อึดอัดใจ

 

        ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง พยายามบรรเทาความรู้สึกอึดอัดใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่

 

        ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดถึงเรื่องส่วนตัวในครอบครัวของเขาให้คนอื่นฟังอย่างตรงไปตรงมา แม้แต่ในตอนแรกที่ซือจวิ้นรู้เรื่องนี้ ก็เป็นเพราะว่าครั้งนั้นเขาดื่มจนเมาถึงได้พูดระบายออกไปจนเปลือก

 

        แต่กับเซี่ยเจิงในครั้งนี้มันต่างออกไป ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังค่อยๆ วางหีบห่ออันหนักอึ้งที่ตัวเองแบกเอาไว้ลง แล้วเปิดมันออกให้เขาดู

 

        เขายอมเชื่อใจคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้ว่าเขาจะไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้เซี่ยเจิงมีความรู้สึกอย่างไร

 

        รู้สึกแปลกใจ? ไม่เข้าใจ? เอือมระอา? หรือว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้รู้สึกที่จะอยากรู้เรื่องที่แสนจะยุ่งยากวุ่นวายเหล่านี้เลยสักนิด?

 

        ชวีเสี่ยวปอไม่รู้เลยจริงๆ

 

        แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้หลังจากเขาพูดประโยคนั้นจบก็คือ จริงๆ แล้วตัวเขาเองรู้สึกรับไม่ได้กับคำสารภาพที่น่าอับอายเช่นนั้น ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นมาแล้วกระทืบเท้าอย่างแรงสองครั้ง ดูเหมือนว่ากำลังระบายอารมณ์ แต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังปิดบังอะไรเอาไว้ด้วยเช่นกัน

 

       เซี่ยเจิงยังคงนั่งอยู่ในท่าเอาหลังพิงกำแพงอยู่เช่นเดิม ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมา พร้อมทั้งมองดูเขาอย่างเงียบๆ ในดวงตาของเขาราวกับมีบ่อน้ำลึกที่ไม่อาจมองเห็นก้นบ่อซ่อนเอาไว้อยู่ ช่างมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

        จนกระทั่งเมื่อชวีเสี่ยวปอค่อยๆ รู้สึกสงบลง แล้วนั่งลงที่ข้างๆ เซี่ยเจิงอีกครั้งหนึ่ง ในขณะนั้นเซี่ยเจิงถึงได้ยื่นมือออกไปตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ

 

        “ไม่ใช่ความผิดของนาย”

 

        ทันใดนั้นอุณหภูมิจากฝ่ามือของเขาก็ส่งผ่านมายังไหล่ข้างที่เซี่ยเจิงสัมผัสลงไป ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าอุณหภูนินั้นได้ซึมเข้าสู่ผิวหนังอย่างง่ายดาย และกำลังไหลเวียนอยู่ในหลอดเลือดของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็พุ่งเข้าสู่หัวใจของเขาโดยไม่ลังเล

 

        เขาไม่คิดเลยว่าประโยคสั้นๆ เพียงแค่นั้น จะมีพลังแห่งการปลอบใจได้มากถึงเพียงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าความเชื่อใจของเขาไม่ถูกทำให้ผิดหวังอย่างนั้นหรือ?

 

        ชวีเสี่ยวปอหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า : “ที่จริงแล้วบางครั้งฉันก็คิดว่า มันไม่ใช่ความผิดของฉันจริงๆ เหรอ? ถ้าเกิดว่าตอนนั้นแม่ไม่ได้ตั้งท้องฉัน หรือว่าตั้งท้องฉันแต่แท้งไป เธอก็คงจะไม่กลับไปหาชวีอี้เจี๋ยอีก”

 

        “ไม่ถูก” เซี่ยเจิงพูดแทรกเขาขึ้นมา ในที่สุดใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เปลี่ยนสีหน้าไป เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ของชวีเสี่ยวปอเป็นที่สุด

 

        “นั่นมันเป็นสิ่งที่นายเลือกไม่ได้” เซี่ยเจิงพูดเน้นออกไปทีละคำ ทั้งยังมองตรงเข้าไปในดวงตาของชวีเสี่ยวปอ “แต่สิ่งที่นายเลือกไม่ได้ในตอนนั้น กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเลือกได้พอดิบพอดี และสิ่งที่นายต้องทำก็คือใช้ชีวิตของนายให้ดี ไม่ใช่บังคับตัวเองให้ไปรับผิดชอบกับสิ่งที่คนอื่นเขาเลือก เข้าใจไหม? ”

