หวังซีรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสงสารเห็นใจมารดานาง แต่ถ้อยคำนี้พูดหลายครั้งหลายคราเกินไป นางก็ไม่อยากได้ยินนัก
คล้ายกับว่าอยู่บ้านพวกเขาแล้วมารดาของนางได้รับความลำบากใหญ่หลวงอย่างไรอย่างนั้น
ความทุกข์ทนที่มารดาของนางได้รับล้วนได้มาจากจวนหย่งเฉิงโหวมิใช่หรือ
นางคิดว่าบางเรื่องนางจำเป็นต้องพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าให้ชัดเจนถึงจะดี “ท่านปู่ทวดของข้าเป็นนักกิน ด้วยสาเหตุนี้ ที่บ้านของพวกข้าจึงเปิดหอสุราหลายแห่ง หนึ่งในจำนวนนั้นท่านเองก็น่าจะเคยได้ยินมาก่อน มีชื่อเรียกว่าหอสายลมวสันต์ กระทั่งมาถึงยุคของท่านปู่ข้า ในบ้านไม่เพียงมีแม่ครัวที่ทำอาหารเหนือใต้ได้ทุกอย่างเท่านั้น ยังเขียนเป็นหนังสือด้วยหนึ่งเล่ม…
…ที่ท่านแม่ของข้าฝึกทำผักหมัก ก็เนื่องด้วยตอนนั้นท่านย่าของข้าอายุมากแล้ว ไม่ค่อยมีความอยากอาหารเท่าไรนัก กินอะไรก็รู้สึกจืดชืด ทุกวันหากไม่มีผักหมักก็ไม่ยอมกินข้าว ท่านแม่ของข้าอยากแสดงความกตัญญูต่อท่านย่าของข้า จึงลงมือทำผักหมักด้วยตัวเองหลายครั้ง”
อาจเป็นเพราะทำด้วยใจ สุดท้ายแล้วทำอร่อยกว่าที่แม่ครัวของพวกข้าทำมาเสียอีก
เล่าถึงตรงนี้ หวังซีดูตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “ผักหมักของท่านแม่ข้าอร่อยจริงๆ เจ้าค่ะ นางเติมเปลือกส้มและน้ำตาลกรวดลงไปด้วย ผักที่หมักออกมานอกจากจะกรุบกรอบแล้ว เปลือกส้มยังช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้ผักหมัก น้ำตาลกรวดผสมผสานกับรสเค็มของเกลืออย่างลงตัว รสชาติกลมกล่อมและให้ความสดชื่นยิ่งนัก จนได้รับคำชมจากท่านปู่ของข้า ต่อมาสูตรผักหมักของบ้านข้าจึงปรับเปลี่ยนตามสูตรของท่านแม่ข้า ด้วยสาเหตุนี้ ท่านปู่ข้ายังมอบร้านค้าสองร้านเป็นรางวัลให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
ยิ่งเล่านางก็ยิ่งอยากกิน นึกถึงผักหมักของมารดาขึ้นมา น้ำลายสอจนจะไหลออกมาแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วกลับปากอ้าตาค้าง ถามขึ้นว่า “เหตุใดมารดาของเจ้าเป็นคนคิดสูตรผักหมักสูตรใหม่ขึ้นมา ทว่าปู่ของเจ้ากลับมอบร้านค้าสองร้านเป็นรางวัลให้เจ้าแทนเล่า”
หวังซีนึกถึงความรักและการเอาอกเอาใจที่ท่านปู่กับท่านย่ามีต่อนางขึ้นมา ก็ยิ้มจนดวงตาโก่งโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว กล่าวว่า “เพราะท่านปู่ถามข้าว่าอร่อยหรือไม่ ข้าตอบว่าอร่อย ทั้งยังบอกท่านปู่ว่า ผักหมักนั้นควรกินคู่กับเนื้อย่างด้วย ท่านปู่ฟังแล้วเบิกบานใจ จึงมอบร้านค้าสองร้านเป็นรางวัลให้ข้า! ส่วนท่านแม่นั้น ท่านปู่มอบภูเขาสองลูกเป็นรางวัลให้ท่านแม่เจ้าค่ะ!”
