คนทั้งสามมองอวิ๋นโม่ด้วยความคาดหวัง อวิ๋นโม่เข้าใจดี พวกเขาไม่อยากขาดการติดต่อกับตน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “เช่นนี้แล้วกัน ตระกูลอวิ๋นกับข้ามีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง หากพวกเขาเจอเรื่องลำบาก พวกเจ้าก็ช่วยดูแลสักหน่อย”

        แม้พวกอวิ๋นเลี่ยจะน่ารังเกียจ แต่ถึงอย่างไรตระกลูอวิ๋นก็คือต้นตระกูลของเขา อีกอย่างประมุขตระกูลอวิ๋นเว่ยเซิงก็ดีต่อเขาไม่น้อย ศิษย์บางคนอย่างอวิ๋นเสวียนเซิงและพี่อวิ๋นโหรวก็สนิทกับอวิ๋นโม่พอสมควร เห็นแก่พวกเขา อวิ๋นโม่ก็ยินดีปกป้องตระกูลอวิ๋น

        “ภายหน้าข้าจะหลอมอาวุธวิญญาณให้ตระกูลอวิ๋นโดยไม่คิดเงิน!” ช่างตีเหล็กฟางประกาศจุดยืน

        ผู้เฒ่ากัวกล่าวตาม “ต่อไปหากมีของดีอะไร สถานจัดการประมูลอินทรีเพลิงเราจะพิจารณาตระกูลอวิ๋นก่อน!” 

        “ข้าจะคุ้มครองตระกูลอวิ๋นสิบปี!” อู่ซานเหอเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทำให้ผู้เฒ่ากัวและช่างตีเหล็กฟางตกตะลึง การตัดสินใจเช่นนี้ต้องใช้ความกล้าอยู่บ้าง

        อวิ๋นโม่โบกมือ “ไม่ต้องถึงขนาดนั้น หากตระกูลอวิ๋นประสบปัญหา เจ้าค่อยช่วยคลี่คลายก็พอแล้ว ไม่ต้องผูกมัดตนเอง”

        ว่าแล้วอวิ๋นโม่ก็ก้าวเท้าออกจากร้าน “จริงสิ เรื่องของข้า ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้แพร่งพราย”

        เมื่อได้ยินน้ำเสียงแฝงความเย็นชาของอวิ๋นโม่ หัวใจของคนทั้งสามก็กระตุกขึ้นมา รีบรับปากโดยเร็ว

        “มีถุงเฉียนคุนแล้ว เรื่องอู่ซานเหอก็จัดการแล้ว ถึงเวลาบรรลุระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าและฟื้นฟูพลังของท่านแม่แล้ว” อวิ๋นโม่เดินออกจากร้านพร้อมกำหนดแผนการก้าวต่อไป

        ในร้านของอู่ซานเหอ ช่างตีเหล็กฟางและผู้เฒ่ากัวขอตัวลา อู่ซานเหอรีบกลับเข้าห้องฝึกฝน นำโอสถออกมาโดยไม่รีรอแล้วรีบกลืนลงไปทันที

        ตูม!

        ทันใดนั้นฤทธิ์ยารุนแรงก็ทะลวงผ่านแขนขาและกระดูกทั่วร่าง พุ่งไปตามเส้นชีพจรเข้าสู่จุดตันเถียน

        พรวด!

        ผ่านไปหนึ่งเค่อ*อู่ซานเหอก็กระอักเลือดดำออกมาคำหนึ่ง เลือดสีดำที่หยดลงพื้นลุกเป็นไฟ โต๊ะที่อยู่ด้านข้างพลอยติดไฟไปด้วย เพียงพริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

        “ฮ่าๆๆ! พิษอัคคีในกาย ในที่สุดก็ขจัดได้แล้ว!” อู่ซานเหอหัวเราะเสียงดัง ความโศกเศร้าตลอดหลายปีมลายหายไป เขานำโอสถถอนพิษอีกหนึ่งเม็ดเก็บใส่ขวดหยกอย่างระมัดระวัง วันหน้าหากมีคนบาดเจ็บจากพิษของมดพ่นอัคคี นี่ก็คือสมบัติช่วยชีวิต

        “บุญคุณที่ใต้เท้าแพทย์โอสถถอนพิษ ข้าอู่ซานเหอขอจดจำชั่วชีวิต!” อู่ซานเหอเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

        …………………

        “พวกเราเห็นก่อน ทั้งยังจ่ายเงินแล้ว เรื่องอะไรต้องยกให้เจ้าด้วย!”

