ช่างเป็นเซียนผู้สง่างามที่อัตคัดอะไรเยี่ยงนี้? เขามีแค่ขวาน และคลังเวทจัดเก็บหนึ่งชิ้นเท่านั้น…
ตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์ไว้ ผู้บำเพ็ญที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์นั้นล้วนเป็นผู้เกียจคร้านใน ‘การพากเพียรฝึกฝน’
ขณะที่เถ้าธุลีสีดำโปรยปรายไป หลี่ฉางโซ่วก็เก็บคลังเวทจัดเก็บรูปวงแหวนและขวานใหญ่เอาไว้ในถุงเก็บสมบัติที่ตราเครื่องหมายเทียนจื่อหมายเลขสี่ ก่อนจะใส่ไข่มุกสะกดวิญญาณลงไป จากนั้นก็กระโดดไปที่ริมหน้าผา แล้วนั่งยองๆ ลงเบื้องหน้าหญ้าสลายเซียนทั้งสามต้น
หลี่ฉางโซ่วนำกล่องหยกสองกล่องที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกมา จากนั้นก็วางโอสถขจัดพิษที่ทำเองสองเม็ดใส่ไว้ใต้ปลายลิ้น แล้วห่อหุ้มมือทั้งสองข้างของเขาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์สิบแปดชั้น จากนั้นเขาก็ขุดหญ้าสลายเซียนที่มีอายุมากกว่าพันปีทั้งสองต้นพร้อมกับรากของพวกมันทั้งหมดออกมา โดยไม่ให้เสียหายอย่างรวดเร็วและระมัดระวังอย่างยิ่ง ก่อนจะวางมันไว้ในกล่องหยกและปิดผนึกเอาไว้
การทำเช่นนี้ย่อมไม่ทำให้คุณภาพของสมุนไพรสูญสิ้นในขณะที่เก็บเกี่ยวพวกมันมาและยังเป็นการป้องกันไม่ให้สมบัติที่ดีต้องเสียหาย
ในที่สุด…หลี่ฉางโซ่วก็เผยรอยยิ้มบางออกมา
เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยไม่กล้าอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน และกังวลว่าอวี่เหวินหลิงอาจยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอื่นๆ อีก
จากนั้นเขาก็รีบไปที่หัวอสรพิษคลื่นครามสามตาที่กลิ้งลงมา แล้วหยิบถุงเก็บสมบัติที่มีชื่อว่า ปฐพีหมายเลขสองออกมา ใส่หัวของมันเอาไว้ในนั้นก่อนจะปิดผนึกถุงเก็บสมบัติด้วยยันต์หนึ่งแผ่น เก็บเอาไว้ในคลังเวทจัดเก็บชื่อ เสวียนจื่อหมายเลขสี่
หลี่ฉางโซ่วคิดว่ามันน่าจะช่วยสกัดพิษอันทรงพลังได้ เพื่อให้ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาใช้ปกป้องตัวเองจากอันตราย ส่วนลำตัวของเจ้าอสรพิษนั้นใหญ่เกินกว่าจะผ่าออก เขาจึงไม่อาจนำมันกลับไปพร้อมกับเขาได้
พิษของเจ้าอสรพิษยังคงพลุ่งพล่านอยู่รอบๆ ตัวเขา ในขณะที่ศพของชายสวมหน้ากากได้ถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว โดยตุ๊กตากระดาษ ‘นักสู้หลัก’ ทั้งสามตัวของเขา
หากยังไม่ได้เป็นเซียน เพลิงอันเยือกเย็นลี้ลับแห่งแดนยมโลกก็จะสามารถเผาผลาญเกือบทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่ของคนเหล่านั้นก็ได้ปะปนไปกับเถ้าถ่านของท่านแม่ทัพของพวกเขา ซึ่งกำลังรอการพัดพาไปกับสายลม…
หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วและตุ๊กตากระดาษทั้งสี่ก็ขยับทำงานร่วมกัน เพื่อโรยผงยาสองขวดไปทั่วทุกหนแห่งพร้อมๆ กัน
โลหิตมนุษย์บนพื้นถูกจุดไฟขึ้นทันที แล้วเปลวไฟวิญญาณสีเขียวก็ปรากฏขึ้นทุกที่ ทำให้คราบโลหิตบนพื้นเหล่านี้หายไปในพริบตา
เรียบร้อยล่ะ การทำสภาพแวดล้อมในป่าให้บริสุทธิ์และรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมในป่าของดินแดนเทวะอุดรล้วนเป็นภาระหน้าที่ของผู้บำเพ็ญมนุษย์ทุกคน!
