“พุ่งไปทางใต้สี่ก้าว แล้วถอยจากจุดนั้นไปทางตะวันตกหกชุ่น เจ้าอสรพิษกำลังเริ่มเคลื่อนไปทางซ้ายของมันแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วซ่อนตัวอยู่อย่างอบอุ่นและสบายภายในลำต้นของต้นสนโบราณ เขายังคงส่งข้อความเสียงให้โหย่วฉินเสวียนหย่าต่อไป
ตอนนี้โหย่วฉินเสวียนหย่าอยู่ห่างจากต้นสนไม่เกินสามร้อยจั้ง
หน้าผานี้เป็นโครงสร้างที่ยื่นออกมาในแนวนอน ในขณะนั้นอสรพิษคลื่นครามสามตาก็กำลังเลื้อยออกมาจากร่องหินแคบๆ ที่มันซ่อนตัวอยู่ เลื้อยอยู่ใกล้กับกำแพงหินใต้หน้าผา แล้วโผล่หัวของมันออกมาข้างๆ ลำต้นสนโบราณ
นั่นทำให้โหย่วฉินเสวียนหย่าและผู้โจมตีนางทั้งหกล้วนตื่นตระหนก แต่อวี่เหวินหลิงซึ่งยังคงอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้สังเกตมัน
และนี่ช่วยให้หลี่ฉางโซ่วไม่ต้องยุ่งยากกับการวางอุบายและแผนการเพิ่มเติม
หลี่ฉางโซ่วทำงานอย่างหนักเต็มกำลังเพื่อกระทำสิ่งต่างๆ พร้อมกัน โดยอย่างแรกคือ เขาต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกปิดการขับเคลื่อนพลังลมปราณในร่างของเขา อย่างที่สองคือ ให้คำชี้แนะการเคลื่อนไหวไปตามทิศทางต่างๆ แก่โหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างต่อเนื่อง ส่วนอย่างที่สามคือ เขาต้องจับตาสังเกตการเคลื่อนไหวของอสรพิษตัวนี้ตลอดเวลา และเขาก็ไม่อาจละเลยความเป็นความตายของ ‘ตัวอันตรายเสวียนหย่า’ ได้
เขายังไม่ได้โม่แป้ง แล้วจะย่างเนื้อลาเพื่อทำหลูโร่วหั่วเชาได้อย่างไรเล่า[1]
นางกำลังมา
บัดนี้โหย่วฉินเสวียนหย่าอยู่ห่างจากต้นสนโบราณเพียงหนึ่งร้อยจั้งเท่านั้น!
อสรพิษคลื่นครามสามตาสนใจผู้คนที่กำลังต่อสู้อยู่เพียงไม่กี่คน มันค่อยๆ เลื้อยไปชิดกับกำแพงหินแล้วเลื้อยต่อไปข้างหน้าช้าๆ จนขวางเส้นทางของพวกเขาที่จะไปทางหญ้าสลายเซียน และปักหลักอยู่ใกล้บริเวณนั้น
มันเป็นนักล่าที่มีประสบการณ์และชำนาญการซุ่มโจมตี ขณะนี้มันยังคงอดทนรอให้โหย่วฉินเสวียนหย่าและพวกคนที่โจมตีนางเข้าไปให้ใกล้มากขึ้น ยามนั้นคนเหล่านี้ย่อมจะเป็นอาหารชั้นดีของมัน
หลี่ฉางโซ่วพอจะจินตนาการได้ว่ามันจะน่าสะพรึงกลัวและน่าตื่นเต้นเพียงใดเมื่ออสรพิษยาวสามฉื่อตัวนี้พุ่งตัวออกมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
โลกนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ถัดจากนั้น…
ขณะที่เขาใช้กฎหลีกรุกข์เร้นกาย หลี่ฉางโซ่วก็ขยับขึ้นและลงในลำต้นสนโบราณอย่างเสรีและค่อยๆ ดิ่งเข้าไปในรากของมันซึ่งทอดยาวไปตามพื้นดินอย่างช้าๆ
พร้อมกันนั้นเขาก็ยังคงส่งข้อความเสียงของเขาเข้าไปในโสตประสาทของโหย่วฉินเสวียนหย่า
