สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ท่านให้ความสนใจและเข้ามาอ่านนิยายของผม นี่เป็นนิยายเรื่องแรก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องปรับปรุง ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

“ห๊ะ!! ว่าไงนะ เธอโดนลวนลามหรอ?!”

“เสียงดังไปแล้วเซริ เบาๆ อายคนอื่นเขา”

ฉันปรามเพื่อนรักที่ส่งเสียงดังเกินเหตุจนสายตารอบๆ หันมามองที่พวกเราเป็นจุดเดียว

ช่วงเวลาพักกลางวัน นักเรียนบางส่วนออกไปกินข้าวที่โรงอาหาร แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ห่อข้าวมากินเองและคนพวกนั้นก็อยู่ในห้องเรียนตอนนี้เพราะข้างนอกฝนตก

ฉันเล่าเหตุการณ์ที่เจอเมื่อวานซืนให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในห้องฟังและเธอก็ตกใจจนเกินเหตุ

ความจริงอยากจะโทรคุยกันตั้งแต่ที่เกิดเรื่องแล้ว แต่เพราะเซริบอกว่าจะไปเดตกับแฟน ฉันเลยไม่อยากโทรไปกวนเธอ เวลาจึงล่วงเลยมาถึงตอนนี้

“แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า เล่าแบบละเอียดได้ไหม”

พอโดนปรามเซริก็ควบคุมตัวเองได้ เธอถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นห่วง

“ตอนแรกก็เกือบแย่เอาเหมือนกัน โชคดีที่ได้คนมาช่วย ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ผู้ชายพวกนั้นท่าทางจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ด้วย แถมยังถึงเนื้อถึงตัวกันอีก บอกตรงๆ ตอนนั้นฉันทั้งกลัวทั้งสับสนเลย”

ฉันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เซริฟังแบบสรุปย่อตั้งแต่เรื่องที่มีปัญหากันในงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน จนกระทั่งออกมาเจอกันข้างนอกแล้วฉันโดนล้อมเอาไว้

“โชคดีจริงๆ ที่มีคนผ่านมาช่วยเธอ ที่หลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าเจอคนไม่ดีให้วิ่งหนีให้ไวเลย”

เซริทำท่าทางขยับแขนเหมือนกำลังวิ่งประกอบ เห็นแล้วก็ทั้งขำทั้งอบอุ่นหัวใจ

“แล้วคนที่ช่วยเธอล่ะ เขาเป็นใคร ใช่เจ้าชายรูปงามขี่ม้าขาวมาหรือเปล่า คิกๆๆ”

“จะไปใช่ได้ไงล่ะยะ ชีวิตจริงนะไม่ใช่การ์ตูนที่เธอชอบอ่าน”

“โถ่วว…อามายะเนี่ยละน้า ไม่มีความโรแมนติกในหัวใจเลย”

เซริทำหน้าหน่ายๆ เหมือนฉันเป็นคนที่เข็นไม่ขึ้นในเรื่องพวกนี้ เห็นแล้วอยากหยุมหน้าเอือมระอาของเพื่อนรักเสียเหลือเกิน

“เอาเถอะ เรื่องโรแมนติกเอาไว้ก่อน ตกลงเธอรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร ได้ขอบคุณเขาไปหรือยังน่ะ”

“ขอบคุณแล้วซิ เธอนี่นะเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย ฉันขอบคุณเขาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพื่อนเขาฉันยังไม่ได้พูดขอบคุณตรงๆ แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรน่ะนะ”

“อืมม แบบนี้ก็แย่เลยนะ ถ้าพวกเขาไม่คิดไรมาก ก็คงไม่ต้องตามไปขอบคุณหรอกมั้ง ตอนนั้นมันกะทันหันนี่เนาะ”

“อื้ม แต่ฉันว่าจะทำข้าวกล่องให้พวกเขานะ อาคิยามะบอกว่าถ้าไม่สบายใจให้เลี้ยงข้าวพวกเขาก็ได้ แต่ฉันไม่รู้จะติดต่อพวกเขายังไง เลยว่าจะฝากข้าวกล่องไปแทน”

“เหหห…”

“หืม?”

