“พี่อวิ๋นโม่ เกราะอ่อนชิ้นนี้ไม่สวย ข้าไม่ต้องการ” อวิ๋นปิงฮวารีบเอ่ย นางถูกอวิ๋นเสี่ยวกั่วกับอวิ๋นเลี่ยหัวเราะเยาะนั้นไม่เป็นไร แต่หากทำให้อวิ๋นโม่ถูกหัวเราะเยาะไปด้วยก็ไม่ดีแล้ว

        คราวนี้แม้แต่เมิ่งเอ๋อร์ก็ร้อนใจเหมือนกัน กลัวว่าอวิ๋นโม่มีเงินไม่พอแล้วจะถูกอวิ๋นเสี่ยวกั่วหัวเราะเยาะ นางเกลียดผู้หญิงที่เคยทำร้ายอวิ๋นโม่อย่างกับอะไรดี หากอวิ๋นโม่ถูกหญิงผู้นี้เหยียดหยาม นางคงทนไม่ไหว

        “ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้ามาก” อวิ๋นโม่เอ่ยอย่างจริงจัง แม้แต่ถุงเฉียนคุนเขายังซื้อมาแล้ว เกราะอ่อนชุดนี้นับเป็นอะไรได้ “เจ้าของร้าน ราคาเท่าไร ข้าต้องการเกราะอ่อนชุดนี้” 

        “เสแสร้ง” อวิ๋นเสี่ยวกั่วส่งเสียงเย็นชา ไม่เชื่อหรอกว่าอวิ๋นโม่จะซื้อได้

        เจ้าของร้านสองตาเป็นประกาย ถึงเขาจะไม่เชื่อว่าอวิ๋นโม่ซื้อได้ แต่ก็บอกราคาออกไป “ห้าร้อยเหรียญทอง จะซื้อหรือ” 

        “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ซื้อ!” อวิ๋นโม่หยิบตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยเหรียญทองห้าใบออกมาส่งให้เจ้าของร้าน เขามีสามหมื่นเหรียญทอง ให้ช่างตีเหล็กฟางไปสองหมื่น ก็ยังเหลืออีกหนึ่งหมื่น

        เจ้าของร้านยิ้มหวานหยด คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นโม่จะจ่ายห้าร้อยเหรียญทองจริงๆ ทั้งยังรวดเร็ว ไม่ต่อราคา รวบรัดชัดเจนเสียยิ่งกว่าพวกผู้นำที่เขาเคยประจบประแจง

        “เยี่ยม!” เจ้าของร้านตื่นเต้นดีใจ นำกล่องที่สวยเป็นพิเศษมาบรรจุสินค้าแล้วค่อยมอบเกราะอ่อนชิ้นนั้นให้อวิ๋นปิงฮวา “ครั้งหน้าข้าจะให้ส่วนลดท่านหนึ่งส่วน!” 

        อวิ๋นปิงฮวาอ้าปากกว้าง รับกล่องสวยงามที่บรรจุเกราะอ่อนไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ นางเองก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

        “เขาถึงกับทำไปจริงๆ!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วตกตะลึง รู้สึกใบหน้าร้อนฉ่าราวกับโดนตบ เมื่อครู่นางดูถูกอวิ๋นโม่เอาไว้มาก คิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางซื้ออาวุธวิญญาณได้ อึดใจต่อมาอวิ๋นโม่ก็ซื้ออาวุธวิญญาณที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง ทั้งยังมอบมันให้ผู้อื่น

        “หากตอนนั้นข้าไม่ได้ทิ้งเขา เกราะอ่อนชุดนี้คงจะเป็นของข้า!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วในใจมีแต่ความเสียดาย ที่จริงนางไม่มีเงินจะซื้ออาวุธวิญญาณแม้แต่ชิ้นเดียว

        แต่ว่าอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยเหน็บแนม “มีเงินแล้วเป็นอย่างไร ใต้หล้านี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ต่อให้เจ้ามีเงินมากกว่านี้ โลกทัศน์ก็จำกัดอยู่แค่ในเมืองกวนซานเจิ้น ไม่อาจสำเร็จงานใหญ่!” 

