บทที่ 23 นางช่างน่าทึ่ง (รีไรท์)
บทที่ 23 นางช่างน่าทึ่ง (รีไรท์)
หนานกงหลีไม่ทราบว่าพื้นที่เบื้องหน้านี้คืออะไรกันแน่ เขาคลี่พัดจีบในมือ ก่อนจะสะบัดพัดไปมา
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงปลูกวัชพืชที่นี่”
สิ่งเดียวที่เขามองออกคือ ต้นอ่อนเหล่านั้นเป็นวัชพืช
ทันทีที่พูดจบ หนานกงหลีก็เห็นแก้มขาวราวหิมะของเสี่ยวเป่าป่องขึ้นเหมือนปลาทองตัวน้อย ใช้ดวงตากลมโตจ้องเขม็งมาที่เขา
แม้ว่านางจะดูดุดัน แต่กลับไม่น่ากลัวเลย นี่ยิ่งทำให้เขาอยากหยิกแก้มขาวนุ่มของเด็กน้อยมากกว่าเดิม
“มันไม่ใช่วัชพืชสักหน่อย!” คนตัวเล็กโต้กลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นางชี้ไปที่ต้นกล้า “นี่คือต้นมะเขือเทศ อันนั้นคือหูหลัวปัว*[1] กะหล่ำปลีกับถั่วแดง ที่เหลือคือเฉ่าเหมยอันล้ำค่าของเสี่ยวเป่า”
หนานกงหลีอ้าปากค้าง มองไปที่เสี่ยวเป่าด้วยความประหลาดใจ
“หลานอา เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”
เสี่ยวเป่าเชิดคางอย่างภาคภูมิใจ “เสี่ยวเป่ารู้จักพืชพรรณทุกชนิด!”
นางน่าทึ่งมาก
หนานกงหลีปรบมืออย่างชมเชยว่า “หลานสาวตัวน้อยของอาช่างยอดเยี่ยมนัก เจ้ารู้เรื่องที่แม้แต่ท่านอาก็ยังไม่รู้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
เสี่ยวเป่ารับคำชมจากหนานกงหลีอย่างไม่เขินอาย และคลับคล้ายว่าหางเล็ก ๆ ของนางกำลังจะโผล่ออกมา
“ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าน่าทึ่งมาก”
เมื่อเห็นท่าทางของหลานสาวแล้ว หนานกงหลีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
สายตาของหนานกงสือเยวียนจ้องมองไปยังต้นกล้าที่แข็งแรงเหล่านั้น
“ดูเหมือนว่าพวกมันจะเติบโตเร็วมาก”
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเกษตรเลย ดังนั้นสมัยตอนอยู่ชายแดน เพื่อเลี้ยงปากท้องของทหารในกองทัพ เขาจึงนำเหล่าทหารไปทำนาพรวนดินด้วยตัวเอง
พืชพรรณที่บุตรสาวของเขาปลูกมีอายุเพียงสามวัน แต่ตอนนี้พวกมันกลับเจริญเติบโต มีรากที่แข็งแรงแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านพ่อพูด เสี่ยวเป่าก็หลบสายตาด้วยความรู้สึกผิด
พืชพรรณทั้งหมดนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณ พวกมันจึงสามารถแตกหน่อได้ในคืนเดียว
โดยเฉพาะเฉ่าเหมยที่นางชื่นชอบเป็นพิเศษ นางถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปมากกว่าต้นอื่น ๆ พวกมันเพิ่งจะถูกปลูกเมื่อวานนี้ วันนี้พวกมันกลับเติบโตได้ดีกว่าต้นกล้าที่ปลูกไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก
“เฉ่าเหมยคืออะไร มะเขือเทศคืออะไร เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังที”
จู่ ๆ ท่านอาก็ถามคำถามนี้ โดยพื้นฐานแล้ว เขารู้จักพืชส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเป่าเพิ่งพูดถึง แต่เขาไม่รู้เกี่ยวกับพืชสองชนิดนี้เลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวเป่าอธิบาย “เฉ่าเหมยเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง อร่อยมาก มะเขือเทศเป็นได้ทั้งผักและผลไม้ รสเลิศเช่นกันเจ้าค่ะ”
หนานกงหลีเอ่ยเสียงดังฟังชัด “เช่นนั้น หากมะเขือเทศและเฉ่าเหมยของเสี่ยวเป่าสุกแล้ว อาสามารถทานได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน เชิญท่านอาทานได้ตามใจชอบเลย!”
