ตอนที่ 17.2 ผู้ที่รอดชีวิตจนถึงท้ายที่สุดคือนกขมิ้น (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

อสรพิษคลื่นครามสามตาได้มองว่า อวี่เหวินหลิงซึ่งเป็นเซียนหยวนนั้น เป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุด มันจึงไม่คิดที่จะถอยกลับแม้แต่น้อย ยังคงเฝ้าปกป้องอยู่ข้างหน้าหญ้าสลายเซียน

ในขณะนี้อวี่เหวินหลิงกำลังถือขวานใหญ่ของเขาเข้าโจมตีอสรพิษอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ เขากำลังปกป้องลูกน้องทั้งสามคนของเขาที่หมดสติไปจากการถูกพิษ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อวี่เหวินหลิงย่อมไม่อาจยั้งมือใดๆ เอาไว้ได้ และทั้งสองฝ่ายต้องพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่จนตายกันไปข้างหนึ่ง!

หลี่ฉางโซ่วซุ่มซ่อนอย่างอดทน ยืนนิ่งสงบอยู่ภายในรากของต้นสนโบราณ เฝ้ารอโอกาสเหมาะสมเพื่อจะลงมือ และระหว่างรอเขาก็เตรียมพร้อมที่จะหลบหนีไปด้วยตลอดเวลา

เนื่องจากสถานการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาจึงทำได้เพียงลงมือตอบโต้แบบฉุกเฉินเท่านั้น เขาต้องตัดสินใจลดข้อกำหนดของตัวเองลงมาเล็กน้อย

หากในครั้งนี้เขามีความมั่นใจแปดถึงเก้าในสิบส่วน เขาก็จะลงมือทำ เพราะย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือโดยต้องมีความมั่นใจเต็มสิบส่วนอยู่ตลอดเวลา

ชั่วขณะหนึ่งในระหว่างการต่อสู้ กิ่งก้านโกร๋นใบของต้นสนโบราณนี้ก็ถูกขวานใหญ่ของอวี่เหวินหลิงผ่าออกครึ่งหนึ่งทันที และมันยังผ่าลึกไปในหน้าผาจนเกิดเป็นร่องผามากมาย อีกทั้งยังทำให้ส่วนหนึ่งพังทลายลงมาอีกด้วย

ในที่สุดอสรพิษคลื่นครามสามตาก็ยังไม่ทันได้กลายเป็นเซียน แม้มันจะต่อสู้กับเซียนหยวนซึ่งไม่มีอาวุธเวทที่ทรงพลังน่าทึ่งใดๆ มันก็จะไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปภายในเร็วๆ นี้ เพราะบัดนี้เลือดพิษของมันหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลหลายจุดทั่วลำตัวของมัน ซึ่งหลี่ฉางโซ่วเดาว่ามันจะถูกสังหารตายได้ทุกขณะแล้ว

ต้องขอบใจที่ช่วยเหลือนะ เจ้าหัวใหญ่

หลี่ฉางโซ่วขอบคุณเจ้าอสรพิษจากใจ จากนั้นมือซ้ายของเขาก็สั่นเล็กน้อยขณะเทผงยาเซียนระทวยขั้นสูงสุดที่ไร้สีออกจากขวด แล้วห่อหุ้มด้วยพลังเวทของเขา เขาถือผงยาเซียนระทวยไปที่ลำต้นของต้นสนแล้วปล่อยให้มันไหลตรงไปทางอวี่เหวินหลิงเงียบๆ

ในไม่ช้าการเคลื่อนไหวของอวี่เหวินหลิงก็เริ่มเฉื่อยชาลง และเขารู้สึกตาลายหัวหมุน…

พิษของเจ้าอสรพิษชั่วร้ายนี้รุนแรงยิ่ง!

อวี่เหวินหลิงแอบก่นด่าในใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างและแดงก่ำเป็นสีเลือด ขณะที่พยายามต่อสู้กับอาการง่วงเซื่องซึมที่ท่วมท้นเหนือเขา ยามนี้เขารู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้ง และขาของเขาก็ชาอย่างมาก แต่ก็ยังส่งเสียงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดได้

เขาไม่กล้าฝันถึงการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งอีกต่อไป และทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจระเบิดพลังครั้งสุดท้ายออกมา พร้อมกับร่างของเขาที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที ขณะที่ปล่อยพลังเซียนออกมาเพื่อกักให้อสรพิษใหญ่อยู่นิ่งก่อนจะเหวี่ยงขวานใหญ่ของเขามุ่งตรงไปฟันที่คอของอสรพิษคลื่นครามสามตา!