        จากนั้นอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็รีบพาอวิ๋นเลี่ยจากไป อวิ๋นเลี่ยติดตามอวิ๋นเสี่ยวกั่วอยู่ด้านหลัง ให้นางเป็นผู้นำ

        อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะ รู้สึกว่าน่าขัน เขาไม่คิดเอาความกับอวิ๋นเสี่ยวกั่ว พวกเขาอยู่กันคนละโลก อวิ๋นเสี่ยวกั่วไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะฝันถึงเขา 

        หลังเดินออกจากร้านขายอาวุธแล้ว อวิ๋นปิงฮวาก็ยังมึนงงอยู่ ครู่หนึ่งถึงได้สติ ลนลานส่งเกราะอ่อนชุดนั้นให้เมิ่งเอ๋อร์

        “เมิ่งเอ๋อร์ เกราะอ่อนชุดนี้ข้าไม่ชอบ ให้เจ้าเถอะ!” 

        “ยัยบื้อเสี่ยวฮวา นี่เป็นของขวัญที่พี่ใหญ่มอบให้เจ้า จะเอามาให้ข้าทำไม” เมิ่งเอ๋อร์ยิ้มมุมปาก ตอนนี้นางมีความสุขมาก เพราะพี่ชายของนางนับวันยิ่งไม่ธรรมดา

        อวิ๋นปิงฮวาไม่ใช่ไม่ชอบเกราะชุดนี้ เพียงแต่ไม่กล้ารับของขวัญที่แพงเกินไปต่างหาก “พี่อวิ๋นโม่ ของขวัญชิ้นนี้แพงเกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับไว้ อีกอย่างข้าก็ยังมีพลังเพียงระดับเสริมกำลังเท่านั้น ใช้อาวุธวิญญาณไม่ได้” 

        อวิ๋นโม่ยิ้มพลางลูบศีรษะของสาวน้อย “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้ากับเมิ่งเอ๋อร์เป็นสหายกันก็เท่ากับเป็นน้องสาวของข้าด้วย พี่ชายให้ของขวัญน้องสาว เจ้ายังจะต้องปฏิเสธให้ได้หรือ ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับเสริมกำลัง แต่อีกไม่ช้าก็จะบรรลุระดับเปลี่ยนชีพจร ถึงตอนนั้นก็ต้องใช้อาวุธวิญญาณไม่ใช่หรือ สวมเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครบอกกันว่ามีแต่ระดับเปลี่ยนชีพจรจึงจะใช้อาวุธวิญญาณได้” 

        สุดท้ายอวิ๋นปิงฮวาก็รับเกราะอ่อนเอาไว้ นางยังคงใจลอยอยู่บ้าง เกราะอ่อนชิ้นนี้ราคาห้าร้อยเหรียญทองเชียวนะ นี่เป็นของที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย

        ………………………………………

        พอกลับถึงบ้าน อวิ๋นโม่ก็ใช้น้ำนมปฐพีช่วยในการฝึกฝน หลังผ่านความเจ็บปวดรุนแรง น้ำนมปฐพีหมดฤทธิ์ เขาก็เข้าสู่ระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า ทั้งยังเข้าใกล้ขั้นสูงสุดของระดับเสริมกำลัง

        อวิ๋นโม่ใช้น้ำนมปฐพีจนหมดแล้ว ในหินผลึกเหลือเพียงละอองเล็กน้อย นี่เป็นของวิเศษที่หายาก เขานำมันไปล้างในน้ำจนสะอาด จากนั้นมอบน้ำที่ล้างหินผลึกให้เมิ่งเอ๋อร์ ให้นางใช้เป็นน้ำยาเสริมกำลัง แม้มีน้ำนมปฐพีเจือปนอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีผลเสริมกำลังให้ร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวด

