน แต่ถ้าเป็นวิชาของครูคนอื่นครูจะไม่ยุ่งเลย !”

 

        โหยวเจียจับหลักจิตวิทยาของนักเรียนได้เป็นอย่างดี พูดแค่เพียงคำสองคำก็ทำให้ในห้องเรียนมีเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อยเลย

 

        “เอาล่ะ ครูขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง” โหยวเจียยกมือขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง “ปลายเดือนหน้า โรงเรียนจะจัดการแข่งขันบาสเกตบอล ซึ่งโดยปกติแล้วชั้นมอหกจะไม่เข้าร่วม และจะแข่งขันกันภายในระดับชั้น ชั้นมอสี่และมอห้าก็จะมีผู้ชนะชั้นละหนึ่งทีม เมื่อกี้คุณครูหยางที่อยู่ห้องสายวิทย์มาพูดขิงครูตั้งนานสองนาน แล้วชั้นพวกเรามีใครจะเข้าร่วมบ้าง? มีใครอาสาไหม? อย่าทำให้ครูต้องขายหน้าคุณครูหยางนะ”

 

        “ครู ผมครับ !” ซือจวิ้นรีบยกมือและยืนขึ้นมาทันที “ผมเข้าร่วมครับ !”

 

        “เธอต้องเข้าร่วมอยู่แล้วละ” โหยวเจียพยักหน้าแสดงความพอใจ เดิมทืซือจวิ้นก็อยู่ในทีมนักกีฬาของโรงเรียนอยู่แล้ว โอกาสแบบนี้ไม่พลาดแน่นอน

 

        “ยังมีอีกไหม? ” โหยวเจียกวาดสายตามองไปรอบๆ

 

        แล้วก็มีผู้ชายอีกหลายคนยกมือขึ้น ความจริงแล้วคนเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะเดิมทีห้องสายศิลป์ผู้ชายก็น้อยอยู่แล้ว ถ้าไม่มีตัวสำรองจริงๆ มีเพียงแค่คนลงเล่นในสนามก็พอแล้วล่ะ

 

        “ไม่ค่อยกระตือรือร้นกันเลย งั้นครูเรียกชื่อนะ” โหยวเจียถอนหายใจออกมา “ชวีเสี่ยวปอ”

 

        ชวีเสี่ยวปอที่กำลังแอบกดมือถือเล่นอยู่ด้านล่าง พอเมื่อโหยวเจียเรียกเขาขึ้นมา เขาก็ตัวสั่นราวกับกินปูนร้อนท้อง จากนั้นจึงเอนตัวไปด้านหลังจนชนเข้ากับหลังศีรษะของเจียงอี้หยางและทำให้เขาตื่น

 

        ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับออกไป เจียงอี้หยางก็ยังไม่ทันที่จะเงยหน้าขึ้นมาก็ด่าออกไปอย่างหงุดหงิดว่า : “ชวีเสี่ยวปอก้นนายไฟลุกหรือยังไง? อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ”

 

        ทั้งห้องหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

 

        “เจียงอี้หยาง !” โหยวเจียพูดไม่ออก

 

        ในตอนนี้เจียงอี้หยางถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แล้วจึงยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ

 

        “เธอก็เข้าร่วมด้วยเลย อย่ามัวเอาแต่นอนทั้งวัน ดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด” โหยวเจียยื่นมือชี้ไปที่เขา “แล้วก็ ชวีเสี่ยวปอ”

 

        “ครูครับผมไม่ได้นอนสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอวิเคราะห์สถานการณ์

 

        “เธอเล่นบาสไม่เป็นเหรอ? ” โหยวเจียมองเขา

 

        “เป็นครับ” ชวีเสี่ยวปอเล่นเป็นแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขาไม่ค่อยที่จะสนใจกิจกรรมที่ดูเป็นทางการเช่นนี้สักเท่าไหร่ ถ้าเล่นปกติทั่วไปก็พอได้อยู่ พอพูดถึงการแข่งขันเขาก็รู้สึกไม่มีแรงขึ้นมาทันที ดังนั้นซือจวิ้นจึงมักจะบอกเสมอเลยว่าเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทีม

 

        “เป็นก็ลงเล่นในสนาม” น้ำเสียงของโหยวเจียเป็นน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธได้เลย “แล้วก็เซี่ยเจิงด้วย”

 

        “ครูครับผมเล่นไม่เป็นครับ” ถ้าเทียบกับคำพูดที่ซื่อสัตย์ของชวีเสี่ยวปอแล้ว คำโกหกของเซี่ยเจิงยังค่อนข้างที่จะดูไหลลื่นมากกว่าเสียอีก

 

        “ให้มันน้อยๆ หน่อย ครูถามครูประจำชั้นคนก่อนของเธอมาแล้ว” โหยวเจียมีการเตรียมตัวมาล่วงหน้า เขาไปสอบถามมาเรียบร้อยแล้วว่าตอนที่เซี่ยเจิงอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่เคยเข้าร่วมการแข่งขันมาแล้วทั้งยังนำชั้นเรียนของเขาให้ได้แชมป์อีกด้วย “พวกเธออย่าทำแบบนี้กันซิ ครูรู้ว่าพวกเราเพิ่งจะแบ่งห้องได้ไม่นานและทุกคนก็ยังไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นทุกคนจึงต้องยิ่งใช้การแข่งขันในครั้งนี้ทำความรู้จักกันให้ได้มากขึ้น”

 

        โหยวเจียพูดร่ายยาวออกมาอีกครั้ง สุดท้ายยังแต่งตั้งให้เซี่ยเจิงมีอำนาจเต็มในการรับผิดชอบทุกเรื่องในระหว่างการแข่นขันนี้ด้วย เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขามีประสบการณ์มาก่อน

 

        “นายมีประสบการณ์มาก่อนเหรอ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง เขาเองก็ไม่มองไม่ออกว่าเซี่ยเจิงยินดีหรือไม่ยินดี แต่เขารู้สึกว่าเซี่ยเจิงน่าจะเป็นแบบเดียวกันกับเขาที่ล้วนไม่ชอบความยุ่งยากเหมือนกัน

 

        “มี” เซี่ยเจิงตอบตามความจริง

 

        “อะไรอ่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสนใจขึ้นมา

 

        “พอลงสนามก็ตะโกนให้พวกเรายอมแพ้”