เนื่องจากเป็นเขตชายแดน มีภูเขามาก พอบอกจะให้เป็นรางวัลก็มอบให้ได้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มไม่ได้กล่าวอะไร
หวังซีรู้ว่าคนจวนหย่งเฉิงโหวมักจะดูถูกดูแคลนครอบครัวของพวกเขา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจมอบหนามให้ฮูหยินผู้เฒ่าสักเล็กน้อย
นางหันไปกวักมือเรียกฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยท่าทางที่บอกว่าให้เจ้ายื่นหูเข้ามาใกล้ๆ
หากเป็นผู้อื่นกระทำกิริยาเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ดี หรือคนที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในห้องก็ดี ต้องรู้สึกว่าเป็นกิริยาที่ดูเล่นหัวมากเกินไป แต่หวังซีนั้นดวงตาเป็นประกายแวววาว หน้าตาดูปราดเปรื่องทั้งยังน่ารักน่าเอ็นดู เจ้าจึงรู้สึกเพียงว่านางไร้เดียงสา ไม่ได้รู้สึกว่านางโอหังแต่อย่างใด
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งแล้วใหญ่ยอมตามใจให้นางดีใจเล่น ยื่นหูเข้าไปใกล้ตามที่นางบอก
หวังซีจึงกระซิบเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าบอกเพียงท่านเท่านั้น ท่านห้ามบอกผู้อื่นเป็นอันขาด ภูเขาสองลูกที่ท่านปู่ข้ามอบให้ท่านแม่ของข้านั้น เป็นแหล่งผลิตทองคำ มีมูลค่ามหาศาลเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วหัวใจเต้นตึกตักไม่หยุด
โดยปกติแล้วเหมืองทองคำนั้นต้องส่งคืนเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์ การลักลอบเปิดเหมืองอย่างลับๆ มีโทษประหารเก้าชั่วโคตร
สกุลหวังช่างหาญกล้าจริงๆ
แต่การที่สกุลหวังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าขุนนางทั้งระดับบนระดับล่างต่างสมรู้ร่วมคิดด้วยตั้งแต่ต้นอยู่แล้วกระมัง!
นี่ถ้าข่าวแพร่ออกไป ถูกคนมีเจตนาร้ายคิดใช้ประโยชน์ ย่อมมิใช่เรื่องของหนึ่งครอบครัวสองครอบครัวแล้ว
หากจัดการไม่ดีขุนนางทั่วทั้งแคว้นตะวันตกเฉียงใต้ต้องปั่นป่วนด้วยกันทั้งหมดเป็นแน่
เด็กคนนี้ยังเด็กเกินไป จึงไม่รู้จักหนักเบา
คนสกุลหวังเองก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกยังเล็กนัก เหตุใดถึงยังให้นางรู้เรื่องพวกนี้อีก
ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะปิดปากหวังซีเอาไว้เสียเหลือเกิน รีบย้ำกำชับนางว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องเช่นนี้ต่อให้เป็นยายเจ้าก็ไม่ควรบอก ต่อไปห้ามเป็นเช่นนี้อีกที่เห็นผู้ใดดีด้วยก็บอกเขาไปเสียทุกอย่าง เข้าใจหรือไม่”
หวังซียิ้มหวาน ตอบว่า เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แล้วไปเติมน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการไถ่โทษ กล่าวขึ้นว่า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงท่านแม่ของข้า ท่านแม่ข้าอยู่ที่บ้านพวกข้าสุขสบายดี นางมีสินเจ้าสาวมากมาย ล้วนเป็นของที่ท่านพ่อของข้าช่วยเตรียมให้นางทั้งสิ้น ต่อมาท่านย่าและท่านปู่ของข้าก็มอบสิ่งของให้นางอีกเป็นจำนวนมาก ยามว่างนางกับท่านอาหญิงห้าของข้าทำเสื้อผ้า ทำเครื่องประดับ เล่นไพ่นกกระจอก ไปกินอาหารเจที่วัดและดูแลการเรียนของพี่ชายรองของข้า”
