ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่นอกเส้นพื้นที่ยิงประตูสามคะแนน และชู้ตลงกลางห่วงพอดี

 

        “เยี่ยมยอด” ซือจวิ้นที่ยืนอยู่ไม่ไกลปรบมือชื่นชม พร้อมทั้งยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผาก

 

        ทางฝั่งของเซี่ยเจิงก็ชูนิ้วโป้งให้ชวีเสี่ยวปอเหมือนกัน ทั้งยังโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนตรงนั้นมายืนล้อมรอบตัวเอง ตามที่โหยวเจียได้สั่งเอาไว้ หลังจากเลิกเรียนพวกเขาต้องมาเล่นให้คุ้นเคยกันสักหนึ่งเกม คนอื่นๆ ชวีเสี่ยวปอก็ค่อนข้างที่จะรู้มาบ้าง เซี่ยเจิงนั้นเล่นได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่พูด ส่วนซือจวิ้นนี่เป็นมืออาชีพเลย ทว่าระดับการเล่นของเจียงอี้หยางกลับทำให้เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ที่จริงแล้วเขาไม่เพียงแต่นอนเก่งเป็นอาชีพอย่างเดียว บาสเกตบอลก็เล่นได้ไม่เลวอยู่เหมือนกัน

 

        “พวกเรามีกันหลายระดับ ถ้าแย่งเอาที่หนึ่งมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้” ซือจวิ้นเริ่มพูดขึ้นมาก่อน และที่เขาพูดมาก็เป็นเรื่องจริง ในสนามบาสเกตบอลไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ อีกทั้งรายชื่อคนที่ลงแข่งของเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งก็มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น นักกีฬาโรงเรียนสองคนนั้นที่ซือจวิ้นรู้จักก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนที่เหลือก็ล้วนดูมีหน่วยก้านกันทั้งนั้น

 

        “พูดให้ตัวเองยอมแพ้ไปก่อนซะแล้วเหรอ” เมื่อครู่ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเล่นได้ลื่นไหลมาก แต่พอฟังที่ซือจวิ้นพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาจึงรีบพูดขึ้นมาทันที “ทำลายความปรารถนาของตัวเองแล้วเพิ่มความน่าเกรงขามให้ศัตรูงั้นเหรอ”

 

        “จริงๆ แล้ว ฉันก็รู้สึกว่าพวกเราเก่งพอตัว” เจียงอี้หยางที่นั่งอยู่บนลูกบาสค่อยๆ หันไปมองเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น “ฉันรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วพวกเราจะตามพวกเขาทันแน่นอน”

 

        “พวกนายจะพอกันได้ยัง” คนที่พูดขึ้นมานี้คือซุนเผิง ในสถานการณ์ที่พวกเขากำลังสำรวจรอบๆ โรงเรียนอย่างขะมักเขม้น จู่ๆ เขาก็พูดแทรกขึ้นมา “พวกเราจะไม่สามารถทำสำเร็จได้สักครั้งเลยเหรอ”

 

        “ถ้าเล่นกันแบบนี้เห็นทีคงจะไม่ได้” เซี่ยเจิงยกชายเสื้อแขนสั้นขึ้นมาเช็ดหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่สวยงามและแบนราบของเขา ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามบาสเกตบอล  สิ่งที่เขาเห็นก็คือผู้หญิงตรงนั้นสลับกันหยิกกันไปหยิกกันมาทั้งยังอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องเสียงแหลมออกมา จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็หันกลับมามองเซี่ยเจิงอีกครั้ง คนที่ทำให้เกิดเรื่องเขากลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าเส้นเอ็นเส้นไหนของตัวเองผิดปกติไปหรือเปล่า เพราะจู่ๆ เขาก็ขยับเดินไปสองก้าวและไปยืนอยู่ตรงข้ามเซี่ยเจิง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขวางสายตาของเหล่าเด็กสาวพวกนั้นได้พอดิบพอดี

 

        เขารู้สึกรำคาญเด็กสาวที่ชอบคุยกันจ้อกแจ้กจอแจเป็นที่สุด

 

        แต่ในใจของเขากลับไม่รู้สึกอยากที่จะยอมรับมัน

 

        ช่วงนี้เขากินเยอะจนอ้วนขึ้นจริงๆ ก่อนหน้านี้กล้ามหน้าท้องยังเห็นชัดอยู่เลย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีพุงแล้ว แต่ก็ดูจะราบเรียบไปหน่อย ไม่ได้ดูดีเหมือนกับเซี่ยเจิง

 

        ทว่าตอนที่เขามีกล้ามหน้าท้องก็ไม่มีเด็กสาวมายืนกรี๊ดอยู่ล้อมรอบตัวเขาสักหน่อย?

