ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านโหวผู้เฒ่าของจวนหย่งเฉิงโหวให้กำเนิดบุตรเจ็ดคน แต่ที่มีชีวิตเหลือรอดมาได้มีเพียงบุตรชายสองคนและบุตรสาวสองคนเท่านั้น ภายหลังท่านโหวผู้เฒ่ารู้สึกว่าตัวเองได้บรรลุหน้าที่ให้กำเนิดทายาทสืบสกุลเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเองเนื่องด้วยความถี่ในการให้กำเนิดบุตรและการสูญเสียบุตรตั้งแต่ยังเล็กร่างกายจึงค่อยๆ ผ่ายผอมลง ท่านโหวผู้เฒ่าเริ่มเสาะแสวงหาหญิงงาม รับอนุภรรยาสามคนเรียงตามลำดับ ให้กำเนิดบุตรชายหญิงกับอนุภรรยายี่สิบกว่าคน ที่มีชีวิตเหลือรอดมาได้เป็นชายสี่คนและหญิงหกคน
หลังจากหย่งเฉิงโหวคนปัจจุบันสืบทอดตำแหน่ง นอกจากนายท่านรองน้องชายร่วมอุทรของเขาและนายท่านสามที่ช่วยเขาดูแลกิจการทั่วไปแล้ว น้องชายของเขาที่เกิดจากอนุภรรยาคนอื่นๆ ล้วนแยกย้ายออกไปกันหมด
ด้วยเหตุนี้ตอนที่หวังซีและคนอื่นๆ เข้ามานั้น ภายในห้องของฮูหยินผู้เฒ่านอกจากโหวฮูหยิน นายหญิงรองและนายหญิงสามแล้ว ยังมีสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบุตรสะใภ้ทั้งสองคนของโหวฮูหยินอยู่ด้วย
พวกนางล้วนนั่งล้อมอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ฟังนายหญิงรองที่กำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องงานแต่งงานของบุตรชายคนโตของตัวเอง “เนื่องจากเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว คงไม่อาจทำให้เด็กคนนั้นลำบากมากเกินไป ท่านว่าควรหาสถานที่ให้พวกเขาสร้างเรือนหอใหม่สักที่ หรือควรขยับขยายเรือนที่เจ้าสามพักอยู่ตอนนี้ให้กว้างขวางขึ้นสักหน่อยดีเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ฟังนายหญิงรองพูดด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น เมื่อเห็นหวังซีและคนอื่นๆ เดินเข้ามา ก็สลัดนายหญิงรองที่กำลังคุยกับนางทิ้งไป ดวงหน้าเผยรอยยิ้มออกมา นอกจากจะหันไปกวักมือเรียกเด็กสาวสามสี่คนนั้นแล้ว ยังชี้ที่นั่งด้านขวาของตัวเอง “อาซีมานั่งตรงนี้!”
นอกจากโหวฮูหยินที่นั่งเคียงไหล่กับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บนเตียงเตาตัวใหญ่ริมหน้าต่างแล้ว คนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นอย่างหันรีหันขวาง ขยับที่นั่งให้หวังซี บรรดาสาวใช้ที่มีไหวพริบยกเก้าอี้มาให้ฉังหนิงและคนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ารอพวกนางนั่งลงมาอีกครั้งจนเรียบร้อยแล้ว จิ้มผิงกั่วจากจานผลไม้บนโต๊ะให้หวังซีชิ้นหนึ่ง กล่าวว่า “ให้เจ้า ผิงกั่วลูกใหญ่จากเยียนไถ เจ้าลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่!”