หลังจากรวบรวมเก็บสมบัติอีกสองสามชิ้น หลี่ฉางโซ่วก็กวาดสายตาไปทั่วบริเวณโดยรอบ และแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปสำรวจสถานการณ์ทั้งลมและหญ้าภายในระยะรัศมีสิบลี้รอบกายเขา ในขณะที่เขาเริ่มสร้างตราผนึกมือ
หลังจากแน่ใจว่าไม่ได้ละเลยสิ่งใดไป ร่างที่อยู่ข้างๆ เขาก็กลับกลายเป็นตุ๊กตากระดาษและพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่ว
เมื่อหุบฉัตรเปลี่ยนสวรรค์และหลบหนีเข้าไปในกลุ่มชั้นหินแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปอย่างเงียบๆ
หลังจากที่ค่ายกลหายไป หมอกและไอพิษในบริเวณโดยรอบก็พุ่งมาเป็นระลอก และยังนำสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน
มีเพียงซากอสรพิษหัวขาด แอ่งเลือดอสรพิษหลายแอ่ง รวมถึงรอยแยกบนพื้น ที่ถูกเหลือไว้ภายใต้ต้นสน อีกทั้งหน้าผาที่กำลังจะถล่มลงมา…
เวลานี้ต้นสนโบราณมีส่วนยอดไม้ที่เปลี่ยนไป กิ่งก้านโกร๋นของมันแกว่งไกวไปตามสายลมอย่างแผ่วเบา ราวกับจะกล่าวคำอำลากับหลี่ฉางโซ่วที่ซ่อนกายอยู่ในพื้นดิน
……
หลี่ฉางโซ่วใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายและเคลื่อนเข้าไปอย่างเงียบๆ ใกล้สถานที่ที่ศิษย์น้องหญิงชายสองคนของเขากำลังต่อสู้กัน
ในเวลานี้ตัวอันตรายเสวียนหย่ากำลังควบคุมกระบี่บินเพื่อต่อสู้กับหยวนชิง ส่วนหยวนชิงก็พยายามต่อสู้เพื่อปัดป้อง ขณะนี้มีบาดแผลมากมายทั่วร่างของเขา และเสื้อคลุมของเขาก็อาบโชกไปด้วยโลหิต
หยวนชิงผู้นี้…ครองขอบเขตพลังคืนกลับอนัตตา เกรงว่าเขาน่าจะบรรลุถึงระดับนี้ได้โดยอาศัยโอสถมากมายใช่หรือไม่ นี่คือความสามารถของศิษย์ระดับสูงสุดชั้นสองในหมู่ศิษย์สำนักรุ่นเดียวกันทั้งหมดอย่างนั้นหรือ
หากศิษย์ในรุ่นอื่นๆ ทั้งหมดในเวลานี้มีความคล้ายคลึงกับเขา หลิงเอ๋อร์ย่อมจะสามารถเข้าถึงหนึ่งร้อยอันดับแรกในการแข่งขันครั้งใหญ่ของสำนักเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้ หากข้าเตรียมโอสถและอาวุธเวทที่สร้างขึ้นเองให้นางมากขึ้นกว่านี้…
หลี่ฉางโซ่วแอบเข้าไปอยู่ใกล้การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เขาวิเคราะห์จังหวะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าเคลื่อนไหว จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาจากพื้น แล้วโยนขวดกระเบื้องไปทางหยวนชิง
ผงยาเซียนระทวยขั้นสูงสุดถูกใช้ออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงขวดกระเบื้องว่างเปล่า
เวลานี้หยวนชิงได้ทำลายกระบี่บินไปสองเล่ม ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเบาบางว่ามีบางสิ่งพุ่งแหวกอากาศมาทางด้านหลังของเขา เขาจึงเหวี่ยงกระบี่ในมือไปทางด้านหลังทันที และกระบี่ของเขาก็ฟาดลงไปที่ขวดกระเบื้องอย่างแม่นยำและสวยงาม จนมันแตกกระจายไปในทันที
หือ? ขวดกระเบื้อง…มาจากที่ใดกันนี่
เปลือกตาของหยวนชิงกระตุก และก่อนที่เขาจะทันดึงกระบี่กลับมา ร่างของเขาก็โซเซไปมา กำลังจะล้มลงไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน
ในขณะนี้เองพลันมีกระบี่บินสี่เล่มพุ่งผ่านอากาศมาอยู่เบื้องหน้าเขา!
หยวนชิงผู้ซึ่งกำลังล้มไปข้างหน้า จึงดูคล้ายกับเกือบจะอ้าแขนออก ‘ต้อนรับ’ กระบี่บินที่พุ่งมาโจมตีเขา!