 

        “มีอะไรเหรอ? ” สายตาของเซี่ยเจิงมองไปตามการก้าวเท้าของเขา แล้วจึงถามออกไป

 

        “เปล่าๆ ยืนตรงนั้นแดดมันร้อน” ชวีเสี่ยวปอพูดไปอย่างไม่ได้คิด ถึงแม้ว่าจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่นอกจากตอนเช้ากับตอนกลางคืนที่พอจะมีความเย็นอยู่บ้าง ในเวลาอื่นฤดูร้อนก็ยังคงลากยาวอยู่ไม่ยอมหายไปสักที ชวีเสี่ยวปอมองย้อนแสงกลับไปก็พบเข้ากับเซี่ยเจิงที่ถูกแสงจากดวงอาทิตย์ตกในช่วงตะวันยอแสงสาดส่องปกคลุมลงมาอย่างพอดิบพอดี จึงทำให้ทั้งตัวของเขามีแสงสีลูกพีชส่องประกายอยู่รอบๆ แม้แต่เส้นขนบางๆ บนใบหน้าของเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชวีเสี่ยวปอมองเขาจนรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

 

        “นายยืนตรงนี้ยิ่งไม่โดนส่องถูกเหรอ? ” เจียงอี้หยางรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอดูแปลกๆ ไป

 

        “ไม่ต้องยุ่งกับฉันหรอกน่า” ชวีเสี่ยวปอเตะไปยังลูกบาสเกตบอลที่อยู่ใต้ก้นของเจียงอี้หยาง ในตอนนั้นเองเจียงอี้หยางจึงล้มลงไปก้นกระแทกพื้นอย่างแรง และลุกขึ้นมาไล่ตีเขาด้วยความโมโห

 

        “พอแล้วๆ เลิกเล่นกันก่อน” เซี่ยเจิงยิ้ม เรียกสองคนนั้นให้หยุดเล่นกัน “ฉันคิดว่าลองดูก็ได้นะ แต่ว่าพวกเราต้องเปลี่ยนตำแหน่ง”

 

        น้ำเสียงของเซี่ยเจิงราบเรียบมาก แต่ที่แปลกก็คือ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าหลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลับเชื่อฟังที่เขาพูด พวกเขาคอยฟังอย่างเงียบๆ ว่าเซี่ยเจิงจะพูดอะไรต่อไป ที่โหยวเจียให้เซี่ยเจิงมารับผิดชอบการแข่งขันบาสเกตบอลก็น่าจะถูกต้องแล้วล่ะ คนคนนี้ช่างมีความเป็นผู้นำและมีความสามารถที่ทำให้คนเชื่อฟังได้จริงๆ

 

        ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือสามารถพึ่งพาได้

 

        “สวีเจี๋ยกับเจียงอี้หยางสลับกัน เจียงอี้หยางนายไปอยู่ตรงตำแหน่งของหมายเลขสี่” เซี่ยเจิงเงยคางขึ้นเพื่อบอกกับสวีเจี๋ยที่เงียบมาตลอด “มีปัญหาอะไรไหม”

 

        “ไม่มีปัญหา” สวีเจี๋ยตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม

 

        “ชวีเสี่ยวปออยู่ตำแหน่งหมายเลขสอง” เซี่ยเจิงมองไปยังเขา

 

        “รับทราบ ไว้ใจได้เลย” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นมาไว้ที่ข้างคิ้ว ทำท่าวันทยหัตถ์ให้เซี่ยเจิงด้วยความทะเล้น

 

        “ส่วนฉันกับซุนเผิง…เดี๋ยวดูก่อนว่าต้องเปลี่ยนไหม แต่ซือจวิ้นไม่ต้องเปลี่ยน” เซี่ยเจิงพูดจบก็กระทืบเท้าลงกับพื้น “แต่ว่า ในเมื่อคิดที่จะแข่งขันกัน ไม่แย่งกันเป็นที่หนึ่งก็คงจะไม่สนุก ทุกคนมาทำให้เต็มที่กันเถอะ”

 

        เวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว อีกเดี๋ยวซือจวิ้นยังต้องมีซ้อมกับโค้ชอีก ซึ่งเขาจะไปสายไม่ได้โดยเด็ดขาด หลังจากที่เซี่ยเจิงพูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ในตอนนี้จึงเหลือเพียงชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงแค่สองคน

 

        “อวดดี” ชวีเสี่ยวปอนั่งลงตรงใต้แป้นบาสเกตบอล ดูเซี่ยเจิงที่กำลังเลี้ยงลูกบาสอยู่ “ฉันนึกว่านายจะไม่ยอมเข้าร่วมซะอีก คิดไม่ถึงว่านายจะตั้งใจมากขนาดนี้”

 

        “ก็ไม่ได้ยอมซะทีเดียวหรอก” เซี่ยเจิงโยนลูกบาสไปให้เขา ชวีเสี่ยวปอก็รับมาได้อย่างสบายๆ “แต่ในเมื่อได้ทำแล้ว ก็ทำให้ดีไปเลยแล้วกัน”

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี แต่พอเมื่อมองไปที่เงาของเซี่ยเจิงที่กำลังเดินมาหาตัวเอง เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะในขณะที่เซี่ยเจิงพูดประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา สิ่งที่ตัวเขาเองคิดก็คือ “ถ้างั้นก็มาทำให้ดีไปด้วยกันเถอะ” ในตอนสายที่โหยวเจียบังคับให้ตัวเขาเข้าร่วม เขาก็คิดแค่ว่าให้ความร่วมมือไปเท่านั้นก็คงพอ แต่คำพูดของเซี่ยเจิงกลับทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกมีแรงกระตุ้นขึ้นมาอย่างประหลาด ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการออกกำลังกายเมื่อครู่จึงทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งออกมาอย่างพลุ่งพล่าน

