“สวัสดีครับคุณป้า”

 

        เป็นอีกครั้งที่ได้มาบ้านของเซี่ยเจิง ครั้งนี้ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้เก้ๆ กังๆ เหมือนครั้งก่อนแล้ว เมื่อเข้าบ้านมาเขาก็เห็นแม่ของเซี่ยเจิงกำลังนั่งขดตัวอยู่บนโซฟา ในมือกำลังถือแผ่นปักครอสติชแผ่นเล็กเอาไว้อยู่ และกำลังตั้งใจทำอย่างใจจดใจจ่อ

 

        “จ้ะ? เสี่ยวเทามาแล้วเหรอ” เมื่อแม่ของเซี่ยเจิงเห็นชวีเสี่ยวปอก็ดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังทักทายออกไปด้วยความอบอุ่น

 

        “แม่ครับ นี่ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงรีบแก้ “วันนี้เขามานอนค้างบ้านเรานะครับ บ้านเขาไม่มีคนอยู่”

 

        “เรียกอะไรก็ได้ครับๆ ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ และไม่ได้สนใจที่ตัวเองถูกเปลี่ยนชื่อ

 

        “แม่แก่แล้ว ความจำไม่ค่อยดี” แม่ของเซี่ยเจิงตบโซฟาเบาๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลง

 

        “ไม่นั่งแล้วล่ะครับ” เซี่ยเจิงดึงชวีเสี่ยวปอ “เดี๋ยวพวกเราจะเข้าห้องแล้ว แม่เองก็ไม่ต้องปักอันนี้แล้วเหมือนกันนะ ไฟตรงนี้มันมืด เดี๋ยวสายตาจะเสียเอาได้ พรุ่งนี้ค่อยเอามาปักใหม่นะครับ”

 

        “รู้แล้วๆ ” แม่ของเซี่ยเจิงหัวเราะออกมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าการเป็นห่วงของลูกใช้ได้ผลมาก “ทำไมลูกถึงได้ขี้บ่นกว่าแม่อีกล่ะเนี่ย เสี่ยวปอลูกว่าจริงไหม? ”

 

        “จริงครับ !” ชวีเสี่ยวปอรีบสนับสนุนทันที

 

        “จริงบ้านนายสิ” เซี่ยเจิงพูด

 

        ครั้งนี้ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เกรงใจสักเท่าไหร่ พอเข้ามาในห้องเขาก็ล้มตัวลงนอนแผ่สองสลึงบนเตียงอย่างสบายใจ เซี่ยเจิงน่าจะเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เพราะเขาได้กลิ่นผงซักฟอกที่เป็นกลิ่นส้มอ่อนๆ อยู่ตรงที่เขานอนลงไป ซึ่งมันทำให้พอดมแล้วก็รู้สึกอยากนอนขึ้นมาทันที

 

        เซี่ยเจิงยังคงคุยกับแม่ของเขาอยู่ เพราะเหมือนชวีเสี่ยวปอจะได้ยินรางๆ ว่าแม่ของเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารเช้าให้เขาทั้งสองคนทาน ส่วนที่เหลือก็ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แล้ว จากนั้นพอผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นจากด้านนอก แล้วเซี่ยเจิงก็เดินเข้าห้องมา ชวีเสี่ยวปอจึงลุกขึ้นมานั่งตามไปด้วย

 

        “แม่ของฉันยังจำได้อยู่เลยว่านายยังไม่ได้กินปลา” เซี่ยเจิงยื่นนมที่อยู่ในมือให้ชวีเสี่ยวปอกล่องหนึ่ง “เมื่อกี้เขาไม่กล้าพูด เลยให้ฉันมาบอกนายว่า เรื่องครั้งก่อนขอบใจนายมากนะ”

 

        ชวีเสี่ยวปอหยิบหลอดเสียบลงไป แล้วดูดไปคำหนึ่ง “เรื่องเล็กแค่นี้เอง”

 

        แล้วทั้งสองคนก็ดื่มนมกันอย่างเงียบๆ จนหมดกล่อง จากนั้นเซี่ยเจิงจึงยื่นมือไปรับกล่องเปล่าจากมือชวีเสี่ยวปอมาโดยอัตโนมัติและโยนทิ้งถังขยะไป แล้วถึงค่อยพูดขึ้นว่า : “แม่ฉันไม่ได้เจอเพื่อนนักเรียนของฉันสักเท่าไหร่ พอนายมาเขาเลยดีใจมากเลยล่ะ ไม่งั้นแม่ฉันก็คงจะคิดว่าฉันไม่มีเพื่อนเลย”

 