        ขณะที่อวิ๋นโม่ซึ่งกลับสู่รูปโฉมเดิมเตรียมตัวกลับบ้านก็ได้ยินน้ำเสียงขุ่นเคืองของเมิ่งเอ๋อร์ดังมาจากถนน 

        ‘หรือมีคนรังแกเมิ่งเอ๋อร์’ สีหน้าอวิ๋นโม่ขรึมลง ยกเท้าก้าวออกไป เสียงของเมิ่งเอ๋อร์ดังขึ้นไม่ขาดตอน ชัดเจนว่าถูกคนรังแกแน่แล้ว

        “เฮอะๆ ฐานะอย่างพวกเจ้าคู่ควรกับกริชเล่มนี้หรือ เพื่อซื้อกริชเล่มนี้เกรงว่าคงต้องขายทรัพย์สินจนหมดบ้านสินะ”

        อวิ๋นโม่ได้ยินเสียงของอวิ๋นเสี่ยวกั่วด้วย น้ำเสียงดูถูกของนางพุ่งเป้าไปที่เมิ่งเอ๋อร์ ทำให้อวิ๋นโม่สีหน้าเคร่งขรึมลงอีก จากนั้นเสียงคุ้นเคยก็ดังตามมา “นั่นก็ไม่แน่ ครอบครัวของมันไม่รู้ว่าร่ำรวยมาจากไหน ไม่เพียงต่อเติมบ้านใหม่ ของกินของใช้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก”

        “อวิ๋นเลี่ย!” นัยน์ตาอวิ๋นโม่สว่างวาบ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเลวนั่นจะยังไม่เข็ดหลาบ

        “เอ๋ จริงหรือเนี่ย ได้ยินมาว่าคลังยากลายเป็นว่างเปล่าเพราะฝีมือหนอนบ่อนไส้ ไม่แน่ว่า… จุ๊ๆ!” เสียงอวิ๋นเสี่ยวกั่วดังขึ้นอีกครั้ง

        “เจ้าพูดไร้สาระอะไร! นี่เป็นเงินที่พี่ชายข้าหามาได้!” เมิ่งเอ๋อร์พูดอย่างมีน้ำโห

        “เหอะๆ ก็แค่ระดับเสริมกำลังคนหนึ่ง จะหาเงินได้มากขนาดนั้นหรือ ช่างน่าขำ อีกอย่างไม่เห็นเขาช่วยงานอะไรของตระกูลสักนิด จะหาเงินมาจากที่ไหนได้” อวิ๋นเสี่ยวกั่วยิ้มเย็น

        เมิ่งเอ๋อร์พูดไม่ออกชั่วขณะ อวิ๋นโม่เคลื่อนไหวลึกลับ นางเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาเงินมาจากไหน แต่นางเชื่อใจพี่ชายตนเอง เขาจะต้องไม่ทำเรื่องอย่างการขโมยของในคลังยาของตระกูลแน่นอน “พี่ชายข้าหาเงินทองอย่างไรไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า! หากเจ้ายังกล้าใส่ความ ข้าจะไปให้ท่านประมุขตระกูลตัดสิน!”

        “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นก็ได้ พวกเจ้ามอบกริชเล่มนั้นออกมา นั่นเป็นกริชล้ำค่า ฐานะอย่างพวกเจ้าไม่คู่ควร!” อวิ๋นเลี่ยเหยียดหยาม

        “เมิ่งเอ๋อร์ แล้วกันไปเถอะ กริชนี้แพงมาก ข้าเก็บไว้ก็ไม่เหมาะสมเท่าไร”

        นี่ย่อมเป็นเสียงของอวิ๋นปิงฮวา

        “ไม่ได้นะ!” เมิ่งเอ๋อร์ตัดบทรุนแรง อย่างไรก็ไม่ยอมถอย “วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ในเมื่อเจ้าถูกใจกริชเล่มนี้ ข้าก็จะซื้อให้เจ้าเป็นของขวัญ! ใครบอกว่าเจ้าไม่คู่ควรกับมัน ข้ายังรู้สึกว่า กริชเล่มนี้ไม่คู่ควรกับเจ้าอยู่บ้างต่างหาก ยิ่งกว่านั้นกริชเล่มนี้พวกเราเห็นก่อน ทั้งยังจ่ายเงินไปแล้ว พวกเขาต่างหากคือคนที่มาแย่ง!”

