บทที่ 24 ความขัดแย้ง (รีไรท์)

บทที่ 24 ความขัดแย้ง (รีไรท์)

เสี่ยวเป่าฉุกคิดขึ้นได้ว่า ตนเองไม่เคยเห็นดอกไม้เหล่านี้ในโลกนี้

นางรู้สึกผิด ดวงตากลมโตกลอกไปมา

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

หนานกงหลี “…”

ฟังที่เจ้าพูดมาสิ เข้าท่าตรงไหนกัน?

“อ๊ะ ผีเสื้อแสนสวย!”

เสี่ยวเป่าหันศีรษะ วิ่งไล่ตามผีเสื้อที่บินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ฮิฮิ ข้านี่ฉลาดจริง ๆ แค่วิ่งไล่จับผีเสื้อ ท่านอาก็ถามอะไรไม่ได้แล้ว!

ความคิดในใจของเด็กเล็กปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน ท่านอาของนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดถาม

เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้มีความลับบางอย่าง…

เสี่ยวเป่าไล่ตามผีเสื้อไปจริง ๆ แต่หลังจากไล่ตามไปไม่นานก็ถูกสิ่งอื่นดึงดูดความสนใจไป

“องค์หญิง วิ่งช้าลงหน่อยเพคะ!”

ถึงแม้เสี่ยวเป่าจะขาสั้น แต่นางกลับวิ่งเร็วมาก

ก่อนที่ชุนสี่และคนอื่น ๆ จะตามทัน เสี่ยวเป่าก็คว้าผึ้งน้อยตัวอ้วนจากดอกไม้ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้แล้ว

“บังอาจ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบุกเข้ามาในอุทยานหลวง!”

ทันทีที่เสี่ยวเป่าจับผึ้งน้อยตัวอ้วนมาได้สำเร็จ เสียงดุว่าของใครบางคนก็ดังกังวานขึ้น เด็กหญิงกลัวมากจนต้องรีบซ่อนมือไว้ด้านหลัง

เมื่อหันไปมอง เสี่ยวเป่าก็พบเข้ากับสตรีที่แต่งตัวงามงดผู้หนึ่ง เดินผ่านมาพร้อมกับกลุ่มข้าราชบริพาร

บรรดานางกำนัลพากันจ้องมองมาที่เด็กน้อยด้วยสายตาดุร้าย

“เจ้ามาจากตำหนักใด? เจอพระสนมแล้วยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!”

เสี่ยวเป่ามองกลุ่มคนด้วยความงงงัน

“เหตุใดต้องคุกเข่าด้วย”

นางกำนัลเชิดคางขึ้น “เจ้าไม่เห็นพระสนมหรือไร!”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่เห็นเจ้าค่ะ”

“นังเด็กไร้มารยาท! วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเรื่องมารยาทเอง!”

ว่าจบแล้ว สาวใช้ก็ยกมือขึ้น หมายจะตบหน้าเสี่ยวเป่า

เมื่อเห็นว่านางกำนัลต่ำต้อยกำลังจะตีเด็กน้อย แทนที่จะหยุดนาง หลิ่วผิน*[1]กลับยิ้มมุมปาก ดวงตาทอประกายวาววาบอย่างน่ากลัว

โชคดีที่ชุนสี่และคนอื่นมาถึง ก็รีบผลักนางกำนัลผู้นั้นออกไปได้ทันเวลา

รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วผินหายไปทันที

“กล้าดีอย่างไรถึงลงมือกับองค์หญิงน้อย!”

ชุนสี่ตวาดเสียงใส่นางกำนัลของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า

“เจ้า…”

“สตรีในราชสำนักเดี๋ยวนี้ทำอะไรไม่สนใจกฎเกณฑ์จริง ๆ”

หลิ่วผินเดินเข้ามาใกล้ ชำเลืองมองพวกนาง “เป็นเพียงบ่าวไพร่ กลับกล้าอยู่เหนือหัวของเจ้านาย ในเมื่อนางเป็นองค์หญิง ไม่สามารถถูกเฆี่ยนตีได้ เช่นนั้น ข้าเฆี่ยนเจ้าในฐานะทาสแทนก็แล้วกัน”

นางโบกมือ “ลงโทษซะ”

เสี่ยวเป่ารีบขยับเข้ามาขวางหน้าชุนสี่ “อย่าตีนางนะ!”