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซี่ยเจิงใช้คำว่า “เพื่อน” คำนี้หรือเปล่า มันทำให้เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นพิเศษ เขารู้สึกมีความสุขมากที่เซี่ยเจิงสามารถมอบสถานะนี้ให้เขาได้

 

        “คุณป้าเข้าใจนายผิดแล้วละ” ชวีเสี่ยวปอหรี่ตาลง “ฉันรู้สึกว่าตอนอยู่โรงเรียนนายมนุษยสัมพันธ์ดีมากเลยนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าฉันมาก” 

 

        “มนุษยสัมพันธ์ดีกับมีเพื่อนมันคนละเรื่องกัน” เซี่ยเจิงถอนหายใจ “เรื่องในวันนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับได้ คนส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ชอบแหละมั้ง… ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ขายหน้า และไม่อยากให้คนอื่นได้รับรู้”

 

        “ถ้างั้นสภาพจิตใจของฉันก็คงจะแข็งแกร่งมากเลยละ” ชวีเสี่ยวปอหัวออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างหน้าไม่อายว่า : “เรียกว่าอะไรนะ เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยใจที่ไม่โลเลใช่ไหม? ”

 

        “ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจมากกว่า” เซี่ยเจิงเปิดหน้าต่าง มือก็คลำไปที่กระเป๋ากางเกง “นายน่ะเป็นคนซื่อๆ แล้วก็บ้ามากด้วย”

 

        “เฮ้ย! ฉันนึกว่านายจะชมฉันซะอีก แล้วนี่นายจะ…” ในขณะชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองพูดเสียงดังเกินไป จึงลดเสียงให้เบาลงมา “สูบบุหรี่อีกแล้วเหรอ”

 

        “งั้นไม่สูบแล้วก็ได้” นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงดึงหน้าต่างปิดเข้ามาแล้ว

 

        “ช่างมัน สูบเถอะๆ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า พร้อมกับมองไปยังเซี่ยเจิง “สูบแล้วดีเหรอ? ”

 

        “ไม่ดีหรอก” เซี่ยเจิงกระแอมไอ “แต่บางครั้งที่รู้สึกกลุ้มใจก็จะหยิบมาสูบมวนหนึ่ง มันก็ช่วยได้อยู่เหมือนกันนะ”

 

        “ฉัน…”

 

        “นายจะบอกว่า”

 

        ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน เซี่ยเจิงจึงพูดขึ้นก่อนว่า : “นายจะบอกว่า ตอนนี้นายรู้สึกกลุ้มใจสุดๆ เลยอยากจะลองสูบดูสักมวนใช่ไหม”

 

        “เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง แล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองสองครั้ง “ฉันนึกว่าฉันซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างดีแล้วซะอีก”

 

        “เหรอ” เซี่ยเจิงเปิดลิ้นชักหยิบกระจกออกมาแล้วยื่นให้เขา “นายรู้ไหมว่าบนหน้าของนายแทบจะเขียนเอาไว้อยู่แล้วว่า ‘ในใจข้าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายแต่กลับไม่มีที่ให้ระบายออกมาได้เลย’ ”

 

        “เฮ้” ชวีเสี่ยวปอรับกระจกมาถือเอาไว้ในมือ “เซี่ยเจิง พวกเราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”

 

        “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ? ” เซี่ยเจิงถามกลับ

 

        ใช่

 

        แน่นอน

 

        ความจริงแล้วเซี่ยเจิงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอที่เป็นเช่นนี้ดูน่าสนใจมาก เขาที่ทั้งตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกหวาดระแวงกับอะไรเลย แต่ในบางช่วงเวลากลับเผยให้เห็นถึงความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษอย่างที่ไม่ได้เห็นได้บ่อยนัก

 

        เซี่ยเจิงเรียกช่วงเวลานี้ว่า ความอ่อนแอ

 

        และในช่วงเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้ การมีใครสักคนที่เราสามารถเชื่อใจเขาได้ สำหรับทุกคนแล้วมันช่างเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเสียจริงๆ

 

        เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบคำถามกลับไป ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน แต่ทั้งสองคนกลับมองหาคำตอบในสายตาของกันและกัน

 

        “ฉัน…” ชวีเสี่ยวปอกำลังที่จะพูดออกมา

 

        “แป๊บนึง” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไปทำท่าทางหยุด แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

 

        “นายจะทำอะไร? ” ชวีเสี่ยวปอถามออกไปด้วยความสงสัย

 

        “เวลาแบบนี้ก็ควรจะ…” เซี่ยเจิงขยับนิ้วไปบนหน้าจอแล้วจึงกดลงไปสองครั้ง จากนั้นเพลงบรรเลิงเปียโนที่โศกเศร้าเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น “เปิดเพลงบรรเลงแบบนี้เป็นพื้นหลังสักหน่อย”

 

        ชวีเสี่ยวปออึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “นายทำรายการทอล์กโชว์หรือไง !”

