ชวีเสี่ยวปอใช้ปลายรองเท้าเตะเข้าไปที่ก้นของเซี่ยเจิง แล้วเน้นเสียงออกไปว่า : “แค่ไม่กล้า ไม่ใช่อาย”

 

        “แล้วสองคำนี้มันต่างกันตรงไหน? ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นยืน พลางปัดฝุ่นออกจากกางเกง

 

        “ไม่ต่างกัน” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปาก เหมือนกับว่าไม่พอใจกับคำพูดของเซี่ยเจิง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอธิบายออกไปว่า : “คำว่าอายมันแค่ไม่เข้ากับตัวตนของฉัน”

 

        “ว้าว” เซี่ยเจิงจงใจอ้าปากกว้าง พร้อมทั้งขยับถอยหลังไปสองก้าว ทำท่าทางสงสัยออกมา : “แล้วนายมีตัวตนแบบไหนกัน? ไหนเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”

 

        “ไม่ใช่ตัวตนที่เขินอายก็แล้วกันน่ะ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงที่ทำท่าทางไม่สบอารมณ์จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา

 

        “ฉันว่าใช่แน่ๆ ” เซี่ยเจิงดีดนิ้ว และพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า : “เมื่อกี้ตอนที่นายกอดฉัน ฉันนึกว่านายจะร้องเพลงสำนึกบุญคุณที่ข้างหูฉันซะอีก ตัวตนของนายคงจะมีส่วนที่เป็นเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์อยู่ด้วยใช่หรือเปล่า”

 

        “บริสุทธิ์บ้านนายสิ !” เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของชวีเสี่ยวปอก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ดังนั้นเขาเลยรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที : “แล้วตกลงนายจะหาแปรงสีฟันให้ฉันไหมเนี่ย? ”

 

        “ในบ้านน่าจะไม่มีแล้วละ” เซี่ยเจิงถอนหายใจ “นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันออกไปซื้อให้”

 

        ซูเปอร์มาเก็ตที่ใกล้บ้านที่สุดปิดไปแล้ว เซี่ยเจิงเดินออกมาไกลมากถึงจะเจอเข้ากับร้านสะดวกซื้อเล็กๆ เขาจึงเดินเข้าไปซื้อแปรงสีฟัน ทั้งยังซื้อผ้าขนหนูด้วย ในขณะที่กำลังคิดเงิน เขาก็เดินกลับเข้าไปหยิบขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่ายออกมาด้วยสองห่อ

 

        พนักงานแคชเชียร์เป็นเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง เมื่อเห็นเข้าจึงอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะทักทายหนุ่มหล่อ : “นายชอบกินอันนี้เหรอ? ”

 

        เซี่ยเจิงยื่นเงินไป พร้อมทั้งพูดว่า : “เอาไปให้เด็กน้อยกินน่ะ”

 

        ในหัวของเขาจู่ๆ ก็มีภาพผมทรงสกินเฮดและสายตาอันเย่อหยิ่งที่แฝงไปด้วยความดื้อรั้นของชวีเสี่ยวปอแวบขึ้นมา ซึ่งนี่ก็คือใบหน้าของเด็กน้อยที่ว่านั่นเอง

 

        เซี่ยเจิงใช้ความเร็วสูงสุดในการกลับบ้านมา และก็เป็นอย่างที่เขาคิดชวีเสี่ยวปอยังอาบน้ำไม่เสร็จ กระจกฝ้าในห้องน้ำถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาที่เกิดจากความชื้น แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเงาของร่างกายที่ขยับไปมาได้รางๆ เซี่ยเจิงยืนมองราวกับตกอยู่ในภวังค์อย่างคาดไม่ถึง แต่เขารีบรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ถ้าขืนยังดูต่ออีกก็คงจะไม่ใช่เรื่องของการมองจนเคลิ้มแล้ว แต่ทว่าเขาคงต้องกอบกุมบางส่วนในร่างกายของเขาและลองลงมือทำอะไรสักอย่างกับมัน

 

        “ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงเคาะประตูห้องน้ำ

 

        เสียงน้ำไหลที่ดังกังวานก็หยุดลงทันที แล้วชวีเสี่ยวปอก็ตอบกลับมาว่า “ซื้อกลับมาแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม”

 

        หลังจากสิ้นเสียงของเซี่ยเจิง ไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากห้องน้ำก็โอบล้อมตัวเขาไว้ทั้งตัว ชวีเสี่ยวดึงประตูเปิดออกมาอย่างสบายใจ แล้วร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาก็โผล่ออกมาทั้งร่าง