แต่ไม่มีใครฟังสิ่งที่นางพูด เสี่ยวเป่าเป็นเพียงเด็กน้อย ขันทีสองคนปรี่เข้ามาจับตัวชุนสี่ไป

“พวกคนใจร้าย อย่ารังแกชุนสี่นะ!”

เสี่ยวเป่ากลัวมากจนน้ำตาไหล นางพยายามห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ แต่สุดท้ายกลับถูกหญิงรับใช้เหล่านั้นผลักจนล้มลง

ผึ้งในมือถูกปล่อย แล้วมันก็บินไปหาหลิ่วผิน

หลิ่วผินที่กำลังยืนดูเหตุการณ์ถึงกับอ้าปากค้าง นางกลัวผึ้งบินเข้ามาหาตนเองจนใบหน้าซีดเผือด กรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ

“เร็วเข้า! เอาผึ้งตัวนี้ออกไป!”

สีหน้าหยิ่งยโสหายไปแล้ว หลงเหลือเพียงสีหน้าตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวเท่านั้น

หนานกงหลีที่กำลังเดินตามมาอย่างช้า ๆ หลังหยุดชื่นชมดอกไม้ เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เขาก็รีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเสี่ยวเป่านั่งอยู่กับพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“ใครทำ!”

เขารีบก้าวไปข้างหน้า อุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมาจากพื้น

“ฮืออ! ท่านอาเจ็ด พวกเขาเป็นคนเลว พวกเขาต้องการทำร้ายเสี่ยวเป่ากับชุนสี่” เสี่ยวเป่าร้องไห้จ้าหลังจากถูกอุ้ม ขณะที่ใบหน้าอาบน้ำตา มือก็ชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังตบตีกันอย่างวุ่นวาย

ใบหน้าของหนานกงหลีพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“หลิ่วผิน เจ้ากําแหงมากเกินไปแล้ว!”

เสด็จพี่ของเขามีนางสนมเพียงไม่กี่คน เพราะฉะนั้น หนานกงหลีย่อมจดจำสตรีผู้นี้ได้

ผึ้งน้อยบินออกไปแล้ว หลิ่วผินได้แต่ยืนนิ่งด้วยความลำบากใจ นางรู้สึกเสียใจ แต่ก็เกลียดชังเสี่ยวเป่ามากกว่าเดิม

“เซียวเหยาอ๋อง แม้ว่าท่านจะเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท แต่หาใช่กงการของท่านที่จะมาวิจารณ์ข้า ข้าเพียงสั่งสอนบทเรียนของสตรีในราชสำนัก แต่นางกลับส่งผึ้งมาต่อยข้า ถึงนางจะเป็นองค์หญิง แต่จะกระทำเช่นนี้ไม่ได้!”

เสี่ยวเป่ารู้สึกผิด “แต่ท่านเป็นคนผลักข้าล้ม ผึ้งน้อยเลยหลุดมือบินหนีไป”

หนานกงหลีหัวเราะเยาะ “วาจาของหลิ่วผินเหลวไหลเกินไปแล้ว เป็นไปได้หรือที่เสี่ยวเป่า เด็กอายุสามขวบคนนี้จะสามารถสั่งให้ผึ้งไปต่อยเจ้าได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงหลี เสี่ยวเป่าก็รู้สึกผิด เพราะนางมีความสามารถนั้นจริง ๆ

แต่แน่นอนว่าครั้งนี้มันเป็นอุบัติเหตุ

“ผู้ใดจะไปคิดว่า องค์หญิงน้อยจะมาวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในอุทยานหลวงเช่นนี้ ข้าสั่งสอนสตรีในวังไม่ได้หรือ? เห็นที วันนี้ข้าคงต้องร้องขอความยุติธรรมจากฝ่าบาทเสียแล้ว!”

หลิ่วผินไม่เชื่อว่าเด็กที่เกิดจากสตรีบ้านนอกนางหนึ่งจะมีอำนาจมากกว่าตนเอง!