 

        “อะแฮ่มๆ” เซี่ยเจิงยืดหลังตรงขึ้นมา ในขณะนั้นเขาก็ถือโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อไว้ที่ปากทำราวกับมันเป็นไมโครโฟนด้วยท่างที่จริงจัง “ถ้าอย่างนั้น แขกรับเชิญที่เราเชิญมาร่วมรายการพูดความในใจในวันนี้ก็คือ คุณชวีเสี่ยวปอ ปรบมือยินดีต้อนรับด้วยครับ”

 

        “คุณชวีเสี่ยวปอบอกว่าเขาอยากจะออกจากรายการแล้ว” ชวีเสี่ยวปอกระโดดขึ้นมาแล้วจิ้มเข้าไปที่ตรงซี่โครงของเซี่ยเจิงหนึ่งที “เพราะว่าพิธีกรติ๊งต๊องเกินไป”

 

        “เป็นเพราะว่าพิธีกรถูกจิ้มโดนตรงจุดจั๊กจี้เลยต้องขอลงจากเวทีก่อนนะครับ” เซี่ยเจิงทั้งหัวเราะทั้งขยับตัวหลบไปด้วย หลังจากนั้นก็ปิดเพลงบรรเลงเปียโนนั้นไป “แล้วต่อจากนี้ก็ขอยกเวทีให้กับคุณชวีเสี่ยวปอ”

 

        “ได้ครับ งั้นคุณชวีเสี่ยวปอก็จะพูดสักสองประโยค… ให้ตายเถอะ พวกเราเหมือนเป็นคนบ้าเลย” ชวีเสี่ยวปอพูดวิจารณ์ออกมา จากนั้นก็ตบลงไปที่ว่างข้างๆ ตัวเอง “นายมานั่งตรงนี้”

 

        “ทำไม” เซี่ยเจิงเดินไปและนั่งลงข้างๆ เขา “กลัวว่าอีกเดี๋ยวจะพูดจนตัวเองสะเทือนใจ ตอนร้องไห้ก็จะได้พิงเข้ามาในอ้อมแขนฉันหรือไง”

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอพูด “กลัวว่าอีกเดี๋ยวนายจะพูดอะไรพล่อยๆ ออกมา ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะได้ตีได้ง่ายหน่อย” ที่จริงแล้วตัวชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องให้เซี่ยเจิงมานั่งข้างๆ เขาด้วย ถึงยังไงซะยิ่งเซี่ยเจิงอยู่ใกล้เขาขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นมากเท่านั้น

 

        “ไหนเล่ามาสิว่าทำไมนายถึงไม่อยากกลับบ้าน” เซี่ยเจิงดึงหมอนออกมาแล้วปรับมุมให้พิงไปที่ด้านหลัง

 

        “นายรู้จักชวีอี้เจี๋ยไหม? ” ชวีเสี่ยวปอเอียงคอมองเขา โดยตอบออกไปไม่ตรงกับคำถาม และเขาก็คาคการณ์เอาไว้แล้วว่าคงจะได้ยินคำตอบยืนยันจากปากของเซี่ยเจิง

 

        “รู้จัก”

 

        “เขาคือพ่อของฉัน” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้ว

 

        เซี่ยเจิงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ครูหัวหน้าระดับเคยบอกกับเขาว่าฐานะทางบ้านของชวีเสี่ยวปออยู่ในระดับที่ดีมาก ต่อให้ไม่ต้องพยายามก็สามารถมีชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไปได้มากเลยทีเดียว เซี่ยเจิงจึงได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าชีวิตของชวีเสี่ยวปอจะ “ดีมาก” ถึงระดับนี้

 

        “สุดยอด” เซี่ยเจิงหาคำที่จะมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของตัวเองอยู่สักพัก แต่เขาก็รู้สึกว่าคำสองคำนี้มันทั้งดุดันและเรียบง่าย เหมาะสมที่สุดแล้ว

 

        “แม่ของฉัน” ชวีเสี่ยวปอหยุดพูดไป… จากมุมที่เซี่ยเจิงนั่งอยู่ เขามองเห็นลูกกระเดือกของชวีเสี่ยวปอขยับขึ้นลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่

 

        “แม่ของฉัน เป็นมือที่สามของชวีอี้เจี๋ย”