เวลานี้อสรพิษคลื่นครามสามตาคิดจะถอยกลับทันที ทว่าเมื่อเริ่มหันหลังกลับออกไป มันก็ยังมองหญ้าสลายเซียนทั้งสามที่ริมหน้าผาอย่างลังเลใจ

และชั่วขณะที่ลังเลนี้ก็ทำให้มันไม่มีโอกาสหลบหนีอีกต่อไป

บัดนี้ขวานใหญ่นั้นถูกสองมือซึ่งมีกล้ามแขนแข็งแกร่งจับเอาไว้แน่น แล้วตัดฉับไปที่ด้านหลังคอของมันจนหัวของอสรพิษขาดกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า เลือดพิษของมันก็สาดกระเซ็นไปทั่วพื้นทันที!

จากนั้นอวี่เหวินหลิงก็ร่อนร่างลงบนพื้น ทว่าขาของเขากลับไม่มั่นคงพอที่จะรับน้ำหนัก เขาจึงเดินโซเซถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะพยุงร่างเอาไว้ด้วยขวานใหญ่ของเขาเอง

เขาหยิบขวดโอสถขจัดพิษออกมาแล้วเทเข้าปากทันที แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลง ช้าลง

นี่มันพิษชนิดใดกัน เหตุใดถึงได้ร้ายแรงเพียงนี้!

“ท่านแม่ทัพ…พวกเราขอลา…”

มีเสียงร้องแผ่วเบามาจากทางด้านหลังของเขา ทว่าเพียงอวี่เหวินหลิงพยายามจะหันหลังกลับไปช่วยเหลือพวกเขา ขาของเขาก็สั่นไหวไร้เรี่ยวแรงราวกับกลายเป็นวุ้นจนทำให้เขาเกือบจะล้มลงไป

โอสถขจัดพิษล้วนไร้ผลใดๆ ในขณะที่ท้องฟ้าพลันหมุนไปต่อหน้าต่อตาเขา

ในขณะนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างแหวกผ่านอากาศมาจากด้านข้าง!

ลูกศรไม้ปรากฏขึ้นในสายตาของอวี่เหวินหลิงและพุ่งเข้าแทงที่ลำคอของเขา ร่างใหญ่กำยำของเขาพลันสั่นสะท้านแล้วโซเซไปมาขณะที่หันกลับไปจ้องทางต้นสนโบราณอย่างเกรี้ยวกราด

ที่นั่น ร่างของ ‘หลี่ฉางโซ่ว’ ก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากต้นสน เขาโยนฉัตรเปลี่ยนสวรรค์ออกไปก่อนจะยกหน้าไม้ทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาพร้อมกับโปรยตุ๊กตากระดาษสามตัวให้กระจายออกไปตามทาง

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!

ตุ๊กตากระดาษทั้งสามกลายเป็นร่างจำแลงของหลี่ฉางโซ่ว แล้วพุ่งเข้าโจมตีอวี่เหวินหลิง!

‘หลี่ฉางโซ่ว’ รีบวิ่งอ้อมไปด้านข้างของอวี่เหวินหลิง แล้วเอาลูกศรไม้อีกดอกออกมาวางที่หน้าไม้ทองสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เตรียมจะยิงออกไปอีกครั้ง

ในขณะนั้นหน้าไม้พลันเรืองแสงประหลาดล้ำออกมาพร้อมกับลูกศรไม้ที่ทรงพลังอย่างยิ่งถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็วเหนือธรรมดา

เวลานี้อวี่เหวินหลิงถูกพิษอย่างรุนแรงจนไม่อาจตอบโต้ศัตรูได้อย่างสิ้นเชิง เขาจึงถูกลูกศรแทงเข้าที่คอของเขาอีกครั้ง จนโลหิตเซียนของเขาพุ่งกระฉูดออกมาอาบย้อมไปทั่วผืนแผ่นดินตรงนั้น

ตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก็พุ่งไปที่อวี่เหวินหลิง และยืนอยู่รอบกายเขาสามด้านเป็นรูปสามเหลี่ยมในทันที ก่อนจะสาดกระจายหมอกสีเขียวออกมาจากภายในขวดกระเบื้องแต่ละขวดในมือของพวกมันพร้อมๆ กัน

หมอกสีเขียวนั้นเข้าห่อหุ้มรอบร่างของอวี่เหวินหลิงราวกับมีชีวิต ทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นจากทั่วทั้งร่างแกร่งกำยำของชายผู้นี้ และพลังเฮือกสุดท้ายที่เหลือในร่างของเขาได้ถูกใช้เพื่อเงยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงร้องคำรามโหยหวนออกมา มันเป็นเสียงร้องโหยหวนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด!

ทว่าน่าเสียดายที่ฉัตรเปลี่ยนสวรรค์ได้วางค่ายกลเอาไว้แล้ว และพื้นที่นี้ก็ถูกแยกออกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงร้องโหยหวนนั้นเลย

ร่างอมตะของอวี่เหวินหลิงถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วในหมอกสีเขียว เผยให้เห็นกระดูกสีขาวในหลายส่วนของร่างกายของเขา มีฟองอากาศใสปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างกายของเขา

เขาพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะตอบโต้และเหวี่ยงขวานใหญ่ของเขาออกไปอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษสามตัวหลบหลีกได้อย่างว่องไว

หวือ!

ทันใดนั้นลูกศรไม้ดอกที่สามก็แทงเข้าไปในหน้าอกที่เน่าเปื่อยของอวี่เหวินหลิง และทิ่มทะลุเข้าหัวใจของเขาทันที!

ตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวเริ่มร่ายเวทสร้างตราผนึกมือ ก่อนจะพ่นไฟสีขาวออกมาจากปากของพวกมันทั้งสามให้เข้าปกคลุมร่างของอวี่เหวินหลิงทันที!

ในยามนั้นเองที่อวี่เหวินหลิงจำหลี่ฉางโซ่วได้แล้วร้องตะโกนออกไปอย่างอ่อนแรง “ที่จริงแล้ว เป็น…เป็นเจ้า…”

สำหรับเซียนหยวนผู้นี้ แม้จะเพิ่งกลายเป็นเซียนเมื่อไม่นานมานี้ ขณะนี้เขากลับกำลังก้าวเข้าไปสู่ประตูแห่งความตาย

อย่างไรก็ตามเซียนนั้นเป็นอมตะ แล้วพวกเขาจะเต็มใจพบจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร

อวี่เหวินหลิงพลันหลับตาลงท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาว ก่อนที่ลำแสงเซียนจะพุ่งออกมาจากร่างที่น่าสะพรึงกลัวของเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า และมีภาพเลือนรางก่อรูปขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเขา!

นั่นคือปราณวิญญาณเซียนหยวนออกจากร่างของเขา!

ปราณวิญญาณของอวี่เหวินหลิงคำรามลั่น “ตายซะเถอะ!” เขาต้านทานฤทธิ์ของผงยาเซียนระทวยและพุ่งกระแทกใส่หลี่ฉางโซ่ว!

แรงกระแทกนี้เปรียบดั่งพลังของไท่ซาน[1] ปานกระแสน้ำท่วมเชี่ยวกรากถล่มทลายขุนเขา!

หลี่ฉางโซ่วพยายามจะหลบหนีทันที แต่จู่ๆ ก็มีมือจับข้อเท้าของเขาเอาไว้แน่น และเมื่อมองลงไปก็พบว่าเป็นชายสวมหน้ากาก ที่ได้รับพิษจากอสรพิษมาก่อนหน้ารวมทั้งผงยาเซียนระทวย จู่ๆ ก็เคลื่อนไหวกะทันหัน!