        “เฮอะๆ อย่างนางเนี่ยนะ ยังกล้าบอกว่ากริชนี้ไม่คู่ควรกับนาง ข้าฟังผิดไปหรือไม่” ดวงตาของอวิ๋นเสี่ยวกั่วจ้องอวิ๋นปิงฮวาอย่างล้อเลียน ทำให้อวิ๋นปิงฮวารู้สึกอับอาย

        “ทำไม เจ้าคิดว่าฐานะของเจ้าสูงส่งแค่ไหนกัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของอวิ๋นเสี่ยวกั่ว เมิ่งเอ๋อร์หันไปก็มองเห็นอวิ๋นโม่ ส่วนอวิ๋นเลี่ยที่อยู่ข้างกายทำคอหด เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา

        “พี่ใหญ่!”

        “พี่อวิ๋นโม่!”

        เมิ่งเอ๋อร์และอวิ๋นปิงฮวาเห็นอวิ๋นโม่ก็ดีใจ

        อวิ๋นโม่เดินช้าๆ ไปหาน้องสาวและอวิ๋นปิงฮวา สายตาที่มองมาทำให้อวิ๋นปิงฮวารู้สึกอุ่นใจ เด็กหนุ่มหันไปทางอวิ๋นเสี่ยวกั่ว “ในความเห็นของข้า กริชเล่มนี้ไม่ค่อยคู่ควรกับปิงฮวาจริงๆ แต่ในเมื่อเมิ่งเอ๋อร์ตั้งใจมอบให้ ปิงฮวา เจ้าก็ฝืนใจรับเสียหน่อยเถอะ”

        “เจ้าค่ะ พี่อวิ๋นโม่” พอมีอวิ๋นโม่อยู่ ความกล้าของอวิ๋นปิงฮวาก็เพิ่มขึ้น

        “อวิ๋นเสี่ยวกั่ว เจ้าคิดว่าฐานะของเจ้าสูงส่งมากอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นโม่ยิ้มถาม

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วไม่พูด อวิ๋นโม่ล้มอวิ๋นเลี่ยได้ ทำให้นางรู้สึกกลัวอยู่บ้าง

        “อวิ๋นเลี่ย ดูเหมือนว่าพอแผลหายเจ้าก็ลืมความเจ็บที่เคยได้รับสินะ ถึงกล้ารังแกน้องสาวของข้า พวกนางจ่ายเงินซื้อกริชไปแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะแย่งอีก?”

        อวิ๋นเลี่ยพึมพำพลางถอยไปอยู่ด้านหลังอวิ๋นเสี่ยวกั่ว

        “ตัวไร้ประโยชน์!” 

        เรื่องที่ทำให้อวิ๋นโม่ต้องประหลาดใจก็คือ อวิ๋นเสี่ยวกั่วถึงกับกล้าด่าทออวิ๋นเลี่ย ส่วนอวิ๋นเลี่ยก็ไม่กล้าพูดอะไร ก่อนหน้านี้อวิ๋นเสี่ยวกั่วเป็นฝ่ายประจบอวิ๋นเลี่ยถึงได้มีฐานะขึ้นมาบ้าง แต่ว่าตอนนี้นางกลับด่าทออวิ๋นเลี่ย

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วยืดอกขึ้น เดินออกมาก้าวหนึ่ง “อวิ๋นโม่ เจ้าคิดว่าเอาชนะอวิ๋นเลี่ยแล้วจะสามารถวางอำนาจได้แล้วสินะ อย่างไรก็เป็นแค่กบก้นบ่อ**เท่านั้น เจ้าไม่รู้หรอกว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่แค่ไหน”

        อวิ๋นโม่มีสีหน้าพิกล อวิ๋นเสี่ยวกั่วถึงกับพูดว่า เขาไม่รู้จักโลกกว้าง หากถามว่าใครในอาณาจักรจั่วสุยที่รู้ซึ้งอย่างถ่องแท้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด คนผู้นั้นก็ต้องเป็นอวิ๋นโม่แน่นอน แม้ชาติก่อนเขาจะไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ แต่ประสบการณ์ที่เคยประสบพบเจอมานั้นมากกว่าที่คนทั่วไปจะเทียบได้