หวังซีกล่าวขอบคุณยิ้มๆ เห็นผิงกั่วนั่นมีสีคล้ำแล้วหลายส่วน น่าจะปอกและวางเอาไว้ได้ครู่หนึ่งแล้ว จึงไม่อยากกินเท่าไร แต่เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองนางด้วยดวงตายิ้มหยี ดวงหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง จำต้องกัดคำเล็กๆ ไปหนึ่งคำ ยิ้มตอบเสียงหนึ่งว่า “ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ามากเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มร่า จากนั้นถึงได้บอกให้ฉังหนิงและคนอื่นๆ กินผิงกั่ว
สาวใช้เด็กรีบยกจากผลไม้ไปปรนนิบัติฉังหนิงและคนอื่นๆ กินผิงกั่ว
ฉังหนิงจิ้มผิงกั่วขึ้นมาหนึ่งชิ้น ตัดพ้อฮูหยินผู้เฒ่าทีเล่นทีจริงว่า “ท่านย่ารักแต่น้องสาวต่างสกุล ไม่รักพวกข้า มีของดีอะไรก็มักจะให้น้องสาวต่างสกุลก่อน พวกข้าล้วนอยู่ท้ายแถวกันหมด”
ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่คนคิดมาก ฉังหนิงมีนิสัยชอบเอาชนะอยู่บ้าง ก่อนหวังซีจะมาก็ชอบแก่งแย่งนั่นช่วงชิงนี่กับพวกพี่สาวน้องสาวในบ้านอยู่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงไม่คิดอะไรมาก ยังรู้สึกว่าบุตรชายคนโตของบ้านหลักกับท่านโหวผู้เฒ่ามีนิสัยคล้ายคลึงกัน ฉังหนิงเป็นบุตรสาวคนรอง หากไม่แก่งแย่งชิงดีบ้าง ผู้ใดจะสังเกตเห็นนาง
มองท่าทางนี้ของนางแล้วก็สัพยอกนางยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นจี้ประดับเอวทำจากหยกเหอเถียนสีขาวชิ้นเมื่อวานนั่นมอบให้ผู้ใดกัน”
เมื่อวานฉังหนิงและคนอื่นๆ ก็ติดตามไปวัดหงหลัวด้วย เพื่อประจบสตรีจวนหย่งเฉิงโหวแล้วเจ้าอาวาสวัดจึงนำหยกมาให้หลายชิ้น ชิ้นที่ดีที่สุดในจำนวนนั้นอย่างจี้ประดับเอวหยกเหอเถียนสีขาวชิ้นนั้นฉังหนิงจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อย หวังซีฟังพระรูปนั้นเล่าให้ฟังว่ามีพระชื่อเสียงสูงส่งรูปใดเคยสวมใส่มันมาก่อนแล้ว ก็ให้รู้สึกรังเกียจว่ามันเป็นของเก่าของผู้อื่น ทั้งยังส่งต่อกันมาหลายมืออีกด้วย กลัวฮูหยินผู้เฒ่าจะมอบให้นาง จึงแสร้งทำเป็นหวาดกลัว ให้ฉังหนิงได้ไป
ฉังหนิงไม่รู้ เหลือบตามองหวังซีครั้งหนึ่งอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย ยิ้มกล่าวอย่างน่ารักว่า “ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านย่าต้องเสียดาย แต่ท่านเจ้าอาวาสวัดบอกว่า ของเก่าแก่เหล่านี้ต้องเป็นผู้มีวาสนาต่อกันถึงจะได้รับ ที่มอบให้ข้าได้ นั่นก็เป็นเพราะข้ากับจี้หยกชิ้นนั้นมีวาสนาต่อกัน!”
นายหญิงสามประจบเอาใจคนสายตรงมาโดยตลอด นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองของพวกเราเป็นคนวาสนาดีมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
โหวฮูหยินได้ยินบุตรสาวของตัวเองได้รับคำชม ก็หัวเราะอย่างเบิกบาน คนในห้องจึงพากันกล่าวชมฉังหนิงกันอย่างยิ้มแย้ม ยังยกยอว่าฉังหนิงทำงานเย็บปักได้ดี ได้รับคำชมจากหมัวมัวที่มาสอนต่างๆ นานา
หวังซีนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อหน่าย ลอบยื่นมือไปด้านหลัง
ไป๋กั่วใช้ผ้าเช็ดหน้ารับผิงกั่วจากมือของหวังซีมาอย่างรู้งาน ซ่อนเอาไว้ในถุงเสื้อ
เพียงแต่ว่าตอนที่นางเงยหน้าขึ้น หางตาเหลือบไปเห็นคุณหนูสี่ฉังเคอของจวนโหวหลบสายตานางไปด้วยแววตาเป็นประกาย