ดวงตาของหนานกงหลีฉายแววเย็นชา “เช่นนั้นก็ให้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินเถิด”

ฝูไห่กงกงได้รับแจ้งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอุทยานหลวงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของฝูไห่กงกงเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ยินข่าว

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิงน้อยกับหลิ่วผินทะเลาะกันที่อุทยานหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนเคร่งขรึมทันที “องค์หญิงล่ะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฝูไห่กงกงรู้ทันทีว่าพระองค์ทรงกังวลเรื่องอะไร

มันย่อมเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว หลิ่วผินเป็นเพียงนางบำเรอ แม้แต่องค์ชายที่เป็นโอรสแท้ ๆ ของฝ่าบาทก็ยังไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่ากับองค์หญิงน้อยผู้นี้เลย

“องค์หญิงตกใจกลัว พระองค์ถูกนางกำนัลผู้หนึ่งผลักจนล้มลง บัดนี้ เซียวเหยาอ๋องกำลังปลอบโยนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

ตอนที่ฝูไห่กงกงได้รับข่าว ในใจพลันเจ็บปวดขึ้นมา องค์หญิงน้อยอายุเพียงสามขวบเท่านั้น ร่างกายบอบบางมาก เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลิ่วผินทำร้ายนางได้อย่างไร!

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนหลงเหลือเพียงความเย็นชา เขากล่าวทันทีว่า “นำตัวทุกคนเข้ามา!”

ในไม่ช้า หลิ่วผินและพรรคพวก พร้อมด้วยหนานกงหลีและเสี่ยวเป่าก็เดินทางมาถึง

ดวงตาและจมูกของเสี่ยวเป่ายังคงแดงก่ำจากการร้องไห้

ทันทีที่หลิ่วผินมาถึงตำหนักฉินเจิ้งและเห็นหนานหงสือเยวียน นางก็น้ำตาอาบหน้าทันที

“ฝ่าบาทต้องเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จักองค์หญิงน้อย คิดว่าเป็นเพียงนางกำนัลเด็กที่วิ่งเล่นโดยไม่รู้จักกาลเทศะ บ่าวของหม่อมฉันเข้าไปขับไล่นางด้วยความเข้าใจผิด เพียงต้องการสั่งสอนสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างองค์หญิง ผู้ใดจะไปคิด… ผู้ใดจะไปคิดว่าองค์หญิงน้อยจะปล่อยผึ้งออกมาขู่ให้หม่อมฉันตกใจกลัว…”

หนานกงหลีแค่นเสียงหัวเราะอย่างโกรธจัด “เลิกเสแสร้งได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกชุนสี่เข้าไปช่วยเหลือไว้ได้ทันเวลา นางกำนัลของเจ้าคงได้ลงไม้ลงมือกับองค์หญิงน้อยไปแล้ว”

หลิ่วผินแสร้งบีบน้ำตาให้ไหลออกมาช้า ๆ เอ่ยวาจาปกป้องตัวเองต่อไป

“องค์หญิงน้อยเพิ่งจะมาถึง ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าค่าตา จริงอยู่ที่ข้าไม่เข้มงวดกับคนรอบข้างจนเกือบทำร้ายองค์หญิงน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วยเถิดเพคะ เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก หากเรื่องสาวใช้ข้างกายองค์หญิงขัดแย้งกับนางสนมแพร่งพรายออกไป แล้วฝ่าบาทไม่สั่งสอนนาง หม่อมฉันจะมีหน้าไปพบเจอกับผู้คนอีกได้อย่างไร”

หนานกงสือเยวียนจ้องมองหญิงสาวที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาไร้ความรู้สึก จากนั้นเขาโบกมือไปทางเสี่ยวเป่า

“มานี่”

เสี่ยวเป่ารู้สึกผิด เมื่อได้ยินท่านพ่อกำลังเรียกหา นางก็วิ่งเข้าไปกอดเขาทันทีทั้งน้ำตา

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเจ็บ”

เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กเต็มไปด้วยความคับข้องใจและสะอึกสะอื้น น้ำตาของนางพลันไหลอาบลงมาอีกครั้ง

หนานกงสือเยวียนโอบกอดนางต่อหน้าทุกคน

ยามนั้น ใบหน้าของหลิ่วผิน นางกำนัล พร้อมด้วยกลุ่มข้าหลวงที่อยู่ด้านหลังนางล้วนซีดเซียวในบัดดล

หลิ่วผินมองพระพักตร์ของฝ่าบาท บุรุษผู้ได้ชื่อว่าไม่เคยแยแสผู้ใดมาก่อนด้วยความเหลือเชื่อ หนานกงสือเยวียนกำลังอุ้มองค์หญิงน้อยขึ้นมาจริง ๆ!

นี่เป็นเกียรติที่แม้แต่องค์ชายทุกพระองค์ยังไม่เคยได้รับมาก่อน!

[1] ผิน (嫔) คือพระสนมชั้นผินมีอยู่ 6 ตำแหน่ง