        “หึ! ก็แค่พวกโคลนติดเท้าเท่านั้น คิดว่าซื้อกริชเล่มนี้ได้ก็คู่ควรจะใช้มันหรือ” ปากของอวิ๋นเสี่ยวกั่วช่างร้ายกาจจริงๆ พอนางเปิดปากพูดก็ทำเอาอวิ๋นปิงฮวาน้ำตาคลอ

        “เจ้าว่าใครเป็นโคลนติดเท้า คิดว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์หรือไง” เมิ่งเอ๋อร์เถียงกลับแทนสหายของตน เดิมทีอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็เป็นคนอัตคัด อาศัยการประจบสอพลอผู้อื่นจึงพอมีเงินอยู่บ้าง แต่กลับยโสถึงขนาดนี้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

        “เหอะๆ ไม่รู้ว่าไปประจบผู้ยิ่งใหญ่คนใดถึงทำให้เจ้ามั่นใจในตนเองเช่นนี้” อวิ๋นโม่ยิ้มตอบราวกับไม่นึกโกรธเคือง ในสายตาของเขา คนอย่างอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น “วิ่งวนรอบขาผู้อื่นราวกับสุนัข เจ้าภูมิใจนักหรือ”

        “เจ้า!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วโกรธมาก อวิ๋นเลี่ยซ่อนอยู่ด้านหลังนางโดยไม่กล้าเอ่ยปาก กลัวว่าอวิ๋นโม่จะจัดการตน แต่ในไม่ช้าอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็เยือกเย็นลง จากนั้นหัวเราะเสียงเย็นชาติดๆ กัน “คิดอยากจะก้าวหน้าย่อมต้องใช้วิธีจำพวกนี้อยู่บ้าง เจ้าดูถูกวิธีการเหล่านี้จึงเป็นได้แค่กบก้นบ่ออย่างไรล่ะ”

        อวิ๋นโม่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ใครกันแน่ที่เป็นกบก้นบ่อ

        “ต่อให้เจ้าเป็นผู้เยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลอวิ๋นแล้วจะอย่างไร สายตาก็ยังคงถูกจำกัดอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างกวนซานเจิ้นเท่านั้น เหอะๆ และก็มีแต่พวกเจ้าที่เอากริชผุๆ เล่มหนึ่งมาเป็นเรื่อง” อวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะอย่างมั่นใจ

        “ในสายตาของข้า ของขวัญที่เมิ่งเอ๋อร์มอบให้ ต่อให้ไม่ได้ใช้เงินซื้อก็ถือเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้!” ยากนักที่อวิ๋นปิงฮวาจะกล้าตอบโต้อวิ๋นเสี่ยวกั่วสักครั้ง นางกำกริชในมือแน่น “ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เจ้ายังคิดจะแย่งกริชเล่มนี้อยู่เลย ตอนนี้กลับเสแสร้งว่าไม่ชอบ”

        “เจ้า!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วถูกตอกหน้าจนพ่ายแพ้เถียงไม่ออก ที่สำคัญคือสตรีที่นางดูถูกเมื่อครู่ยังทำหงอกล่าววาจาตะกุกตะกัก ตอนนี้กลับพูดได้คล่องปาก ทำให้นางขุ่นเคือง

        อวิ๋นโม่มองอวิ๋นเสี่ยวกั่วแล้วหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง จากนั้นไม่สนใจนางอีก เขาหันไปหาอวิ๋นปิงฮวา “ปิงฮวา ไม่ต้องสนใจคนน่ารังเกียจพวกนั้น เรื่องบางอย่างนางไม่มีทางเรียนรู้ได้”

        “อืม” อวิ๋นปิงฮวาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

        “ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของปิงฮวา ข้าก็สมควรมอบของขวัญเช่นกัน” อวิ๋นโม่ยิ้มกล่าว

        “พี่อวิ๋นโม่ให้ของขวัญปิงฮวามามากมายแล้ว!” อวิ๋นปิงฮวายิ้มตอบ ไม่อยากให้อวิ๋นโม่ต้องสิ้นเปลืองอีก

        “ที่ให้ไปคือเรื่องของเมื่อก่อน วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ข้าก็ต้องให้ของขวัญ” อวิ๋นโม่เอ่ยอย่างจริงจังพลางมองเข้าไปในร้านอาวุธ

        “หึ ใครกันแน่ที่เป็นคนน่ารังเกียจ! มีแต่กบก้นบ่อถึงได้เห็นกริชผุๆ เป็นสมบัติล้ำค่า น่ากลัวว่าแม้แต่อาวุธวิญญาณธรรมดาสักชิ้นก็ยังไม่กล้าฝัน” อวิ๋นเสี่ยวกั่วน้ำเสียงเย็นชา