 

        “ให้/ตาย/สิ” เซี่ยเจิงพ่นคำพูดสามคำนี้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พร้อมทั้งรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นทันที

 

        “นายทำอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “คำถามนี้ฉันน่าจะถามนายมากกว่านะ” เซี่ยเจิงยื่นแปรงสีฟันและผ้าขนหนูส่งให้เขา “ทำไมนายถึงชอบเปลือยก้นวิ่งไปทั่วเนี่ย”

 

        “ฉันวิ่งไปทั่วที่ไหนกัน? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะเสียงดัง แล้วจึงพูดหยอกล้อที่ค่อนข้างจะอนาจารออกไปว่า “อวัยวะส่วนล่างของพวกเราก็ไม่ได้ไม่เหมือนกันสักหน่อย แล้วนายจะไม่กล้ามองทำไมเนี่ย? ”

 

        “ไม่ใช่เรื่องกล้ามองหรือไม่กล้ามองไหม” เซี่ยเจิงรู้สึกจนปัญญา จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปปิดประตู “นายอาบน้ำไปเถอะ !”

 

        แต่ประโยคที่ชวีเสี่ยวปอพูดว่า “พวกเราก็ไม่ได้ไม่เหมือนกันสักหน่อย” ไม่รู้ทำไมถึงทำให้เขาหัวเราออกมาได้ เซี่ยเจิงยืนมีความสุขอยู่หน้าห้องน้ำสักพักถึงค่อยเดินเข้าห้องไป

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปออาบน้ำเสร็จเซี่ยเจิงก็เข้าห้องน้ำไป และตอนที่เขากลับออกมาไฟในห้องก็ปิดลงแล้ว เหลือเพียงไฟดวงเล็กบนหัวเตียงที่ยังคงสว่างอยู่ ส่วนชวีเสี่ยวปอนั้นก็นอนอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ผ้าห่มดูไม่ค่อยจะเป็นระเบียบสักเท่าไหร่ ห่มปิดไว้เพียงแค่หน้าท้อง จึงทำให้ขายาวๆ ทั้งสองข้างของเขาโผล่พ้นออกมาด้านนอก ทว่าดวงตากลับปิดสนิท ดูเหมือนว่าเขาจะนอนหลับแล้ว

 

        เซี่ยเจิงจึงค่อยๆ วางเท้าเดินเบาๆ แต่ชวีเสี่ยวปอก็ฮึมฮัมออกมาทันที แล้วถามออกไปเสียงแหบว่า : “นายอาบเสร็จแล้วเหรอ? ”

 

        “อืม แล้วนี่นายหลับไปแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงตอบกลับ ทั้งยังถามกลับไปด้วยความรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก

 

        “ตอนแรกก็คิดว่าจะรอนายอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอขยี้ตา พลางพูดออกมาอย่างงัวเงีย “นอนเถอะ ขึ้นมา”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง และน่าจะเป็นเพราะว่าแสงจากหัวเตียงไปแยงตาเขาเข้า เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ทั้งยังพึมพำอะไรออกมาสักอย่าง คล้ายกับเป็นถ้อยคำละเมอในตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น

 

        เซี่ยเจิงมองไปที่เขา จากนั้นจึงเอื้อมมือไปปิดไฟลง เพียงชั่วพริบตาภายในห้องก็ตกอยู่ในความมืด

 

        แต่ไม่นานก็มีคนร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมา

 

        ในความมืดมิดชวีเสี่ยวปอบ่นขึ้นมาเสียงเบา : “เซี่ยเจิง นายรู้สึกไหมว่านายเหยียบโดนอะไรเข้าแล้ว? ”

 

        เซี่ยเจิงรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก เนื่องจากเขานอนติดกำแพง ถ้าจะไปถึงที่ของตัวเองได้ เขาจำเป็นต้องข้ามตัวชวีเสี่ยวปอไป เมื่อครู่เขาเพิ่งจะข้ามไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้งตัวของเขาจึงแข็งทื่อขึ้นมาทันที

 

        “อะไร? ”

 

        “นายเหยียบมือฉัน! เจ็บๆ เจ็บๆ! ” ชวีเสี่ยวปอตะโกนร้องออกมา “นายขยับออกก่อนสิ”

 

        เซี่ยเจิงจึงรีบกระโจนตัวลงไปทันที และในที่สุดเขาก็ได้นอนลงบนเตียงสักที

 

        “มือถูกนายเหยียบแบนหมดแล้วเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอบ่นออกมาอย่างไม่พอใจราวกับกำลังสวดมนต์ “ถูกนายเหยียบแบบหมดแล้ว”