 

        คำสุดท้ายที่ว่า “เข้าใจไหม” เซี่ยเจิงพูดออกมาเสียงเบามาก ราวกับว่าไม่ได้คาดหวังความเข้าใจจากชวีเสี่ยวปอ แต่กลับเหมือนการพูดปลอบเด็กน้อยมากกว่า ชวีเสี่ยวปอจะไม่ยอมถูกมองว่าเป็นเด็กน้อยเป็นอันขาด ถ้าหากคนอื่นพูด เขาอาจจะพูดตอบกลับไปตรงๆ เลยว่า “นายยุ่งอะไรด้วย” แต่ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอยังสงสัยอยู่เลยว่าจริงๆ แล้วเซี่ยเจิงได้พูดคำนั้นออกมาหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่เสียงถอนหายใจของเขา ชวีเสี่ยวปอรู้เพียงแค่ว่าเขาถูกคำว่าการเลือกกับคำว่าความรับผิดชอบของเซี่ยเจิงหมุนอยู่รอบๆ จนรู้สึกเวียนหัวไปหมด แต่ในใจของเขากลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา อบอุ่นถึงขนาดที่ว่าทั่วทั้งศีรษะเขาก็ร้อนไปด้วย ในขณะนั้นเขาจึงยื่นแขนออกไปโอบกอดเซี่ยเจิงเอาไว้แน่น

 

        เซี่ยเจิงนึกไม่ถึงว่าชวีเสี่ยวปอจะทำเช่นนี้ เพราะทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ดังนั้นท่าทางโอบกอดกันแบบนี้จึงดูแปลกประหลาดมากเลยทีเดียว อย่างน้อยการที่ชวีเสี่ยวปอบิดตัวมาหาก็ดูยั่วยวนมากอย่างเห็นได้ชัด

 

        “เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ เซี่ยเจิงรู้สึกได้ว่ามีลมพ่นออกมาที่ข้างหูของเขา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้สุดๆ

 

        “อืม” เซี่ยเจิงตอบรับ

 

        “ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี” ชวีเสี่ยวปอยกคางขึ้นไปกระทบบนไหล่ของเซี่ยเจิงไม่ได้แรงมากแต่ก็ไม่ได้เบาจนเกินไป “ขอบคุณนายมากนะ”

 

        “ที่จริงแล้วฉันคิดว่าฉันก็ไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่เลยนะ” เซี่ยเจิงไม่กล้าที่จะพูดสักเท่าไหร่ เพราะชวีเสี่ยวปอกอดเขาแน่นมากจนเขาหายใจไม่ออก ถึงยังไงชวีเสี่ยวปอก็เป็นคนที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร แล้วจู่ๆ ก็มากระโจนเข้ามากอดเขา ความรู้สึกเช่นนี้จึงทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกเหมือนเกิดเดจาวู…

 

        ความรู้สึกเหมือนกับสุนัขพันธ์โกลเดินริทรีฟเวอร์ของเพื่อนบ้านกระโจนเข้าหาเขาอย่างไรอย่างนั้นเลย

 

        “ไม่ สำหรับฉันแล้วมันช่วยได้มากเลยละ” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ปล่อยมือออกมา จากนั้นก็ชนไหล่เซี่ยเจิงไปหลายที คล้ายกับบอกให้เขาขยับออกไปหน่อย เซี่ยเจิงจึงขยับไปด้านข้าง จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ขึ้นมานั่งพิงที่หมอนเหมือนกันกับเขา “ที่จริงเรื่องแบบนี้ทำความเข้าใจคนเดียวมันก็ยากอยู่เหมือนกัน แต่พอได้ระบายออกมาก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยละ”

 

        “อืม ฉันเข้าใจ” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ หลังจากชวีเสี่ยวปอสงบสติลงแล้ว ความกระอักกระอ่วนจากการกอดกันเมื่อครู่นี้จึงเกิดขึ้นตามมา

 

        ทั้งสองคนนั่งเงียบไม่พูดไม่จากันอยู่พักใหญ่ อันที่จริงมันเหมือนกับเขาทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีในบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้ ทว่าผ่านไปไม่นาน ชวีเสี่ยวปอก็พูดฮึมฮัมขึ้นมา “เมื่อกี้ฉันทำอีท่าไหนถึงได้ไปกอดนายเข้าเนี่ย? ”

 

        “นายถามฉัน? ” เซี่ยเจิงหลับตาลงขี้เกียจจะสนใจเขา “ทำฉันตกใจหมด”