        เจ้าของร้านไม่สนใจปัญหาของคนเหล่านี้ เห็นอวิ๋นโม่จะซื้ออาวุธก็ส่งยิ้มให้ คอยแนะนำอาวุธแบบต่างๆ

        อวิ๋นโม่มองข้ามอาวุธธรรมดาหันไปทางอาวุธวิญญาณ เจ้าของร้านดวงตาเป็นประกาย รู้ว่าอวิ๋นโม่คิด ‘ตบหน้าตนให้บวมเหมือนคนอ้วน***’ จึงรีบแนะนำอาวุธวิญญาณเหล่านั้นแก่เขา

        “พี่อวิ๋นโม่ แล้วกันไปเถอะเจ้าค่ะ ของพวกนี้แพงเกินไปแล้ว” อวิ๋นปิงฮวาเคร่งเครียดขึ้นมา อาวุธวิญญาณเหล่านี้ ขนาดชิ้นที่ถูกที่สุดยังราคาสิบกว่าเหรียญทอง

        “เฮอะๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมีเงินซื้ออาวุธวิญญาณเหล่านี้จริงๆ” อวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะเสียงเย็น นางคิดว่าอวิ๋นโม่กำลังเสแสร้ง รอให้นางจากไป จากนั้นค่อยซื้อของถูกๆ สักชิ้น ก่อนหน้านี้ครอบครัวอวิ๋นโม่ยังจนแทบตาย นางไม่เชื่อว่าแค่เวลาสั้นๆ เขาจะร่ำรวยขึ้นมา

        อวิ๋นเลี่ยที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็ไม่เชื่อว่าอวิ๋นโม่มีเงินซื้ออาวุธวิญญาณ มันรู้จักอวิ๋นโม่ดี ต่อให้อวิ๋นโม่เอาชนะมันได้ก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้นอยู่ดี อวิ๋นโม่คงไม่ได้ขโมยยาในคลังไปจริงๆ หรอกนะ

        “หึๆ ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะทำอย่างไร!” อวิ๋นเลี่ยหัวเราะในใจ เขาเกลียดชังอวิ๋นโม่ หลังจากที่เขาแพ้ ฐานะของอวิ๋นโม่ในตระกูลก็สูงขึ้น คนมากมายหัวเราะเยาะเขาอย่างไม่ไว้หน้า

        “ชิ้นนั้นราคาเท่าไร” อวิ๋นโม่ชี้ออกไป

        เจ้าของร้านมองตามไป ส่ายศีรษะตอบว่า “ชิ้นนั้น ท่านคงซื้อไม่ไหว”

        นั่นเป็นเกราะอ่อนสวมแนบตัว เหมาะสำหรับให้สตรีสวมใส่ เป็นอาวุธวิญญาณที่ไม่เลว สามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังชั้นกลาง ดังนั้นเกราะอ่อนชิ้นนี้จึงแพงกว่าอาวุธวิญญาณทั่วไปมาก

        “หึๆ อาวุธวิญญาณแบบนี้ เจ้าซื้อไหวหรือ” อวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะเยาะ รอดูอวิ๋นโม่ขายหน้า

        ………………………………………

        * 刻Kè หน่วยระบุเวลา 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

        **井底之蛙 Jǐngdǐzhīwā กบก้นบ่อ เปรียบเป็นกบที่อยู่ก้นบ่อน้ำ เห็นท้องฟ้าผ่านปากบ่อแคบๆ ก็คิดว่าเป็นท้องฟ้าทั้งหมดแล้ว หมายถึง ผู้มีความรู้หรือประสบการณ์น้อยแต่คิดว่าตัวเองรอบรู้มาก เทียบได้กับสำนวนไทยว่า กบในกะลาครอบ

        ***打腫臉充胖子 Dǎ zhǒng liǎn chōng pàngzi ตบหน้าตัวเองให้บวมเหมือนคนอ้วน เปรียบคนที่พยายามทำให้ตัวเองหน้าใหญ่เหมือนคนอ้วนแต่สุดท้ายก็ต้องเจ็บตัวเอง หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถหรือเงินทองแต่แสร้งทำเป็นเก่งหรือร่ำรวย เทียบได้กับภาษาไทยว่า หน้าใหญ่ใจโต