 

        “จะดื่มน้ำด้วยไหม? ” เซี่ยเจิงเดินเข้าไปถาม

 

        “เอาด้วย” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเจ็บที่น่อง จนทำให้ก้นไม่อยากที่จะขยับไปด้วย “นายซื้อกลับมาให้ฉันหน่อยละกันนะ ฉันเอาน้ำยี้ห่อม่ายต้ง เอาแบบเย็นนะ”

 

        “ไปด้วยกันสิ” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไป “จะได้ไปซื้อของกินด้วย? เดี๋ยวยังต้องมีเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำอยู่อีกนะ”

 

        ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปจับมือของเซี่ยเจิง ใช้แรงฉุดของเขายืนขึ้นมา

 

        แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกไปจากสนามบาสเกตบอลก็มีคนมาขว้างเอาไว้ก่อน

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่ต้องมองอย่างละเอียด ก็รู้เลยทันทีว่าเป็นผู้หญิงสองสามคนที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามเมื่อครู่นี้

 

        การเอาน้ำมาให้ผู้ชายหลังจากที่เขาเล่นบาสเกตบอลเสร็จแทบจะเป็นวิธีเข้ามาตีสนิทที่ทำกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็เห็นจนเบื่อแล้วเช่นกัน ผู้หญิงเหล่านี้ใช้วิธีนี้ไม่เลิกสักที

 

        “นาย ฉันให้” ผู้หญิงที่ผูกผมหางม้าตรงกลางยื่นน้ำแฟนต้าในมือที่จับไว้นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ให้เซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอเหลือบตามองไป แล้วคิดด้วยเจตนาร้ายว่าไม่แน่พอเปิดฝาออกน้ำอาจจะพุ่งออกมาใส่เขาเลยก็ได้

 

        “ขอบคุณ” เซี่ยเจิงยิ้ม “แต่ว่าไม่เป็นไร”

 

        ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ” แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนเซี่ยเจิงไม่ได้พูดแบบนี้ ครั้งก่อนที่เซี่ยเจิงเอาน้ำมาให้เขา เขารับมาอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ แถมยังมาบอกอีกว่าไม่อยากให้เธอขายหน้าอยู่ตรงนั้น

 

        “อ๋า” สาวผมม้าคนนั้นหดมือกลับเข้ามาด้วยความผิดหวัง แต่หลังจากนั้นก็รีบพูดออกไปอีกว่า : “งั้นให้ช่องทางติดต่อได้ไหม? ”

 

        “ก็…ช่างมันเถอะนะ” เซี่ยเจิงปฏิเสธออกไปอีกครั้ง

 

        และตอนจบไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่า สาวผมหางม้าคนนั้นเบะปากและถูกเพื่อนสนิทของเธอพาออกไปปลอบใจ เซี่ยเจิงกำลังจะถามชวีเสี่ยวปอว่าอยากกินอะไร แต่ชวีเสี่ยวปอกลับทำหน้าเย็นชาใส่ “ช่างเถอะ ไม่กินแล้ว” พูดจบก็เดินไปยังทางที่จะไปตึกเรียน

 

        “นายเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย” เซี่ยเจิงเดินก้าวขึ้นไปขว้างหน้าเขาไว้

 

        “นายนี่นะ” ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าตัวเองไปเก็บเอาความโกรธนี้มาจากไหน “ฉันเพิ่งรู้ว่านายนี่มันเป็นคนตีสองหน้า”

 

        “พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” เซี่ยเจิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

        “ครั้งก่อนตอนที่นายรับน้ำของเซี่ยเจิงมาก็ดูมีความสุขดีนี่ ยังใส่ใจความรู้สึกของผู้หญิงเขาด้วย แล้วทำไมครั้งนี้ไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนแล้วล่ะ? ” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากจะพูดอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรก็แล้วแต่เขาต้องระบายความไม่พอใจออกไปจากสมองของเขาให้หมดจนได้ “ฉันเดาไม่ถูกเลยว่านายเป็นคนยังไงกันแน่ บางครั้งก็รู้สึกว่านายเป็นคนมีน้ำใจมาก แต่พอนึกถึงเรื่องตอนที่นายเอาจดหมายรักไปให้เหลาหม่าฉันก็รู้สึกว่านายมันเลวจริงๆ ”

 

        “ฉันไม่ได้เป็นคนเอาจดหมายรักนั่นไปให้เหลาหม่า” เซี่ยเจิงที่เงียบมานานในที่สุดก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ

 

        “ฉันรู้ว่านายเอาไปให้ครูประจำชั้นของนาย”

 

        “ฉันไม่ได้เป็นคนเอาให้”

 

        “ถึงยังไงฉันก็รู้สึกว่า…เดี๋ยวนะ นายพูดว่าไงนะ? ” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนว่าจะต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหนไปแน่ๆ