อาหลานพูดคุยกันอย่างร่าเริง ทว่าหนานกงสือเยวียนมองไปที่เสี่ยวเป่าอย่างสงสัย
เด็กน้อยอายุเพียงสามขวบกลับรู้เรื่องเกี่ยวกับพืชเหล่านี้มากเกินไป เขาเองก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพืชทั้งสองชนิดที่หนานกงหลีกล่าวถึงมาก่อน
เขาไม่เพียงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ในพระราชวัง แต่ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งตอนที่ประจำการอยู่ชายแดนด้วย
บุตรสาวของเขามีความลับ แต่นางโง่จริง ๆ ที่ไม่มีความคิด ไม่รู้ว่าตนเองเผลอเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกมาเพียงใด โชคดีที่หนานกงหลีโง่เขลาเกินกว่าจะสังเกตเห็น
หนานกงสือเยวียนไม่มีเวลาว่างมากนัก ในฐานะกษัตริย์ เขาต้องจัดการเรื่องมากมายทุกวัน
หลังจากปล่อยให้เสี่ยวเป่าอยู่ในความดูแลของเหล่านางกำนัลกลุ่มหนึ่ง เขาก็วางแผนที่จะกลับไปทำงานต่อ
หนานกงหลีเฝ้าดูเสด็จพี่เดินจากไป พึมพำว่า “เหตุใดเสด็จพี่ไม่บอกให้ข้าดูแลเจ้านะ?”
บรรดานางกำนัลทำเหมือนไม่ได้ยิน
ในเมื่อท่านพ่อไม่อยู่ที่นี่ เด็กหญิงจึงมีเวลาอยู่กับหนานกงหลีอย่างเต็มที่
ท่านอาของเด็กหญิงลืมข้อสงสัยของตนเองไปจนหมด เขาใช้เวลาเล่นกับเสี่ยวเป่าอย่างมีความสุขเสมือนเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งเช่นกัน
ณ ตำหนักฉินเจิ้ง
“ฝ่าบาท”
หมอจางมาเข้าเฝ้าหนานกงสือเยวียน
“มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับองค์หญิงน้อยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ตรวจสอบร่างกายของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมบนร่างของนางเป็นเพียงกลิ่นกาย หาได้เกิดจากปัจจัยภายนอก กลิ่นหอมนั้นสร้างความผ่อนคลายให้แก่ผู้คน มันให้ความสงบได้ดีกว่ากำยานทุกชนิดที่กระหม่อมเคยพบเจอพ่ะย่ะค่ะ”
หมอจางพบว่ามันน่าอัศจรรย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับฝ่าบาท
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การประสูติขององค์หญิงอาจไม่ธรรมดา”
แม้ว่าหมอหลวงจะประหลาดใจกับร่างกายที่น่าอัศจรรย์ขององค์หญิง แต่เขาก็ไม่ได้ตกใจจนเกินไป
ถึงอย่างไร ในยุคนี้มีบางคนที่เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษส่วนตัวอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเขาเลย
หนานกงสือเยวียน “อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เก็บเป็นความลับไว้ก่อน”
หมอจาง “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ ดวงตาคร่ำเคร่งมากขึ้น
เขารู้ว่าร่างกายของเสี่ยวเป่ามีอะไรมากกว่ากลิ่นหอมหวาน
คืนนั้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอาการป่วยอยู่เหนือการควบคุม แต่หลังจากนั้น เขาก็หายเป็นปกติ
แต่… ไม่ว่าเสี่ยวเป่าจะมีความลับอะไร นางก็คือธิดาของเขาอย่างแน่นอน
…
หนานกงหลีพาเสี่ยวเป่าไปที่อุทยานหลวงซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ทั้งยังมีบุปผางามและพืชไม้หายากมากมาย
เขาคิดว่าเพราะเจ้าตัวเล็กชอบปลูกพืชพรรณมาก นางก็น่าจะชอบดอกไม้และพรรณไม้ที่สวยงามด้วย
ยามนี้เป็นฤดูกาลที่หมู่ผกาบานสะพรั่ง ทุกย่างก้าวคือทิวทัศน์สวยตระการตา
เหล่าผีเสื้อเริงระบำท่ามกลางดอกไม้ ภาพหนานกงหลีถือพัดจีบ สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักเป็นประกายระยิบระยับ รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทำให้เขาดูเป็นเพียงท่านอ๋องผู้อ่อนโยนคนหนึ่ง
“ดูสิ เสี่ยวเป่า นี่คือสวนของท่านพ่อเจ้า”
เด็กหญิงร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“ท่านพ่อสุดยอดไปเลย!”