“ไปทางตะวันออกสามก้าว แล้วถอยไปทางตะวันตกเฉียงใต้เก้าก้าว ตอนนี้เจ้าอสรพิษได้จับตาดูเจ้าแล้ว ต่อไปจงตั้งใจฟังคำของข้าให้ดี เมื่อข้าพูดว่า ‘กระโดด’ เจ้าต้องพุ่งขึ้นไปในอากาศให้สุดกำลังของเจ้าทันที อย่าได้รั้งรอใดๆ เป็นอันขาด”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพึมพำรับคำอยู่ในใจอีกครั้ง ขณะที่นางยังคงโบกสะบัดมือเพื่อควบคุมกระบี่บินเพลิงให้บินวนไปมารอบๆ กายนาง
ด้วยกระบี่ป้องกันที่พัฒนาตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กับการโบกสะบัดมือราวร่ายรำในชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิงของนางที่พลิ้วไหวไปในสายลม ทำให้นางดูประหนึ่งเทพธิดาร่ายรำท่ามกลางเปลวเพลิงที่ทรงเสน่ห์เลิศล้ำและชวนให้หลงใหลอย่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
เวลานี้อวี่เหวินหลิงกำลังโอบไหล่ของหยวนชิงเอาไว้เพื่อช่วยเขาต้านไอพิษรอบกายในอากาศ
หยวนชิงจดจ้องโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งอยู่ด้านล่าง ด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในตัวนางอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ทัพอวี่เหวิน! ครั้งนี้ห้ามปล่อยให้เสวียนหย่าหนีไปได้อีก!”
“คุณชายสี่โปรดอย่ากังวล ครั้งที่แล้วพวกเราหาได้ป้องกันนางที่มีวัตถุล้ำค่าสำหรับใช้เคลื่อนย้ายสถานที่ จึงไม่ทันขัดขวางนางไม่ให้หลบหนีไปได้” อวี่เหวินหลิงกล่าวตอบเสียงหนักแน่น
“นางไม่ได้เหลือพลังศักดิ์สิทธิ์มากมายนัก เมื่อนางไปถึงขอบหน้าผา ข้าจะออกไปใช้พลังกดดันนางต่อ จากนั้นคุณชายสี่ก็ไปปรากฏกายเคียงข้างและปกป้องนาง หากนางเอาแต่รังเกียจท่าน อิทธิพลของหนอนกู่พิษรักยามถูกใช้อาจจะลดลงครึ่งหนึ่ง เราต้องเปลี่ยนความรังเกียจนั้นให้กลายเป็นความประทับใจที่ดีต่อท่าน”
ใบหน้าของหยวนชิงดูน่ากลัวขึ้นเล็กน้อยขณะที่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ต้องรบกวนท่านแม่ทัพอวี่เหวินให้ทำงานหนักมาตลอด”
อวี่เหวินหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นต่อไปว่า “ข้าเองก็สับสนเล็กน้อยว่าท่านทำได้อย่างไรกัน คุณชายสี่ เป็นเวลาหกสิบปีแล้ว ท่านก็ยังไม่อาจสร้างความประทับใจต่อองค์หญิงหกได้ หากเราล้มเหลวในวันนี้ หรือหากหนอนกู่พิษรักไม่สามารถนำมาใช้ได้ เราก็ต้องสังหารองค์หญิงหกเสียที่นี่ ขอให้คุณชายสี่เตรียมใจด้วยขอรับ”
หยวนชิงกำหมัดแน่นขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ทว่าหาได้เอ่ยวาจาใดไม่
ด้านล่าง…โหย่วฉินเสวียนหย่าได้ล่าถอยไปจนใกล้ริมหน้าผา เกือบจะเข้าใกล้ใต้ร่มเงาของต้นสนโบราณขนาดใหญ่แล้ว
หลี่ฉางโซ่วซึ่งลงมาอยู่ในฐานรากของต้นไม้ต้นนั้น จู่ๆ ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น แล้วคำว่า ‘กระโดด’ ก็พุ่งเข้าไปในหูของโหย่วฉินเสวียนหย่าผ่านการส่งข้อความเสียงของหลี่ฉางโซ่ว!