พี่ชายรองของนางมีนามว่าหวังเซิ่ง เป็นพี่ชายร่วมอุทรของนาง อายุมากกว่านางห้าปี ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ปีที่แล้วสอบผ่านซิ่วไฉ[1] ตอนนี้กำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก
ฮูหยินผู้เฒ่าตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง
ดูทีแล้วสกุลหวังร่ำรวยและมีอำนาจมากกว่าที่พวกเขาคิด
นางระงับความสงสัยใคร่รู้ในใจเอาไว้ ไม่ถามเรื่องของบุตรสาวอีก แต่ถามถึงพี่ชายรองของหวังซีแทน “เหตุใดถึงให้เขาออกไปท่องเที่ยว ควรเดินทางมาจิงเฉิง ให้ลุงของเจ้าหาอาจารย์ดีๆ ให้เขาสักคน เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการสอบคัดเลือกจวี่เหริน[2]”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาชอบออกไปท่องเที่ยวเจ้าค่ะ!” หวังซีไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “ท่านปู่ของข้าบอกว่า อ่านหนังสือหมื่นเล่มไม่สู้ออกเดินทางหมื่นลี้ ไม่ว่าจะกระทำอะไรล้วนต้องเข้าใจวิถีของมนุษย์ ถ้าหากแม้แต่ต้นดอกดารารัตน์กับต้นกระเทียมยังแยกไม่ออก เป็นคนยังไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วจะเป็นขุนนางได้อย่างไร!”
นางไม่คิดจะพูดกับฮูหยินผู้เฒ่ามากมาย เนื่องจากจวนหย่งเฉิงโหวกับสกุลหวังของพวกเขานั้นมองเรื่องราวแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปวิพากษ์วิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงผู้อื่น แต่นางก็ไม่อยากได้ยินผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนในครอบครัวของนางทำไม่ถูก
“ท่านวางใจเถิด พี่ชายรองของข้าเข้าร่วมการสอบคัดเลือกอย่างแน่นอน เขายังตั้งใจจะเข้าร่วมการสอบจิ้นซื่อด้วยเจ้าค่ะ!” หวังซีเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรู้จังหวะเวลา “ขนมหวานที่เมื่อวานข้าพกไปวัดหงหลัวด้วยนั้นรสชาติดีหรือไม่! ข้าให้พวกเขาไปทำขนมพรห้าประการ[3]แล้ว เพียงแต่ว่าถั่วแดงหลวงนั้นต้องแช่น้ำหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะอร่อย พรุ่งนี้ถึงจะแล้วเสร็จ ถึงเวลาข้าจะเอามาให้ท่านชิมเจ้าค่ะ”
ขนมพรห้าประการนั้นทำมาจากถั่วห้าชนิดผสมกับแป้งข้าวเหนียวและน้ำตาลทรายขาว นางชอบใช้ถั่วเขียว ถั่วแดงเมล็ดกลม ถั่วเหลือง ถั่วดำและถั่วลิสงทำ แต่ถั่วแดงหลวงของจิงเฉิงอร่อยมาก นางจึงใช้ถั่วแดงหลวงแทนถั่วดำ เคยลองทำแล้วครั้งหนึ่ง รสชาติดีมาก เห็นว่าใกล้จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า[4]แล้ว นางตั้งใจจะทำอีกสักหน่อยเพื่อส่งไปให้แต่ละเรือนของจวนหย่งเฉิงโจวได้ลิ้มลองกัน
นับเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น กล่าวซ้ำๆ ว่า “อร่อย อร่อย โดยเฉพาะขนมชิงถวน[5]นั่นอร่อยมากเป็นพิเศษ”
คนสูงอายุชอบกินของนุ่มๆ มากเป็นพิเศษ ขนมชิงถวนของหวังซีนั้นใช้สมุนไพรชิงไอ้[6]และแป้งข้าวเหนียวที่ซื้อมาจากเจียงหนาน สอดไส้ถั่วแดงกวนรสหวาน ทำออกมาแล้วจึงอร่อยมากเป็นพิเศษ