น่าจะเห็นการกระทำเล็กๆ ของพวกนางแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้านางบอกคนอื่นๆ ในจวนโหว ก็เป็นการเปิดโปงว่าคนที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่านั้นแม้แต่ผลไม้ก็ยังจัดการได้ไม่ดี มีแต่จะเป็นการตบหน้าจวนโหวเท่านั้น
นายหญิงรองคอยสังเกตอารมณ์บุตรสาวของตัวเอง เห็นนางหาวออกมาน้อยๆ ครั้งหนึ่ง รู้ว่านางนั่งจนรู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว จึงขบคิดหาข้ออ้างสักอย่างหนึ่งเพื่อขอตัวกลับก่อนพร้อมบุตรสาวของตัวเอง นายหญิงรองจึงหยิบยกเรื่องงานแต่งของบุตรชายคนโตของตัวเองขึ้นมาพูดอีกครั้ง “เรื่องเรือนหอจำต้องเร่งกำหนดให้เรียบร้อยถึงจะดี ข้าคำนวณวันที่ดูแล้ว ทางตระกูลหันใกล้จะเดินทางมาประเมินดูบ้านแล้วเจ้าค่ะ”
บุตรชายคนโตของบ้านรองเรียงลำดับเป็นคนที่สามในบรรดาลูกพี่ลูกน้องชาย ว่าที่พ่อภรรยาคือผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลมี่อวิ๋นนามว่าหันหลิน เป็นผู้สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหารรับราชการทหารขั้นสี่บน
ทั้งสองครอบครัวกำหนดให้วันที่สองเดือนสิบเอ็ดเป็นวันมงคลสมรส
ว่ากันว่าคุณหนูหันมีพื้นเพครอบครัวดี อีกทั้งมีสินเจ้าสาวมากมาย หน้าตาก็ไม่เลว นายหญิงรองพึงพอใจการเกี่ยวดองครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่ทั้งสองครอบครัวแลกเปลี่ยนแผนภูมิดวงชะตาอย่างเป็นทางการเป็นต้นมา นายหญิงรองก็เริ่มมีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย ตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างการส่งของหมั้นไปที่ตระกูลหันไปจนถึงเรื่องเล็กอย่างดอกไม้ใบหญ้าที่ใช้จัดวางในงานแต่งงานของคุณชายสาม นางตรวจสอบทุกอย่างด้วยตัวเอง ด้วยกลัวว่าจะมีตรงไหนที่หลงลืมไป
มีเรื่องแปลกใหม่ให้ฟัง หวังซีรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
เพียงแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินคล้ายกับไม่อยากพูดอะไรมาก ฮูหยินผู้เฒ่าดึงหัวข้อสนทนากลับไปที่เรื่องไปวัดหงหลัวเมื่อวานแทน
นี่ต้องมีเรื่องอะไรซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่!
หวังซีมองซ้ายทีมองขวาที ก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไร ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาถึงสวนหิมะงาม นางรีบตามชิงโฉวมาสอบถาม “เจ้ารู้ความเป็นมาเรื่องเรือนหอของคุณชายสามฉังหรือไม่”
ชิงโฉวได้ชื่อว่าเป็น ‘นักสืบ’ ประจำเรือนของนาง นางเป็นลูกมือไป๋จื่อช่วยถอดเครื่องประดับให้หวังซีไปด้วย ยิ้มกล่าวไปด้วยว่า “ทางตระกูลหันบอกว่าจะส่งเครื่องเรือนมาให้สองชุดมิใช่หรือ เรือนที่คุณชายสามฉังพักอยู่ตอนนี้จึงไม่เพียงพอให้วางของ ถ้าหากจะเปลี่ยนเรือนหลังใหม่ให้คุณชายสามฉัง ประการแรก ตอนที่คุณชายใหญ่ฉังแต่งงานยังคงพักอยู่ที่เรือนหลังเก่า คุณชายสามฉังไม่อาจกระทำเกินหน้าเกินตาคุณชายใหญ่ฉังได้ และประการที่สอง ถ้าเรือนหลังใหญ่ ค่าใช้จ่ายก็มาก แล้วจะคิดค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร”
หวังซีพยักหน้า “จวนโหวตระหนี่ถี่เหนียวมาตลอด!”
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ล้วนมิกล้ารับคำนาง
ชิงโฉวกล่าวต่อ “ถ้าจะขยับขยายเรือนหลังเดิมให้กว้างขวางขึ้น มิใช่คุณหนูสามต้องย้ายออกก็ต้องเป็นคุณชายแปดฉังต้องย้ายออกเจ้าค่ะ!”
อา! เรื่องนี้น่าสนุก!