ชายผู้นั้นกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หลี่ฉางโซ่วไม่รู้ว่าเขาสามารถต้านทานพิษในร่างกายได้อย่างไร ดูเหมือนว่าเขาได้เผาไหม้สามดวงจิตอมตะและเจ็ดปราณวิญญาณเซียนของเขา เพื่อรีดเค้นพลังทุกอย่างในกายทำลายโอกาสรอดชีวิตของหลี่ฉางโซ่ว

ไอ้หยา ผิดคาดแล้ว

หลี่ฉางโซ่วส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่การโจมตีของอวี่เหวินหลิงก็พุ่งมาถึงเขาในที่สุด และกระแทกร่างท่อนบนของเขาทันที ทำให้ร่างกายส่วนบนของเขานั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ปราณวิญญาณของอวี่เหวินหลิงหัวเราะเยาะหยันออกมาอย่างรวดเร็ว

แม้พลังเวทและการคาดการณ์ของเด็กคนนี้จะทรงพลัง แต่ที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่ได้กลายเป็นเซียน…

ฟิ้ว…

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…

ทันใดนั้นก็มีเสียงบางสิ่งพุ่งตัดผ่านอากาศมาจากใต้ต้นสนอีกครั้ง แล้วตะปูยาวทั้งเจ็ดตัวก็พุ่งทะลุผ่านจุดต่างๆ เข้าไปในปราณวิญญาณของอวี่เหวินหลิงพร้อมกันอย่างรวดเร็วในคราวเดียว!

ตะปูยาวแต่ละตัวมีวาดเวทข้อห้ามที่ซับซ้อนและมีเปลวไฟสว่างสีขาวแห่งยมโลกปรากฏขึ้น!

ปราณวิญญาณของอวี่เหวินหลิงพลันมองลงมาด้วยความตกตะลึง และพบว่าตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวซึ่งอยู่รอบตัวเขาไม่เคยหยุดพ่นไฟสีขาว ตอนที่ปราณวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่าง ส่วนกายเนื้อของเขาได้ถูกเผาไหม้จนเหลือแต่เพียงกระดูก!

ในขณะนั้นชายสวมหน้ากากผู้ซึ่งยอมแผดเผาวิญญาณของตน ก็เงยหน้าขึ้นไปมองท่อนขาที่เขาจับด้วยสายตาหม่นหมอง พบว่ามีตุ๊กตากระดาษครึ่งท่อนล่างกำลังไหวพะเยิบพะยาบไปตามแรงลมของเปลวไฟที่แผดเผา

เขาได้เผาทำลายความหวังสุดท้ายในการกลับชาติมาเกิดใหม่ทั้งหมดของตนเอง เพียงเพื่อนำตุ๊กตากระดาษครึ่งท่อนเป็นจุณไปกับเขา

‘หลี่ฉางโซ่ว’ ปรากฏกายขึ้นที่ใต้ต้นสน เขาเหยียดฝ่ามือซ้ายของเขาออกมา แล้วยื่นฝ่ามือนั้นไปที่ปราณวิญญาณของอวี่เหวินหลิงก่อนจะใช้ห้านิ้วรวบมาแล้วกำมันเอาไว้อย่างนุ่มนวล แล้วตะปูดับเจ็ดปราณวิญญาณซึ่งเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการหลอมมันออกมาก็ระเบิดออกทันที!

ที่โคนต้นสนนั้น หลี่ฉางโซ่วก็แผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปจากภายในรากของต้นสนเพื่อดูชั้นกระดูกเซียนที่ยังคงดูเหมือนจะไม่ถูกแผดเผา ขณะที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็ควบคุมให้ ตุ๊กตากระดาษโยนไข่มุกสะกดวิญญาณออกมา จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษตัวที่หนึ่ง สอง และสามเพิ่มความรุนแรงของไฟ

เปลวเพลิงอันเยือกเย็นแห่งยมโลกนั้นยังไม่ทรงพลังเพียงพอเมื่อเผชิญหน้ากับผู้เป็นเซียน หลี่ฉางโซ่วจึงต้องคิดหาวิธีอื่นในการรับเพลิงสมาธิแท้จากสำนัก

เขารอไปอีกสักพักใหญ่ก่อนที่ชั้นกระดูกจะยุบลงและกลายเป็นกองเถ้าถ่านอยู่บนพื้น แล้วตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก็อ่านพระสูตรของพวกมันตามขั้นตอน เวลานั้นเองที่หลี่ฉางโซ่วก็เคลื่อนไหวในที่สุด

หลี่ฉางโซ่วย่อมจะสงบสุขได้ก็ต่อเมื่อเขาทำพิธีกรรมตามขั้นตอนด้วยตัวเองก่อนถึงจะวางใจ และได้โปรยเถ้าถ่านเหล่านั้นด้วยตัวของเขาเอง!

…………………………………………………………………………………………………………………

[1] ไท่ซาน หมายถึง ภูเขาใหญ่