มองดูเซริทำหน้าประหลาดใจ ฉันก็พลอยไม่เข้าใจไปด้วย เซริจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับกวักมือเรียกให้ฉันเขยิบมาใกล้ ก่อนจะกระซิบเบาๆ ข้างหู

“อาคิยามะนี่คือพระเอกขี่ม้าขาวคนนั้นน่ะหรอ?”

ปุ๊ง…เหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างในหัว ฉันตัวแข็งทื่อไร้ปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะ เซริที่พูดจบแล้วยืดตัวมองมาที่ฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

“ใช่จริงๆ ซินะเนี่ย ออกอาการเชียว”

“อะ..อาการอะไร ไม่ได้มีอะไรอย่างที่เธอคิดหรอกน่า”

“ฉันคิดอะไรหรอออ..?”

เซริหัวเราะคิกคัก ฉันที่ทำอะไรไม่ได้เลยต้องนั่งท่องค่าพายที่จำมาทำไมก็ไม่รู้

“แล้วตกลงใช่หรือไม่ใช่?”

เซริยังไม่หยุดแหย่ เธอมองฉันยิ้มๆ ดูเหมือนเรื่องพวกนี้จะทำให้จินตนาการของเซริพุ่งทะยานไปจนหยุดไม่อยู่

“ใช่ไม่ใช่อะไรล่ะ เขาก็แค่ผ่านมาแล้วช่วยฉันไว้ก็แค่นั้น แล้วเพื่อนๆ ของเขาก็มาเจอเราพอดี เลยถ่วงเวลาไว้ให้เราหนีมาเฉยๆ”

ทั้งที่ตั้งใจจะอธิบายให้เซริเลิกเข้าใจผิด แต่มันเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟเข้ากองเพลิงมากกว่า สังเกตได้จากตาเธอที่เหมือนจะมีฟิลเตอร์ปิ๊งๆ กะพริบวิบวับอยู่

“นี่มันพล็อตเรื่องในนิยายโรแมนติกชัดๆ ไหนๆ เล่ามาให้ละเอียดหน่อยซิ ว่าอะไรเป็นยังไง”

เซริคะยั้นคะยอให้ฉันเล่าเรื่องหลังจากที่หนีออกมาจากพวกผู้ชายไม่ดีให้ฟัง แต่ฉันรู้ว่าเธอแค่อยากเสพเรื่องราวแล้วเอาไปจินตนาการต่อเฉยๆ เลยไม่ได้เล่าอะไรไป

“โถ่ววว…ทำเป็นขี้ตืดไปได้ ไม่มีใครเขาไปแย่งพระเอกของเธอหรอกน่า คิกๆๆๆ”

“ยังไม่หยุดอีกนะ”

ฉันถอนหายใจให้กับเพื่อนสาวผู้ชื่นชอบในเรื่องราวความรักตรงหน้า เห็นเธอหัวเราะอารมณ์ดีก็ไม่รู้จะว่าอะไร บางทีเธออาจจะกำลังช่วยปลอบฉันด้วยวิธีของเธออยู่ก็เป็นได้

ฉันเก็บข้าวกล่องของตัวเองแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม เสร็จแล้วก็หันไปมองเซริที่กำลังจ้องมองฉันเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่

“มีอะไร เซริ??”

เห็นเธอจ้องเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ฉันเลยอดสงสัยไม่ได้

“แล้วตกลงอาคิยามะเนี่ยเป็นใคร”

เอ้า…ยังคาใจอยู่อีกเรอะ

“ก็มันสงสัยนิ เธอบอกจะทำข้าวกล่องตอบแทนพวกเขา แสดงว่าเธอรู้ซิว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนน่ะ พวกเขาเป็นใครหรอ เด็กมัธยมเหมือนพวกเรา หรือเด็กมหาวิทยาลัย หรือทำงานแล้ว แต่ทำงานแล้วก็ไม่น่าให้เลี้ยงข้าวนินา…”

เซริยังไม่หยุดจินตนาการของตัวเอง ฉันเลยส่ายหน้าเอือมๆ

“พวกอาคิยามะเป็นรุ่นน้องของคุณนาคาจิมะที่เป็นแฟนของรุ่นพี่คาวากุจิ”

เซริหยุดการจินตนาการของตัวเองแล้วหันกลับมามองฉันทันที สีหน้าเธอตอนนี้เหมือนเด็กแว่นเจอเบาะแสตอนตามสืบคดีไม่มีผิด

“หืมมม เธอรู้จักพวกเขาอยู่แล้วหรอ?”