หวังซียืดตัวตรงขึ้นหลายส่วน
คนตระกูลฉังช่างคลอดบุตรกันเก่งยิ่งนัก
ในจวนโหว ท่านโหวมีบุตรชายจากภรรยาเอกห้าคน บุตรสาวจากภรรยาเอกสองคน และบุตรชายจากอนุภรรยาหนึ่งคน นายท่านรองมีบุตรชายจากภรรยาเอกสองคน บุตรสาวจากภรรยาเอกหนึ่งคน และบุตรชายจากอนุภรรยาสามคน ส่วนนายท่านสามมีบุตรสาวจากภรรยาเอกหนึ่งคนและบุตรชายจากภรรยาเอกสองคน
ตอนท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้เรือนของท่านโหวที่ตอนนั้นยังดำรงสถานะเป็นซื่อจื่อจะกว้างขวางกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจรองรับจำนวนคนมากมายภายในเรือนของเขาได้ ทุกคนต่างอยู่กันอย่างเบียดเสียดเล็กน้อย อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ เมื่อท่านโหวผู้เฒ่าจากไป ท่านโหวจึงจัดแจงให้พี่น้องของเขาที่ถือกำเนิดจากอนุภรรยาเหล่านั้นแยกย้ายออกไป สามครอบครัวที่เหลืออยู่จึงจัดสรรปันส่วนที่พักกันใหม่โดยเลือกเข้าไปพักอาศัยในลานบ้านที่ทิวทัศน์น่าอยู่ ส่วนที่ไม่มีคนเข้าอยู่ หากมิใช่เรือนที่มีทิวทัศน์งามล้ำเลิศ เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล เอาไว้สำหรับรับรองแขกหรือไม่ก็จัดงานเลี้ยงอย่างสวนหิมะงามที่หวังซีพักอยู่ตอนนี้ ก็จะเป็นลานบ้านที่อยู่ห่างไกลไม่มีอะไรโดดเด่นและจำเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงในการซ่อมแซมเป็นจำนวนมากอย่างสวนร่มหลิว
หวังซีกล่าวขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “คุณหนูสามย้ายออกนั้นข้าพอจะนึกภาพออก เพราะนางคงอยู่ไม่ไกลจากเรือนพี่ชายนาง แต่เหตุใดถึงไปข้องเกี่ยวกับบ้านสามได้เล่า ที่พักของคุณชายสามฉังก็อยู่ใกล้กับของคุณชายแปดฉังด้วยอย่างนั้นหรือ”
คุณชายแปดฉังเป็นบุตรชายคนโตของบ้านสาม ปีนี้อายุเก้าขวบ ปีหน้าถึงจะถึงวัยย้ายออกไปอยู่ตามลำพังได้
ชิงโฉวหัวเราะ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่คาดเดาได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงรองทำใจแยกห่างจากบุตรชายคนโตไม่ได้ ตอนเลือกสถานที่ให้คุณชายสามฉัง จึงเลือกให้อยู่ทางทิศตะวันตกถัดจากลานบ้านหลักของบ้านรอง คุณหนูสามพักอยู่ที่เรือนปีกตะวันตกของลานบ้านหลัก ห่างจากคุณชายสามฉังเพียงกำแพงกั้น ทิศตะวันตกของเรือนคุณชายสามฉังเป็นเรือนของคุณชายห้าฉัง ทิศใต้เป็นเรือนของคุณชายหกฉัง ทิศเหนือเป็นลานบ้านของนายท่านสาม ปัจจุบันคุณชายแปดฉังยังต้องไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาข้างนอกทุกวัน จึงพักอยู่ที่เรือนชั้นนอกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของลานบ้านหลักของบ้านสาม ห่างจากที่พักของคุณชายสามฉังเพียงหนึ่งซอยกันไฟเล็กๆ เท่านั้น”
หวังซีลอบคิดคำนวณทิศทางและตำแหน่งต่างๆ อยู่ในใจเงียบๆ
ไป๋กั่วร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ด้านข้างซ้ายขวาของคุณชายสามฉังนั้นหากมิใช่ที่พักของน้องสาวตัวเอง ก็เป็นที่พักของน้องชายจากบ้านหลัก มีเพียงสถานที่พักของคุณชายแปดเท่านั้น ที่อยู่ถัดกับเขาด้านหน้าผู้หนึ่งด้านหลังผู้หนึ่ง”
หวังซีเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา กล่าวว่า “บ้านสามคงไม่กล้าปฏิเสธกระมัง”
นี่มิใช่แค่เรื่องย้ายที่อยู่
หากยกเรือนชั้นนอกที่คุณชายแปดฉังพักอาศัยอยู่ให้คุณชายสามฉังทำเป็นเรือนหอ ประตูหน้าบ้านของบ้านสามก็ไม่เหลือไปด้วย
ชิงโฉวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสามกับนายหญิงสามอดทนมาตลอด ไม่พูดถึงเรื่องจะยอมหรือไม่ยอมเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็คงมีเรื่องสนุกให้ดูกันแล้ว!” หวังซียิ้มร่า ก้มหน้าลงปล่อยให้ไป๋จื่อล้างหน้าให้นาง