เดิมทีโหย่วฉินเสวียนหย่าไม่คิดสังหารหยวนชิงที่นี่ แม้เขาจะน่ารังเกียจและไร้ยางอายในสายตาของนาง แต่เขาก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน และนางต้องนำเขากลับไปที่สำนักเพื่อให้อาจารย์ลงโทษเขา
ทว่าในเวลานี้หยวนชิงกลับไม่ต่อสู้ เขาหยุดต่อสู้ไปอย่างกะทันหัน…
และเป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์เอาไว้ โหย่วฉินเสวียนหย่ายังไม่ชำนาญวิชาเวทควบคุมกระบี่ชุดนี้ ดังนั้นในขณะนี้นางจึงไม่อาจดึงกระบี่ของนางกลับไปได้ทันเวลา กระบี่บินทั้งสี่เล่มนั้นก็พุ่งแทงทะลุลำคอ หน้าผาก หน้าอก และหน้าท้องของหยวนชิงทันที
การเคลื่อนไหวของนางแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ กระบี่บินได้ทำลายดวงจิตทั้งสามและแทงทะลุจุดตันเถียนของหยวนชิงทันที นางโจมตีได้อย่างหมดจดราบรื่น และนั่นย่อมหมายความว่าไม่มีทางที่หยวนชิงจะรอดชีวิตได้อย่างแน่นอน
“นี่…” โหย่วฉินเสวียนหย่าชะงักงัน จากนั้นนางก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจเบาๆ
นางร่อนร่างลงมาจากกลางอากาศ กระโดดลงมาจากกระบี่บินก่อนจะพุ่งปรี่ตรงไปที่ศพของหยวนชิงอย่างรวดเร็ว
บัดนี้หยวนชิงได้จากไปอย่างสงบสุขแล้ว
หยวนชิงสิ้นชีพไปอย่างสงบสุขจริงๆ เขาไม่รู้สึกถึงอันตรายถึงตายใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่เขาหมดสติไปในฉับพลัน และไม่อาจตื่นขึ้นได้อีกหลังจากที่กระบี่แทงทะลุร่างกายของเขา ดังนั้นจึงยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
แม้ว่ามีเพียงร่องรอยของผงยาเซียนระทวยระดับสูงสุดอยู่ในขวด แต่ก็ไม่ใช่ปริมาณที่หยวนชิงจะสามารถทนรับได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหยวนชิง
“แม้เจ้าจะมีจิตคิดร้าย แต่ข้าคิดว่าเจ้าอาจยังมีความรู้สึกสำนึกผิดอยู่ในใจกระมัง เจ้าเองก็ถูกใครบางคนบีบคั้นใช่หรือไม่”
ดูเหมือนว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าจะสงสารเขาเล็กน้อย นางส่ายศีรษะ ในขณะที่กระบี่บินได้หันกลับมาเกาะติดกันอย่างรวดเร็วก่อนจะเกิดไฟลุกโชติช่วงขึ้น แล้วกระบี่บินก็ได้หลอมรวมตัวกันเป็นกระบี่ขนาดใหญ่เล่มเดียวแล้วถูกแขวนเอาไว้ที่ด้านหลังของนาง
เมื่อได้ยินนางพึมพำออกมาเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็อดที่จะชื่นชมนางไม่ได้
ศิษย์น้องตัวอันตราย ช่างสมกับเป็นตัวอันตรายเสวียนหย่าจริงๆ ยังมีความสามารถพิเศษในการเพิ่มพลังในแง่ดีให้ชีวิตตัวเองอีก!
กล่าวอีกแง่คือ เมื่อเจ้าไม่อาจแน่ใจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เจ้าไม่แม้แต่จะรีบจากไปหลังจากที่สังหารคู่ต่อสู้ แต่กลับยังอยู่เพื่อรำลึกและซาบซึ้ง…
เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยได้สัมผัสกับการถูกทำร้ายให้เจ็บปวดรุนแรงของชีวิต นางถึงมีจิตใจกว้างขวางเหลือเกิน
ชั่วขณะนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ริมหน้าผาและพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นางไม่อาจสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ที่นั่นเลย อสรพิษที่น่าสะพรึงกลัวก็ไร้การเคลื่อนไหวเช่นกัน
ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ฉางโซ่วจะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะเอาร่างของหยวนชิงไปด้วยแล้วกัน นางคิดในใจ
เวลานี้โหย่วฉินเสวียนหย่าได้ก้าวไปทางหยวนชิง กำลังจะห่อหุ้มร่างของเขาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของนาง ทว่าทันใดนั้นเปลือกตาของนางก็หนักขึ้น ก่อนที่ร่างของนางจะค่อยๆ ทรุดลงไปกับพื้น
เคร้ง!