หวังซียิ้มกว้าง
สองยายหลานนั่งด้วยกัน ชวนกันคุยอย่างกระตือรือร้นและหัวเราะกันอย่างเบิกบาน
ปลาตะลุมพุกนึ่งหนึ่งจานวางอยู่บนโต๊ะเพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว
ตอนที่คุณหนูรองฉังหนิงจากบ้านหลักของจวนหย่งเฉิงโหวเดินเข้ามาเห็นจึงเป็นภาพเหตุการณ์นี้
นางลอบเบ้ปากอย่างห้ามไม่อยู่
หวังซีมาประจบฮูหยินผู้เฒ่าอีกแล้ว
ถึงแม้โหวฮูหยินมารดาของนางได้ลอบบอกนางเป็นการส่วนตัวถึงสถานะของหวังซี ยังย้ำกำชับนางว่าต้องคบหากับหวังซีดีๆ พูดอะไรทำนองว่าพวกนางล้วนใกล้จะออกเรือนกันแล้ว วันนี้ได้อยู่ร่วมใต้ชายคาเดียวกัน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังจะได้พบหน้ากันอีกหรือไม่ ไม่ว่าหวังซีจะเป็นอย่างไร ให้นางอดทนเอาไว้ ไม่นานก็จะผ่านพ้นไป
ญาติยากจนข้นแค้นที่มาอาศัยบ้านของพวกเขามีไม่น้อย ฉังหนิงเองก็มิใช่คนชอบหาเรื่อง แต่หวังซีช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว นอกจากจะใช้ความรู้สึกผิดที่ท่านย่ามีต่อท่านอาหญิงเล็กมาแย่งชิงความรักของท่านย่าไปจากพี่น้องอย่างพวกนางแล้ว กระทำอะไรก็ยังโอหังเป็นอย่างมากอีกด้วย
รังเกียจที่บ้านของพวกเขาคับแคบจึงต่อเติมเรือนเอง รังเกียจที่อาหารการกินของพวกเขาไม่อร่อย นอกจากจะสร้างเรือนครัวเล็กหลังหนึ่งแล้ว ประเดี๋ยววันนี้ยกกับข้าวมาให้ท่านย่าของนางหนึ่งอย่างบ้าง พรุ่งนี้ส่งขนมหวานมาให้ท่านย่าของนางสองสามอย่างบ้าง ท่านย่าของนางเสมือนถูกวิญญาณครอบงำความนึกคิดไปแล้ว นางว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้นไปเสียหมด
ฉังหนิงเติบโตมาขนาดนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นคนมาเป็นแขกที่บ้านผู้อื่นแล้วไร้ความเกรงใจเช่นนี้
นางจึงหันไปส่งสายตาให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงฉังเหยียนและฉังเคอทั้งสองคนที่เดินตามหลังนางมาครั้งหนึ่ง
นัยน์ตาของฉังเหยียนเอ่อล้นไปด้วยแววเย็นชา
ทว่าฉังเคอกลับก้มศีรษะลง ในใจสับสนอลหม่าน
ที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นคงเป็นปลาตะลุมพุกกระมัง
นางช่างร่ำรวยจริงๆ
อยู่ที่บ้านนางต้องเป็นที่รักมากเป็นแน่ เมื่อถึงเวลาออกเรือน ที่บ้านของนางย่อมยินดีซื้อหาสินเจ้าสาวมาให้นางอย่างสมบูรณ์พูนพร้อม ต่อให้นางไม่เปิดเผยสถานะ ก็น่าจะได้แต่งงานกับตระกูลดีๆ อยู่ดีกระมัง
ไม่เหมือนนาง ตระกูลที่เท่าเทียมกับจวนโหวก็ดูแคลนสถานะของนาง จะให้แต่งกับคนสูงส่งกว่าก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าแต่งกับคนต่ำกว่า หากผู้อื่นมีเรื่องมาขอร้อง นางก็ไม่มีสินเจ้าสาวมากมายมาช่วยเหลือได้ ต่อให้ฝืนแต่งไป ชีวิตก็คงไม่เป็นสุขนัก
ไม่รู้ว่าสิ่งที่รอคอยนางอยู่จะเป็นอะไรกันแน่
ฉังเคอหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