ฉับพลันกระบี่บินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ระเบิดลุกเป็นไฟโชติช่วงขึ้นมา และผลักดันร่างที่สง่างามของนางให้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ลำแสงหลายสายที่พุ่งตรงมาที่นางตกกระทบลงพื้นดินทีละสาย!
คนทั้งหกที่ไล่ล่าโหย่วฉินเสวียนหย่ายังไม่ตระหนักถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้า จึงรีบพุ่งตรงไปยังพื้นดินใต้ร่มเงาของต้นสนโบราณนั้น!
พวกเขาไม่คิดที่จะหยุดด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่พวกเขาคิดก็คือ พุ่งไปยังข้างหน้าแล้วกระโดดขึ้นไล่ตามโจมตีต่อไป โดยไม่รู้ว่าขอบเขตของต้นไม้นั้นก็คือเส้นสีแดงของความเป็นตาย!
ฟู่ว…
เสียงของการพุ่งตัดผ่านอากาศมาอย่างรุนแรง มันคือ อสรพิษคลื่นครามสามตาซึ่งเฝ้าคอยอยู่ตรงริมหน้าผามาเนิ่นนาน ได้พุ่งตัวออกมาโดยปราศจากการเตือนล่วงหน้า!
“หนีเร็ว” อวี่เหวินหลิงตะโกนลั่นมาจากกลางอากาศ ทว่าในยามนี้ เจ้าอสรพิษได้กัดชายผู้สวมหน้ากากที่อยู่ทางซ้ายสุดจนจมเขี้ยวของมันแล้ว!
เขี้ยวแหลมคมของอสรพิษเจาะลึกเข้าไปในขณะที่มันสะบัดเหวี่ยงหัวอย่างรุนแรง และทำให้ร่างกายของชายผู้นั้นถูกฉีกขาดออกเป็นสองท่อนทันที
ขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วที่ซ่อนตัวอยู่ภายในรากของต้นสนโบราณพลันคิดกับตัวเองว่า หากต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์พิษตัวนี้เพียงลำพังย่อมยากอย่างยิ่งที่จะพิชิตมันได้ แล้วชะตากรรมของข้าจะเป็นอย่างไรกัน
คนที่เหลืออีกห้าคนรีบถอยหนีในทันที แต่อสรพิษคลื่นครามสามตาจะปล่อยให้อาหารอันโอชะเหล่านี้หนีรอดไปได้อย่างไรเล่า
ชั่วขณะนั้นพลันมีเงาหลายสายพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วจนเป็นภาพต่อเนื่องจากหางของอสรพิษตัวนั้น ตรงเข้ากระแทกชายคนหนึ่งจนล้มลงกับพื้นทันที และเข้าขัดขวางทางหลบหนีของคนอื่นที่เหลือ พร้อมกับที่เกล็ดละเอียดทั่วร่างกายของเจ้าอสรพิษได้คลี่ออก ก่อนจะปล่อยหมอกพิษหนาเข้มข้นออกมาทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นล้มครืนทั้งหมดโดยทันที
“กล้าดีอย่างไร เจ้าเดรัจฉานต่ำช้า!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามลั่นอย่างเดือดดาลพุ่งผ่านมาจากท้องฟ้า แล้วร่างกำยำแข็งแกร่งก็พุ่งทะลุตัดผ่านก้อนเมฆพร้อมขว้างขวานใหญ่ในมือลงไปก่อน ขณะที่ร่างของเขาพุ่งตรงไปหาอสรพิษคลื่นครามสามตาทันที
อสรพิษคลื่นครามสามตาซึ่งมีเนื้อปูดโปนอยู่บนหัวของมันพลันรู้สึกถึงภัยคุกคามอย่างกะทันหัน จึงเงยหัวของมันขึ้นแล้วใช้หัวปูดโปนของมันฟาดขวานใหญ่นั้นออกไปทันที
ส่วนเนื้อปูดโปนที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวบนหัวของมันคือส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายของตัวมันเอง!