        เมิ่งเอ๋อร์เข้าสู่ระดับเสริมกำลังขั้นหกชั้นฟ้าอย่างคาดไม่ถึง

        อวิ๋นโม่เก็บรักษาหินผลึกที่เคยบรรจุน้ำนมปฐพีเอาไว้ เขาจะใช้มันบรรจุพลังปราณเพื่อรักษาหลีเยียน หินผลึกก้อนนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถเก็บรักษาพลังปราณเอาไว้โดยไม่รั่วไหล

        “ตอนนี้ข้ายังเป็นแค่ระดับเสริมกำลัง ไม่สามารถดึงปราณชีวิตในร่างของสัตว์อสูรระดับหนึ่งออกมา คิดจะดึงปราณชีวิตของสัตว์อสูรระดับหนึ่ง คงต้องหลอมโอสถดึงวิญญาณขึ้นมาสักเม็ด” อวิ๋นโม่พูดกับตนเอง โอสถดึงวิญญาณ เป็นโอสถที่เขาคิดค้นด้วยตัวเอง เพื่อดึงปรานชีวิตของสัตว์อสูรระดับหนึ่งหรือลมปราณภายในร่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจร 

        “ถึงตอนนั้นต้องให้ท่านแม่กินโอสถดึงวิญญาณลงไปเม็ดหนึ่ง เพื่อชักนำพลังปราณเข้าสู่จุดตันเถียน และต้องมีโอสถที่ช่วยหลอมรวมพลังปราณอีกหนึ่งเม็ด ให้ปราณชีวิตของสัตว์อสูรผสานกับลมปราณภายในร่างของท่านแม่

        “ต้องหลอมโอสถดึงวิญญาณขึ้นมาก่อน ค่อยเข้าไปในเทือกเขาเหนือเมฆา” อวิ๋นโม่ออกจากบ้านเพื่อหาซื้อสมุนไพรวิญญาณที่ต้องใช้ ขณะเขาเพิ่งออกจากบ้านก็เห็นลูกศิษย์ตระกูลอวิ๋นมากมายของห้อมล้อมชายแปลกหน้าหลายคนเอาไว้ พากันเดินไปทางหนึ่ง

        เขาเห็นฉินเหอหลินอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น

        “คนตระกูลฉินมาทำอะไรที่บ้านตระกูลอวิ๋น” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว หรือว่าตระกูลฉินรู้ฐานะของเขาแล้ว “เป็นไปไม่ได้” อวิ๋นโม่ส่ายหน้า ปัดความคิดนี้ทิ้งไป ตอนนี้สมควรไร้ผู้รู้เห็นฐานะของเขา

        “ไปชมลานฝึกยุทธ์ของตระกูลอวิ๋นก่อนแล้วกัน” บุรุษหนุ่มที่ถูกห้อมล้อมดั่งดวงจันทร์ในหมู่ดาวเอ่ยปาก อวิ๋นโม่พบว่าอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็อยู่ข้างกายชายผู้นั้น กำลังพูดพลางยิ้มพลาง ส่วนฉินเหอหลินก็ติดตามชายผู้นั้นห่างเพียงครึ่งก้าว แสดงให้เห็นว่าต่างมีฐานะสูงส่ง

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วหันมาเห็นอวิ๋นโม่ก็เชิดคางขึ้นอย่างถือดี จากนั้นไม่สนใจอวิ๋นโม่อีก แต่ยิ่งให้ความสนิทสนมกับบุรุษผู้นั้นมากกว่าเดิม

        “เฮ้อ!” อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะ หลายวันมานี้อวิ๋นเสี่ยวกั่วแสดงออกถึงความมั่นใจในตนเองมาก ทำตัวราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ คงเพราะประจบคนเหล่านั้นได้แล้วกระมัง ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นใครถึงมีศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลอวิ๋นรายล้อมมากมาย แม้แต่คนถือดีอย่างฉินเหอหลินก็ยังต้องนอบน้อมถ่อมตัว

