“ฉันควรจะเรียกกลุ่มคนที่ค้นพบพลังเหนือธรรมชาติเพื่อเป้าหมายของพวกเค้าว่าอย่างไร? พวกเค้าเกือบจะดูเหมือนพ่อมดหรืออะไรบางอย่าง!”

ลูซีหยูตัดสินใจว่าเค้าจะตั้งชื่อระบบอารยธรรมนี้ ใช่เค้าคิดว่านี่เป็นระบบอารยธรรมเพราะเมื่อมีการใช้พลังจิตและเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขถูกแพร่หลายออกไป มันก็สามารถสร้างอารยธรรมที่ไม่ด้อยไปกว่าระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เค้าต้องการที่จะเรียกมันว่า อารยธรรมเวทมนตร์แต่มันฟังดูแปลกแยกและลึกลับเกินไป ในที่สดเค้าก็ตัดสินใจใช้ชื่อ ‘อารยธรรมพ่อมด’

ขั้นตอนแรกคือการเปิดเส้นทางสู่โลกมิติ0ทั่วโลกของมาเรีย แต่แทนที่จะปล่อยให้เปิดอย่างอิสระเค้าจะใช้วิธีการทางอ้อม

เค้าเตรียมที่จะสร้างทางจากโลกมิติ1และใช้มันเป็นข้อกำหนดในการเข้าถึงแหล่งพลังงานจากโลกมิติ0 เมื่อความแข็งแกร่งของจิตใจของบุคคลธรรมดาบรรลุตามข้อกำหนดเค้าก็จะสามารถเชื่อมต่อกับทางจากโลกมิติ1ซึ่งสามารถดูดซับแหล่งพลังงานในโลกมิติ0เพื่อเสริมสร้างพลังจิตของพวกเค้า

“เรียกมันว่า เครือข่ายเวทมนตร์ ละกัน 60%ของแหล่งพลังงานที่คนหนึ่งจะสามารถดึงออกมาจากโลกมิติ0โดยใช้เครือข่ายเวทมนตร์ คนๆนั้นจะได้รับเพียง40%ของมัน นี่อาจเป็นวิธีที่ฉันจะเก็บเกี่ยวจากแหล่งพลังงาน!”

แหล่งพลังงานของลูซีหยูในนาฬิกาทรายเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากพันปีของการรวบรวมแหล่งพลังงานได้เพิ่มขึ้นจาก129หน่วยเป็น1396หน่วย ในตอนแรกเริ่ม200ปีแรกให้ผลเพียงน้อยกว่า100หน่วยของแหล่งพลังงาน อัตราการเติบโตได้เพิ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ทุกๆปีจะให้ผลประมาณ8หรือ9หน่วยของแหล่งพลังงาน

เป็นที่ยอมรับว่าสิ่งมีชีวิตปกติมีแหล่งพลังงานน้อยมาก ลูซีหยูได้รวบรวมแหล่งพลังงานจากราชินีแมลง ปริมาณของแหล่งพลังงานของสิ่งมีชีวิตปกติคือน้อยมากเมื่อเทียบกับราชินีแมลง

ตามความคิดของเค้าลูซีหยูใช้ the Scroll of the Worldเพื่อแก้ไขกฎบางอย่างในโลกมิติ1 ให้ครอบคลุมโลกของมาเรียด้วยทางจากโลกมิติ1 และเพราะมันเป็นโลกที่มีมิติซ้อนทับกันเว้นแต่ว่าใครจะสามารถตรวจจับมิติได้ ไม่ทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง

ลูซีหยูรู้สึกได้ถึงความลับของการเดินทางของเครือค่ายปรากฏขึ้นต่อกัน ขยายไปทั่วโลกของมาเรีย เค้าสามารถรู้สึกได้ถึงแหล่งพลังงานอย่างช้าๆที่ถูกระบายออกโดยกระบวนการนี้อย่างเช่น น้ำไหลออกมา มันน่าตกใจมาก เค้ารู้ว่ามันจะใช้แหล่งพลังงานมากในการสร้างเครือข่ายครอบคลุมทั้งโลกแต่เค้าไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้ การสร้างโลกของมาเรียใช้แหล่งพลังงานประมาณ1,000หน่วยเท่านั้นแต่การบริโภคในตอนนี้มากกว่านั้นอีก

แน่นอนว่าเค้าใช้พลังงานวัสดุจากจักรวาลชั้นนอกเมื่อสร้างโลกของมาเรีย แหล่งพลังงานของลูซีหยูนั้นส่วนใหญ่จะใช้ในการเปลี่ยนกฎและเปลี่ยนพลังงานวัสดุให้เป็นโลก ตอนนี้เค้ากำลังใช้แหล่งพลังงานของเค้าเองมาสร้างเส้นทางที่จะรับและสกัดแหล่งพลังงานเพื่อสร้างเครือข่ายเหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเครือข่ายนี้มีไว้สำหรับขนส่งพลังงานเท่านั้น ในการใช้แหล่งพลังงานจัดทำโลกมิติ0 มันต้องใช้สิ่งมีชีวิตที่มีสติ ไม่มีวิธีอื่นในการดึงแหล่งพลังงานมา

ดังนั้นลูซีหยูจึงตั้งขอบข่าย ต่อมาสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติอื่นๆจะต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายเวทมนตร์เพื่อดึงแหล่งพลังงานมาและอนุญาตให้ลูซีหยูได้รับ ‘ค่าผ่านทาง’