แคร้ง…เสียงราวโลหะกระทบกันดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขวานใหญ่ที่ลอยมาก็ถูกปะทะจนเบี่ยงออกไป ในขณะที่หัวของอสรพิษคลื่นครามสามตาก็กระแทกลงบนพื้น มีรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่เนื้อส่วนนูนปูดโปนของมันพร้อมกับเลือดสีทองที่หลั่งไหลออกมาจากรอยแผลนั้น
อสรพิษร้องคำรามลั่นออกมาด้วยความโกรธจัดในขณะที่หางของมันเหวี่ยงฟาดขึ้นไปในทันใด
อวี่เหวินหลิงซึ่งร่อนลงมาจากอากาศแล้วยกมือขึ้นเพื่อเรียกขวานใหญ่มาก่อนที่จะเตรียมเฉาะหัวมัน!
ยามนี้ที่โคนต้นไม้ หลี่ฉางโซ่วถือตุ๊กตากระดาษสามตัวเอาไว้ในมือขวา เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวที่สี่ออกมา หลังจากชั่วขณะหนึ่งจึงหยิบตัวที่ห้าและตัวที่หกออกมา!
ส่วนในมือซ้ายได้ถือโอสถที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา นั่นคือ ผงยาเซียนระทวยขั้นสูงสุด
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็รอโอกาสเหมาะสมที่จะใช้ผงยาเซียนระทวยขั้นสูงสุดของเขา เขาต้องการรอให้แน่ใจว่าอสรพิษคลื่นครามสามตากำลังใกล้ตายก่อนที่เขาจะลงมือ
อสรพิษคลื่นครามสามตาย่อมไม่กลัวผงพิษ แต่อวี่เหวินหลิงหาใช่เช่นนั้นไม่
ในเวลาเดียวกันหลี่ฉางโซ่วก็ยังคงแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบพื้นที่ภายในรัศมีสิบลี้เพื่อดูว่ามีอันตรายใดซ่อนอยู่หรือไม่
อีกด้านหนึ่งนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าได้ถอยไปจนสุดทางด้านหลังของหน้าผาตามคำชี้แนะของหลี่ฉางโซ่วแล้ว
หยวนชิงยามที่ไม่มีอวี่เหวินหลิงคอยช่วยเหลือเขา หยวนชิงย่อมไม่กล้าอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกพิษนั้น ในที่สุดเขาจึงได้ลงมือ เขาเคลื่อนตัวพุ่งจากท้องฟ้าตรงเข้าหาโหย่วฉินเสวียนหย่า ใช้กระบี่สีเขียวยาวสามฉื่อของเขาเพื่อหยุดโหย่วฉินเสวียนหย่าไม่ให้หนีไป
ทว่าในเวลานี้โหย่วฉินเสวียนหย่าหาได้คิดจากไปไม่ นางพลันควบคุมกระบี่บินทั้งหมดของนางและชี้มือไปที่หยวนชิงเพื่อกำราบเขาในทันที
แม้ขอบเขตพลังของหยวนชิงจะสูงกว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าเล็กน้อย ก็ยังเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะป้องกันตัวจากการโจมตีของนางได้
แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าแบ่งแยกความคิดส่วนใหญ่ไปที่ริมผา นางแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปเพื่อสังเกตดูการต่อสู้ดุเดือดที่เกิดขึ้นบนหน้าผา
นางสัมผัสได้ว่าหลี่ฉางโซ่วที่ส่งข้อความเสียงมาถึงนางตลอดออยู่ที่นั่น แต่ในขณะนี้นางก็ยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเขา ซึ่งทำให้นางยิ่งวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ทั้งหมดล้วนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่ฉางโซ่ว
[1] หมายถึง ควรทำให้เป็นเรื่องๆ ตามขั้นตอน หากเรายังทำขั้นตอนแรกไม่สำเร็จ แล้วจะให้ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นผลสำเร็จออกมาได้อย่างไร เพราะจะทำหลูโร่วหั่วเชา (คล้ายขนมปังห่อเนื้อลา) ได้ จะต้องมีแป้งเพื่อเอามาใช้เป็นส่วนห่อเนื้อลา ดังนั้นเมื่อยังไม่มีแป้ง แต่จะย่างเนื้อลามาทำหลูโร่วหั่วเชา อย่างไรก็ย่อมไม่สามารถทำออกมาได้