ไม่รู้ว่าหงโฉววิ่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร กล่าวขึ้นว่า “หากเป็นข้า จะถือโอกาสนี้ย้ายไปอยู่ที่อื่น เอาแต่มีชีวิตอยู่โดยต้องดูสีหน้าของผู้อื่นเช่นนี้ หัวใจดวงนี้ก็ไม่สงบนัก”
ชิงโฉวจึงอบรมนางว่า “เจ้าขันอาสาทำงานพิเศษให้คุณหนูใหญ่ด้วยตัวเอง งานพิเศษนั่นทำไปถึงไหนแล้ว เหตุใดถึงวิ่งมาที่นี่ในเวลานี้”
หงโฉวฟังแล้วคล้ายไก่หนุ่มถูกถลกขน พลันดูห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย พูดจาก็ดูท้อแท้สิ้นหวังเล็กน้อยด้วย “มิใช่ว่าข้าจับตาดูอยู่ตลอดหรอกหรือ ตอนกินข้าวก็เปลี่ยนให้สาวใช้เด็กช่วยจับตาดูแทน แต่ลานบ้านทางโน้นก็ยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว พวกเจ้าจะโทษข้าได้อย่างไร! ใช่ว่าเขาจะเชื่อฟังข้า และข้าก็มิได้ห้ามไม่ให้เขารำกระบี่ในลานบ้านเสียหน่อย”
ชิงโฉวและหงโฉวเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
นางฟังแล้วอยากจะทุบตีคนอย่างเดียว
หวังซีมิใช่คนพูดยาก ทาน้ำมันบำรุงหน้าเสร็จแล้ว ปล่อยให้สาวใช้เด็กนามอาซีใช้น้ำสกัดดอกไม้นวดมือให้นาง กล่าวห้ามชิงโฉวว่า “ยังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์อะไรกับจวนจ่างกงจู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมาพักอยู่เพียงไม่กี่วันแล้วเกิดนึกครึ้มอยากรำกระบี่ขึ้นมา และพวกเราก็ไปเจอเข้าโดยบังเอิญทั้งสองครั้งก็เป็นได้”
แม้นจะกล่าวเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วยังคงรู้สึกแสนเสียดาย
ไป๋กั่วรับใช้หวังซีมาตั้งแต่เด็ก อายุมากกว่าหวังซีห้าปี ทนเห็นหวังซีจิตใจห่อเหี่ยวไม่ได้เป็นที่สุด ลับหลังต่อว่าหงโฉวว่าสร้างปัญหาก็จริง แต่เมื่อเห็นหวังซีเป็นเช่นนี้ก็อดหลอกล่อนางมิได้ว่า “หงโฉวบอกเองมิใช่หรือว่าเมื่อเช้าวานนางค้นพบโดยบังเอิญ เช้าตรู่วันนี้พอพวกเราไปก็เจออีกเหมือนกันมิ ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจจะตื่นขึ้นมารำกระบี่ทุกเช้าก็เป็นได้! คุณชายรองมักจะพูดบ่อยๆ ว่าต้อง ‘ตื่นมารำกระบี่ยามไก่ขัน’ มิใช่หรือเจ้าคะ คนผู้นั้นอาจจะเป็นเช่นเดียวกับที่คุณชายรองพูดก็เป็นได้ เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ถึงจะออกมารำกระบี่อีกครั้ง!”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะใช่แล้ว!” หงโฉวเองก็รีบกล่าว “นี่ยังไม่ถึงสิบสองชั่วยามเลย!”
หวังซีรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอม ฟังไป๋ซู่อ่านนิทานให้ฟังครู่หนึ่งแล้วผล็อยหลับไปอย่างเงียบสงบ
วันนี้ไป๋จื่อเป็นคนอยู่เวร
ไป๋ซู่ช่วยไป๋จื่อเหน็บผ้าห่มให้หวังซีเสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนปีกของตัวเอง
ไป๋กั่วไม่อยู่ห้อง สาวใช้เด็กที่ปรนนิบัติรับใช้พวกนางบอกนางว่า “พี่ไป๋กั่วไปหาหวังหมัวมัวเจ้าค่ะ”
ไป๋ซู่ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ขึ้นเตียงแล้วไป๋กั่วถึงกลับมา
นางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
ไป๋กั่วปล่อยให้สาวใช้เด็กปรนนิบัตินางเปลี่ยนอาภรณ์ไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “ข้าไปสอบถามหวังหมัวมัวมาว่าคุณหนูใหญ่คิดเห็นอย่างไรกันแน่ จะแต่งงานมาอยู่จิงเฉิงตามที่นายหญิงบอก หรือจะเป็นอย่างที่หงโฉวกล่าวมาที่ว่าเพียงมาเที่ยวจิงเฉิงระยะหนึ่งถึงเวลาก็กลับไป”
……………………………………………………………………………….
ตอนต่อไป