ฉังหนิงมองแล้วอดก่นด่าอยู่ในใจประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า เอาออกมาเชิดหน้าชูตาไม่ได้เลยจริงๆ เปลี่ยนสีหน้าให้เป็นยิ้มแย้มแล้วเดินเข้าไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วรีบให้สาวใช้เด็กหาที่นั่งให้พวกนางทั้งสามคน กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้ามาได้อย่างไร กินมื้อเย็นมาแล้วหรือยัง”
บิดาของฉังเหยียนเป็นพี่น้องร่วมอุทรของหย่งเฉิงโหว เป็นลูกแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนกัน หลังจากที่พี่ชายสืบทอดตำแหน่งหย่งเฉิงโหวต่อแล้ว ภายใต้การสนับสนุนของพี่ชายเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดเป็นรองหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทิศตะวันออกของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า จึงเป็นธรรมดาที่ฉังเหยียนจะสนิทสนมกับฉังหนิงเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ติดตามฉังหนิงอย่างหน้ามืดตามัว ทว่าบิดาของฉังเคอนั้นเป็นบุตรของอนุภรรยา ในสถานการณ์เช่นนี้นางไม่กล้าพูดจาผลีผลามไม่ถูกกาลเทศะมาก่อน มักจะเชื่อฟังทุกเรื่อง มีนิสัยขลาดกลัว
ฉังหนิงจึงเป็นตัวแทนของพวกนางพี่น้องกล่าวตอบว่า “ได้ยินว่าท่านไม่ค่อยสบาย พวกข้าพี่น้องอยากมาเยี่ยมเยียนท่าน แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ท่านเหนื่อย ถึงได้เลือกมาเวลานี้ พวกข้าพี่น้องไม่กล้ารบกวนท่าน จึงรับประทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วถึงมากัน ตอนนี้ท่านดีขึ้นบ้างหรือยังเจ้าคะ”
พูดเสียจนหวังซีคล้ายเป็นคนไม่รู้ความไปแล้ว
ก็มิใช่ครั้งแรกที่หวังซีโดนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวต่างสกุลผู้นี้ถากถางเช่นนี้ แต่นางทำเสมือนไม่ได้ยิน จากประสบการณ์ของนางแล้ว คนอย่างฉังหนิงนี้ยิ่งเจ้าสนใจนาง นางก็ยิ่งได้ใจ แต่ถ้าเจ้าไม่สนใจนาง ปล่อยให้นางอัดหมัดใส่สำลี นางจะยิ่งโมโหมากขึ้นแทน
ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเพราะฉังหนิงก็แค่ไม่พอใจนางเล็กน้อยเท่านั้นทว่ามิได้ทำร้ายนาง
ถ้าหากฉังหนิงทำเกินกว่าเหตุ นางก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนฉังหนิงว่าการเป็นคนควรเป็นอย่างไรเช่นกัน
หวังซีกล่าวทักทายฉังหนิงด้วยใบหน้าแย้มยิ้มดุจดอกไม้งาม
ฉังหนิงเม้มปากแน่น เคืองโกรธเป็นอย่างมาก แต่ต่อหน้าผู้อาวุโสได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้
หวังซีมองแล้วรู้สึกเบิกบานใจ
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นมองผู้ใดก็ดีไปหมด ไหนเลยจะฟังความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดของฉังหนิงออก คิดเพียงว่าฉังหนิงมาเยี่ยมเยียนนางเท่านั้น กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าก็แค่อายุมากแล้ว ไม่ได้ออกจากบ้านนาน พอออกจากบ้านครั้งหนึ่งจึงเหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงก็เท่านั้น” จากนั้นส่ายศีรษะพลางกล่าวอีกว่า “คนแก่ชราแล้ว ไม่ยอมรับความจริงก็ไม่ได้! คิดถึงปีนั้น ตอนที่ข้าพาบิดาของพวกเจ้ากลับบ้านเดิม เดินทางหลายวันก็ไม่รู้สึกเหนื่อย กลางคืนตอนแวะพักที่จุดพักม้า ยังไปเล่นเตะลูกหนังเป็นเพื่อนบิดาของพวกเจ้าที่ลานบ้านอยู่เลย…”