นางไม่ลังเลเลยที่จะยกย่องบิดา
หนานกงหลีส่ายหัว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรักท่านพ่อของเจ้ามาก”
“แน่นอน เสี่ยวเป่ารักท่านพ่อมาก”
เจ้าก้อนแป้งตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หนานกงหลีมองดวงตาคู่เล็กที่สดใสยามนางพูดถึงบิดาของตนเอง เขาพลันเริ่มเจ็บใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปเถอะ อาจะพาเจ้าไปชมสวนบุปผา!”
ว่าแล้วเขาก็พานางไปยังที่ที่ดอกไม้ในอุทยานหลวงผลิบานมากที่สุด
หนานกงหลีเติบโตขึ้นมาในพระราชวังแห่งนี้ แม้เขาจะไม่ได้ถือกำเนิดที่นี่ แต่หลังจากอาศัยอยู่ในสถานที่นี้มาหลายปี ก็คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี
เพียงแต่เขาเป็นคนที่มีความจำไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ถึงกระนั้น เขากลับมีอายุยืนยาวกว่าบรรดาพี่น้องที่มีความฉลาดเฉลียวมากกว่าตนเองหลายเท่า การมีสมองที่โง่เขลาจึงไม่ใช่จุดจบ เพราะชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอนจริง ๆ
“ดูต้นโบตั๋นตรงนั้นสิ ต้นโบตั๋นที่ถูกส่งเข้าวังได้ล้วนต้องมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว เจ้าอยากให้อาช่วยแนะนำหรือไม่ว่าแต่ละต้นนั้นเป็นสายพันธุ์ใดบ้าง”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “เสี่ยวเป่ารู้จักพวกมันอยู่แล้ว”
ท่านอาทวนคำพูดของหลานสาวด้วยความไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด “เป็นไปได้อย่างไร เด็กน้อยอย่างเจ้าจะรู้จักพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร”
เสี่ยวเป่าทำปากยื่น ชี้นิ้วไปยังดงต้นโบตั๋นที่อยู่ข้างหน้า
“นั่นคือสายพันธุ์เหยาหวง เว่ยจื่อ จ้าวเฝิ่น โต้วลวี่และเอ้อร์เฉียว…”
เมื่อเสี่ยวเป่าพูดชื่อโบตั๋นหลายพันธุ์ออกมา หนานกงหลีที่รักษาทีท่าสงบในตอนแรก ก็ไม่อาจสงบได้อีกต่อไป
เขาอ้าปากค้าง พัดจีบที่ถืออยู่ในมือเกือบจะตกลงไปที่พื้น นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ตกใจเช่นกัน
เสี่ยวเป่าสามารถบอกชื่อสายพันธุ์ของต้นโบตั๋นออกมาได้ถูกต้องทั้งหมด!
เด็กน้อย “ต้นที่เป็นสายพันธุ์เว่ยจื่อจำเป็นต้องได้รับการรดน้ำด้วยเจ้าค่ะ~”
หนานกงหลีเบิกตากว้าง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เสี่ยวเป่ามองกลับไปอย่างไร้เดียงสา “เสี่ยวเป่าก็แค่รู้”
หนานกงหลีถามต่อไปว่า “ไม่สิ เจ้าเคยเห็นดอกไม้เหล่านี้มาก่อนหรือไม่”
องค์หญิงน้อยอยากจะตอบว่า นางเคยเห็นพวกมันมาหมดแล้ว แม้แต่พืชพรรณสายพันธุ์ที่ลึกลับมากกว่านี้นางก็เคยเห็นเช่นกัน แต่เสี่ยวเป่าได้แต่อึก ๆ อัก ๆ อ้าปากค้างเอาไว้ ไม่ได้พูดออกแต่อย่างใด
[1] หูหลัวปัว คือ แครอท