 

        “งั้นเดี๋ยวฉันเหยียบอีกครั้งให้มันกลับมาเหมือนเดิม” เซี่ยเจิงขยับหมอน เพื่อปรับให้มันอยู่ในระดับที่สบาย “เฮ้ นี่นายไม่ง่วงแล้วใช่ไหมล่ะ”

 

        “ใช่สิ” ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวกลับมา ในขณะนั้นใบหน้าของเขาจึงเผชิญเข้ากับหลังของเซี่ยเจิง “ถ้าเหยียบนาย นายก็ไม่ง่วงเหมือนกัน”

 

        “ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” เซี่ยเจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก น้ำเสียงของชวีเสี่ยวปอดูเหมือนกับว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเป็นอย่างมาก เซี่ยเจิงที่ได้ยินจึงไม่แปลกที่รู้สึกละอายใจขึ้นมา ราวกับว่าขาข้างนั้นของตัวเองไม่ได้เหยียบถูกมือของเขา แต่กลับเหยียบถูกเส้นเอ็นตรงกลางของเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

        “งั้นเรามาคุยกันสักแป๊บก็ได้” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปเสียงเบา “นายอย่าเอาแต่หันท้ายทอยมาหาฉันได้ไหม? ”

 

        “รายการทอล์กโชว์เปลี่ยนเป็นพูดคุยยามค่ำคืนแล้วเหรอ? ”

 

        เตียงที่ไม่ใหญ่มาก เมื่อเซี่ยเจิงหันกลับมาเผชิญหน้ากับชวีเสี่ยวปอ ในระยะห่างที่ใกล้ถึงเพียงนี้แม้ว่าจะไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เซี่ยเจิงก็ยังสามารถมองเห็นดวงตาอันสดใสคู่นั้นของชวีเสี่ยวปอได้ในทันที

 

        “ฟืด” เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไป “นายรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่? ”

 

        “อะไรเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างร้ายกาจ “นายกำลังคิดว่าทำไมแม้จะอยู่ในความมืดชวีเสี่ยวปอก็ยังหล่อไม่บันยะบันยังถึงขนาดนี้ ใช่หรือเปล่า”

 

        “ฉันกำลังคิดว่า ดวงตาเบิกกว้างเหมือนดั่งระฆัง” ในประโยคหลังนี้เซี่ยเจิงร้องเพลงออกมา “ช่างทำให้คนกลัวเสียจริงๆ ”

 

        “แล้วโทษใครล่ะ” ชวีเสี่ยวปอตะคอกออกไป แล้วก็โยนหัวข้อสนทนากลับมาไว้ที่เซี่ยเจิงอีกครั้ง ที่จริงแล้วทั้งสองคนไม่มีเรื่องอะไรที่จะคุยกัน แต่ว่าถ้าเอาแต่จ้องตากันเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกๆ ไม่น้อยเลย ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกไปว่า : “เซี่ยเจิง นายเล่านิทานก่อนนอนเป็นไหม? ”

 

        “นายดูถูกคนแล้วจริงๆ ” เซี่ยเจิงคิดไม่ถึงเลยว่าชวีเสี่ยวปอจะพูดประโยคนี้ออกมา แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงขนมหมั่นโถวน้อยวั่งจ่ายสองห่อนั้นที่ตัวเองเป็นคนซื้อมา ชวีเสี่ยวปอช่างเหมาะกับฉายาเด็กน้อยเสียจริงๆ “ฉันอยู่ในระดับที่ว่าเวลาเจอเด็กก็จะเล่าแต่เรื่องผี”

 

        “งั้นก็ช่างเถอะ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า “มันฮาร์ดคอร์เกินไป ฉันรับไม่ไหว” เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า “เพลงกล่อมนอนอะไรทำนองนี้คงจะร้องได้สักเพลงเนอะ”

 

        “นายอยากฟังเพลงอะไรล่ะ? ” เซี่ยเจิงถาม

 

        “อะไรก็ได้ แต่อย่าร้องเพลงร็อกก็พอ” ชวีเสี่ยวปอพูดเสริม “แล้วก็ไม่เอาเพลงเด็กด้วย ถ้านายร้องเพลงเด็กฉันรู้สึกว่าเหมือนนายกำลังเอาเปรียบฉันอยู่”

 

        “Fly me to the moon

  Let me play among those stars

  Let me see what spring is like

  On Jupiter and Mars

  In other words, hold my hand

  In other words, darling kiss me

  ……”