นับตั้งแต่แต่งงานเป็นต้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าเคยกลับบ้านเดิมเพียงครั้งเดียวก็คือตอนที่มารดาของตัวเองล้มป่วยเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขมากก็เป็นได้ นางจึงหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ หวังซีมาถึงเพียงไม่นาน ก็ได้ฟังมาแล้วหลายรอบ
เด็กสาวอายุไล่เลี่ยกันสามสี่คนฟังฮูหยินผู้เฒ่าเล่าอีกหนึ่งรอบ ซือหมัวมัวสบโอกาส ฉวยจังหวะที่เรื่องเล่าจบลงรีบขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าชี้แนะว่านำอาหารเย็นขึ้นโต๊ะได้หรือยัง “หาไม่แล้วปลาตะลุมพุกคงได้เย็นชืด ไม่อร่อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดูข้าสิ พอได้พูดก็ลืมสิ้นแล้วทุกสิ่ง” ฮูหยินผู้เฒ่าพลันนึกขึ้นได้ เร่งให้ซือหมัวมัวนำอาหารขึ้นโต๊ะ กล่าวกับหลานสาวทั้งสามคนว่า “พวกเจ้าเองก็กินเพิ่มอีกสักหน่อย หวังซีเอาปลาตะลุมพุกมา พวกเจ้าก็ลองชิมความสดใหม่ด้วยกัน”
มารดาของนางเป็นคนมอบให้ต่างหาก หวังซีก็แค่ยืมมาลาถวายพระเท่านั้น!
ฉังหนิงค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า นั่งลงมาพร้อมกับฉังเหยียนและฉังเคอ รับประทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซีไปหนึ่งมื้ออย่างเงียบๆ
บรรดาคุณชายและนายท่านทั้งหลายของจวนหย่งเฉิงโหวทยอยกันมาคารวะเย็นฮูหยินผู้เฒ่า
หวังซีและคนอื่นๆ ไปนั่งรอในห้องริมสุดฝั่งตะวันออกของเรือนประธาน จวบจนคุณชายและนายท่านทั้งหลายมาคารวะเย็นฮูหยินผู้เฒ่าครบถ้วนหมดแล้ว พวกนางถึงได้กลับไปที่ห้องรองฝั่งตะวันตกของเรือนประธานอีกครั้ง นั่งดื่มชากับบรรดานายหญิงและสะใภ้สองสามท่านของจวนโหว
………………………………………………………………………
[1] ซิ่วไฉ ผู้ที่สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางระดับต้น ผู้ที่ได้เป็นซิ่วไฉแล้วจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางระดับมณฑล
[2] จวี่เหริน ผู้ที่สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางระดับมณฑล โดยผู้ที่ได้เป็นจวี่เหรินแล้วจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางระดับเมืองหลวง
[3] ขนมพรห้าประการ ผสมแป้งข้าวเหนียวกับถั่วห้าชนิดและน้ำตาลทรายขาวคนให้เข้ากันแล้วนำไปนึ่งให้สุก
[4] วันสรงน้ำพระพุทธเจ้า มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า 佛诞日 หรือวันประสูติของพระพุทธเจ้า แต่ในไทยจะมีวันวิสาขบูชา ที่ระลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
[5] ขนมชิงถวน ชิงถวนหมายถึงเขียวและกลม เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำสกัดสมุนไพรชิงไอ้แล้วนำไปห่อไส้ถั่วแดงรสหวาน
[6] สมุนไพรชิงไอ้ สมุนไพรให้สีเขียวมีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลร่างกาย
ตอนต่อไป