อ๊ะ มาแล้ว การสอบสวนแบบเด็กแว่น

“ฉันรู้จักอาคิยามะคนเดียว คนอื่นเพิ่งเคยเจอกัน”

“รู้จักได้ยังไงหรอ?”

“ก็ผ่านทางรุ่นพี่คาวากุจิกับแฟนเธอไง”

“รุ่นพี่คาวากุจิแนะนำให้หรอ”

“เดี๋ยว อะไรของเธอเนี่ย แนะนำอะไร แค่บังเอิญเจอเฉยๆ”

“อ่อๆๆ หรอๆๆๆ”

“อะไรของเธอเนี่ย”

เซริอมยิ้มมองฉันด้วยสายตาเหมือนกับเจออาหารจานโปรด

“แล้วเธอกับนายอาคิยามะเนี่ย ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?”

เจอคำถามถึงลูกถึงคนแบบนี้เข้าไปฉันถึงกับแก้มกระตุก ถึงจะไม่ได้มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกิดขึ้น แต่พอเซริเอามาโยงเข้าด้วยกันแบบนี้ก็รู้สึกจักจี้เหมือนกัน

ฉันเกร็งแก้มไม่ให้เผลอยิ้มตามเซริสุดความสามารถ ตอบเธอด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด

“ไปถึงขั้นไหนอะไรของเธอเนี่ย เราแค่รู้จักกันเฉยๆ ไม่ได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”

“ทั้งที่ไปเดตกันมาแล้วเนี่ยนะ”

“เอ๊ะ?”

อยู่ๆ ก็เหมือนเรื่องที่คุยจะเปลี่ยนไป ฉันชักไม่ค่อยมั่นใจแล้วว่าเราคุยเรื่องเดียวกัน

“เดตอะไร?”

คิดว่าตัวเองคงถามไปด้วยใบหน้าที่มีแต่เครื่องหมายคำถาม เซริถอนหายใจแล้วจึงเริ่มขยายความให้ฟัง

“อ้าว ไม่ใช่คนนี้หรอที่เธอไปเดตด้วยที่ร้านขนมเมื่อสัปดาห์ก่อนน่ะ ฉันยังมีรูปถ่ายอยู่เลยนะ”

พอเซริบอกแบบนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ สุดสัปดาห์ที่แล้วฉันก็เจอกับอาคิยามะนี่นา รู้สึกช่วงนี้ว่าเจอกันบ่อยจัง

“ตกลงใช่คนเดียวกันไหมคะ คุณอามาย้าาาา~”

เสียงของเซริดึงฉันนกลับมาสู่ความจริงตรงหน้าที่มีเพื่อนสาวกำลังยิ้มรอฟังคำตอบอยู่

“กอ..ก็ คนเดียวกันแหละ แต่เราไม่ได้เดตกัน ฉันบอกไปแล้วนิว่าวันนั้นพวกรุ่นพี่คาวากุจิก็ไปด้วย”

“อ้อๆๆ งั้นหรอๆ”

เซริยิ้มหน้าบานพร้อมกับเก็บกล่องข้าวของเธอ

“ขอบคุณสำหรับของหวานนะคะ คิกๆๆๆ”

“ยังไม่หยุดอีก”

เซริหัวเราะร่าออกมา ฉันล่ะปวดหัวกับเธอจริงๆ

หันไปมองข้างนอกหน้าต่างก็เห็นว่าฝนยังคงตกอยู่ ทั้งที่อากาศน่าจะเย็นแท้ๆ แต่รู้สึกร้อนหน้าร้อนตาแปลกๆ

แจ้งท่านผู้อ่าน เรื่องการเลื่อนเวลาลงนิยาย เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ทำให้ผู้แต่งมีภารกิจติดพันหลายด้าน ช่วงเวลาที่ลงนิยายอาจจะไม่สม่ำเสมอและห่างกันนานมากกว่าปกติ ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้