 

        “งั้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังสะกิดไปที่แขนของเซี่ยเจิง “นี่ เซี่ยเจิง”

 

        เซี่ยเจิงรู้สึกรำคาญ จึงทำเพียงแค่กระตุกเปลือกตา : “ทำไม? ”

 

        “หูนายแดงหมดแล้ว” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปบีบที่ติ่งหูบางๆ ของเซี่ยเจิงอย่างเบามือราวกับกำลังหยอกล้อ จากนั้นเขาก็ทำท่าราวกับว่าค้นพบทวีปใหม่อย่างไรอย่างนั้น พร้อมทั้งพูดออกไปอย่างตกใจและประหลาดใจว่า : “เซี่ยเจิง? นายเขินเหรอ? ”

 

        “เขินบ้านนายสิ” เซี่ยเจิงผลักมือของชวีเสี่ยวปอออก แล้วจึงพูดออกไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า : “ลูกผู้ชายสองคนกอดกันมีอะไรให้เขินฮะ ฉันแค่รู้สึกตกใจนายก็เท่านั้นแหละ”

 

        เซี่ยเจิงพูดพลางกระโดดลงจากเตียง “ฉันไปสูบบุหรี่สักหน่อยดีกว่า”

 

        “ออกไปสูบข้างนอกเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “จะไปเข้าห้องน้ำด้วย” เซี่ยเจิงรีบเดินออกไป

 

        ขณะที่เดินออกมา เซี่ยเจิงก็รีบกำมือเอาไว้แล้วจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย นั่นจึงทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกสงบลง

 

        ถ้าหากเขาไม่รู้มาก่อนว่าชวีเสี่ยวปอเป็นคนไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น เซี่ยเจิงคงจะเข้าใจผิดว่าท่าทางที่มาจับติ่งหูเขาเช่นนั้นคือ การจงใจมาอ่อยเขา

 

        แต่ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับเขา

 

        นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด และคงจะไม่มีทางอธิบายได้เช่นกัน

 

        เซี่ยเจิงเดินเข้าในลานบ้านและนั่งลงตรงขั้นบันได จากนั้นจึงหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุดไฟ ไฟจุดเล็กๆ สีแดงนั้นเดี๋ยวก็สว่างเดี๋ยวก็ดับอยู่ในความมืด เซี่ยเจิงรู้สึกว่าจิตใจของเขาเองก็ล่องลอยออกไปเช่นเดียวกัน

 

        เขาไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเอง เซี่ยเจิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าท่าทีที่ผิดปกติของตัวเขาที่มีต่อชวีเสี่ยวปอมันมีความหมายแฝงว่าอะไร

 

        ดังนั้นเรื่องนี้จึงยิ่งแย่ขึ้นไปกว่าเดิม

 

        ความจริงแล้วเซี่ยเจิงไม่เคยกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงเลย เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป จนเขาเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

 

        แต่ถ้าหากพูดกลับกัน เรื่องแบบนี้ใครจะไปคาดเดาได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

 

        ในขณะที่บุหรี่มวนที่สองใกล้จะสูบหมด เซี่ยเจิงก็ได้ยินเสียงลากเท้าที่กำลังเดินออกมาจากในบ้าน

 

        “ต่อเลยๆ ฉันเอง” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงที่ท่าทางลุกลี้ลุกลนพยายามที่จะดับบุหรี่ลง เขาจึงรีบพูดออกไปก่อน “ฉันแค่ออกมาดูเฉยๆ เพราะนายช้าซะเหลือเกิน”

 

        “อดไม่ไหวเลยสูบเพิ่มไปอีกมวน” เซี่ยเจิงยกก้นบุหรี่ในมือขึ้นมา “จะอาบน้ำนอนเลยไหม? ”

 

        “ได้ๆ ” ชวีเสี่ยวปอลูบศีรษะ “เอ่อคือ บ้านนายมีแปรงสีฟันอันใหม่ไหม? ที่จริงแล้วครั้งก่อนฉันก็จะถามนายอยู่แต่ว่าไม่กล้าพูด ครั้งก่อนตอนนอนฉันเลยไม่ได้แปรงฟัน”

 

        “นายยังมีตอนที่ไม่กล้าด้วยเหรอเนี่ย” เซี่ยเจิงยิ้มพลางดับบุหรี่ “ลูกผู้ชายเขินอายเหรอเนี่ย น่ากลัวสุดๆ”