        “เอ๋” อวิ๋นโม่ส่งเสียงประหลาดใจเบาๆ เขาพบว่ายังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตชั้นกลางคนหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้น ความสามารถของคนผู้นี้เกรงว่าอาจเหนือกว่าอวิ๋นเว่ยเซิงประมุขตระกูลอยู่เล็กน้อย

        จากนั้นอวิ๋นโม่ก็เห็นอวิ๋นเสวียนเซิง เขาติดตามอยู่ด้านหลังกลุ่มคนอย่างไม่ค่อยสนใจ ไม่เหมือนพวกลูกศิษย์ตระกูลอวิ๋นที่ล้อมหน้าล้อมหลังเด็กหนุ่มอายุน้อยด้านหน้า

        “เสวียนเซิง!” อวิ๋นโม่เดินเข้าไปเรียกอวิ๋นเสวียนเซิงไว้

        “อวิ๋นโม่!” อวิ๋นเสวียนเซิงทักทายด้วยสีหน้าดีใจ

        “เกิดอะไรขึ้น คนผู้นั้นเป็นใคร” อวิ๋นโม่ถาม

        “อ๋อ!” อวิ๋นเสวียนเซิงถอนหายใจ “เจ้ารู้จักเมืองฉยงอวี่ใช่ไหม” 

        “ก็รู้จักอยู่” อวิ๋นโม่พยักหน้า 

        เมืองฉยงอวี่เป็นเมืองติดแหล่งน้ำใกล้กับเมืองกวนซานเจิ้น แม้จะเป็นเมืองมาตรฐานขนาดเล็กที่สุดและไม่เจริญสักเท่าไร แต่ก็ยังเจริญกว่าเมืองกวนซานเจิ้นมาก ได้ยินว่ามียอดยุทธ์ระดับท่องพันลี้ประจำอยู่

        “คนผู้นั้นมาจากตระกูลหวังแห่งเมืองฉยงอวี่” 

        “ตระกูลหวังแข็งแกร่งมากหรือ” 

        “ว่ากันว่าตระกูลหวังมียอดฝีมือระดับก่อจิต ดังนั้นฐานะของตระกูลหวังในเมืองฉยงอวี่จึงไม่อ่อนด้อย ชายฉกรรจ์ผู้นั้น เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ว่ากันว่านั่นเป็นยอดฝีมือระดับก่อจิตผู้หนึ่ง ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าท่านประมุขตระกูลเลย” 

        “พวกเขามาที่ตระกูลอวิ๋นเพื่ออะไร” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว มีคนตระกูลฉินมาเป็นเพื่อน อีกฝ่ายคงไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวเป็นแน่

        “เฮ้อ ตระกูลหวังเติบโตในเมืองฉยงอวี่จนติดเพดานแล้วจึงคิดจะขยับขยายออกมา ขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่มีผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้ไม่สนใจทรัพย์สินของเมืองเล็กๆ แต่ว่าตระกูลหวังไม่เหมือนกัน ครั้งนี้ต้องการส่วนแบ่งผลกำไรทางการค้าจากเมืองกวนซานเจิ้น ตระกูลฉินการข่าวว่องไว เข้าหาตระกูลหวังตั้งแต่แรก ยินดีเป็นด่านหน้าให้ตระกูลหวัง ตระกูลอวิ๋นของพวกเราเกรงว่าคงต้องถูกสองตระกูลนี้ขูดรีดแล้ว” 

        อวิ๋นเสวียนเซิงถอนหายใจไม่หยุด “ตระกูลหวังมีอำนาจมาก ตระกูลอวิ๋นของพวกเราต้านทานไม่ไหว พวกมันต้องการผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋น พวกเราก็ไร้กำลังจะต่อต้าน” 

        อวิ๋นโม่ตบบ่าอวิ๋นเสวียนเซิง เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ตระกูลอวิ๋นจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน” 

        ในเมื่อเขาตัดสินใจจะปกป้องตระกูลอวิ๋น แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลหวังจะก่อคลื่นลมอะไรได้

        ………………………………………