เมื่อเครือข่ายกระจายไปทีละนิดเค้าพบว่าแหล่งพลังงานที่เค้าสะสมไว้ได้ลดลงเหลือน้อยกว่า1000หน่วย การทำงานหนักมากกว่า1000ปีเหมือนไร้ความหมายไปทันที เพราะเครือข่ายไม่ครอบคลุมปราสาทของเค้า เค้าจึงตัดสินใจว่าเค้าจะไปตรวจสอบโลกด้วยตัวเอง ก่อนที่จะลงไปเค้าใช้the Scroll of the Worldเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรบ้างและมีอะไรเปลี่ยนแปลงในโลกของมาเรียบ้าง

ในทวีปเอลฟินพวกเอลฟ์ที่มีประชากรมากเกินไปตั้งถิ่นฐานในป่าแห่งชีวิต อาณาจักรของพวกเอลฟ์ก็ถูกแบ่งออกเนื่องจากปัญหานี้ ผู้เฒ่าสองคนซึ่งแต่เดิมเป็นสมาชิกของสภาหยิบเมล็ดของต้นไม้แห่งชีวิต เมื่อพวกเค้าพร้อมที่จะติดตามพวกเค้า พวกเค้าก็ออกจากป่าแห่งชีวิตไป พวกเค้าเริ่มสำรวจยาลาและมองที่ใหม่เพื่อปักหลักและเรียกว่าบ้าน

บนเอเลนมนุษย์และออร์คยังคงถูกขังอยู่ในความขัดแย้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด มีสงครามเกิดขึ้นหลายครั้ง อย่างไรก็ตามการต่อสู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและอารยธรรมของทั้งมนุษย์และออร์คก็แข็งแกร่งขึ้นมาก ทวีปอันกว้างใหญ่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตและวัฒนธรรมที่หลากหลาย กลุ่มของประเทศต่างๆมากมายก่อตั้งขึ้นทั้งในอารยธรรมมนุษย์และออร์ค

มีอาณาจักรมนุษย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น อาณาจักรแบตโตในทะเลทราย อาณาจักรมาราในป่า อาณาจักรตูเตนในทางตะวันออก อาณาจักรลูเมนที่เข้ามามีอำนาจผ่านการทางค้าทางทะเล และอาณาจักรครีทที่ทรงพลังที่สุดในใจกลางของแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรและเมืองเล็กๆระหว่างอาณาจักรขนาดใหญ่เหล่านั้น ประเทศเล็กๆเหล่านี้สร้างพันธมิตรกับอาณาจักรที่ใหญ่กว่าและก่อตั้งพีระมิดแห่งอำนาจ

ใบบรรดาประเทศเหล่านี้จักรวรรดิครีตไม่ได้ทรงพลังที่สุดแต่มีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด มันครอบครองที่ราบในใจกลางของทวีปที่ซึ่งอารยธรรมของมนุษย์เริ่มขึ้น ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดและราชวงศ์ถูกเรียกว่า ราชวงศ์เหล็ก

ตั้งแต่ราชวงศ์ทองของอะเฮนาเท็นมีสงครามหลายครั้งที่แบ่งจักรวรรดิที่เค้าสร้างขึ้น อาณาจักรเหล่านี้แตกจากกันและรวมเป็นหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก อาณาจักรครีตเป็นอาณาจักรที่สี่ของการรวมอาณาจักรเล็กๆทั้งหมด ก่อนหน้านั้นก็มีราชวงศ์ซิลเวอร์ที่เรียกว่า จักรวรรดิพิเรริสและราชวงศ์ทองแดงเรียกว่า จักรวรรดิไทลีน

จักรวรรดิครีตเริ่มต้นเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว เมื่อที่ราบกลางแตกออกเป็นหลายสิบประเทศ เอลลอต1แห่งจักรววรดิครีตได้เอาชนะอาณาจักรนอสสอส ฟาตู เนีย แคสลอต และอาณาจักรอื่นๆเพื่อรวมที่ราบ เป็นเวลากว่า30ปีที่กองเรือในทะเลได้รับผลกระทบจากลูกหลานแห่งทะเล ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเรือลำใดเต็มใจที่จะเสี่ยงภัยในทะเลลึก บางครั้งเส้นทางที่ปลอดภัยอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งภายในอาณาจักรเล็กๆ

ลูซีหยูต้องกาตรวจสอบทะเลเมื่อเค้าถูกกวนใจจากการเคลื่อนไหวในหุบเขา เค้าปรับโฟกัสของthe Scroll of the Worldด้วยความอยากรู้ คนงานหลายคนทำงานในหุบเขาขุดหาบางอย่าง ภูเขาทั้งลูกดูเหมือนจะถูกยกขึ้น ในที่สุดทาสคนหนึ่งก็ขุดลึกเกินไปและพื้นดินเบื้องล่างเค้าก็ทรุดตัวทำให้เค้าตกลงมาทันที ผู้คนมองลงมาและเห็นจุดกลมๆ ทาสนั่นตกลงมาจากด้านบนและตาย

ผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนขุนนางเดินไป ยามสองสามคนผลักคนที่ไม่รู้เรื่องออกไป ชายผู้คนนอนลงบนพื้น มองลงไป เค้าจำการออกแบบของก้อนหินด้านในได้ทันที

“นี่แหละ! ฉันรู้จักสถาปัตยกรรมรูปแบบนี้! นี่คือเครื่องหมายของราชวงศ์ทองและสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์นั้นมาจากตำนาน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการให้พรของพระเจ้าแก่พวกเค้า เราพบมันแล้ว! หลังจากใช้เวลามาเนินนานเราก็พบมัน!” ชายคนนั้นตื่นเต้นมาก