กระบี่ใหญ่ร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแรง…
เกือบในเวลาเดียวกันก็มีรอยคลื่นเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นใต้ร่างของหยวนชิง และเศษชิ้นส่วนของขวดกระเบื้องที่แตกเหล่านั้นก็ถูกฝังลงไปใต้พื้นอย่างเงียบๆ
รอยคลื่นนั้นขยายออกไปที่พื้นด้านล่างโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างรวดเร็ว มีมือหนึ่งยื่นออกมาจากรอยคลื่นและคว้าเส้นผมยาวของนางอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่จะดึงอย่างโหดร้ายรุนแรง ลากร่างที่หมดสติของโหย่วฉินเสวียนหย่าลงไปในพื้นโดยตรง…
จากนั้นรอยคลื่นบนพื้นดินก็กระเพื่อมอีกสองสามครั้งก่อนที่จะหายไป แล้วพื้นดินก็กลับคืนสู่สภาพที่ราบเรียบและแน่นหนาดังเดิม
พลังป้องกันในร่างกายทั้งหมดของผู้บำเพ็ญนั้นเหนือกว่ามนุษย์อย่างมาก ซึ่งรวมถึงหนังศีรษะและรูขุมขนเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาต้องหัวโล้นเพียงเพราะแค่ถูกดึงเส้นผม
ตอนที่หลี่ฉางโซ่วลงมือ เขาเพียงแค่ต้องการพาคนออกไปให้เร็วที่สุด และรีบออกไปจากสถานที่เจ้าปัญหาแห่งนี้
ส่วนศพของหยวนชิง… หลี่ฉางโซ่วไม่ใช่ผู้ที่สังหารเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโปรยขี้เถ้าของเขา แค่จัดการกับเศษชิ้นส่วนขวดกระเบื้องก็เพียงพอแล้ว
ผงยาเซียนระทวยก็เป็นเพียงแค่โอสถ มันจะสลายไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากคนตายไปสองวัน ซึ่งยากยิ่งนักที่จะสืบหาได้
ยิ่งกว่านั้นหลี่ฉางโซ่วจะต้องเผชิญกับปัญหาที่อธิบายได้ยากยิ่งขึ้น หากบรรดาเซียนภายในสำนักไม่พบร่องรอยศพของหยวนชิงเมื่อพวกเขามาถึง
ลึกลงไปในใต้พื้นดิน หลี่ฉางโซ่วลากโหย่วฉินเสวียนหย่าที่หมดสติมุ่งหน้าตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ราวกับสองมัจฉาแหวกว่ายในวารีและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
……
“อา! แบบแผนของค่ายกลโง่เง่านี่…ช่างน่ารำคาญสุดๆ!”
พร้อมด้วยเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวของจิ่วจิ่ว พื้นดินใต้เท้าของนางยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง แมลงและสัตว์พิษในหมอกสีขาวของค่ายกลล้วนสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนกและสะพรึงกลัวยิ่ง เนื่องจากค่ายกลขนาดใหญ่นี้ถูกผนึกเอาไว้ ดังนั้นพื้นดินที่อยู่ด้านล่างใต้ฝ่าเท้าของของเซียนเสิ่นจิ่วจึงยังคงแข็งแกร่งและไม่ถล่มยุบตัวลงไป
ที่มุมของค่ายกลนั้นหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์กำลังนั่งเอนตัวพิงกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหมดพลังงานและเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง
พวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่สภาพจิตใจจะไม่ดีเท่าใดนัก แต่ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ก็ทำให้ความรู้สึกของทั้งคู่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ช่วยผลักดันความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ก้าวหน้าไปในเวลาอันสั้น และในเวลานี้พวกเขาเรียกแทนตัวเองกันว่า ‘ศิษย์พี่หญิงเยี่ยนเอ๋อร์’ และ ‘ศิษย์น้องฉีฉี’
อย่างไรก็ตามมีการออกเสียงและความหมายหลายอย่างสำหรับคำว่า ‘ฉี’ ในนามของหวางฉี การออกเสียงเรียกขานนามของเขาไม่ใช่ ‘ฉี’ ซึ่งหมายถึงความแปลก แต่เป็น ‘ฉี’ ซึ่งหมายถึงโชคร้ายและผิดกฎแทน…
จิ่วจิ่วหงุดหงิดยิ่ง และครึ่งหนึ่งนั้นก็ถูกกระตุ้นจากการกระทำของคู่รักเต๋าสองคนนี้
หลังจากระบายความบ้าคลั่งในใจออกมา จิ่วจิ่วก็กอดอกและนั่งขัดสมาธิอยู่สูงสามฉื่อเหนือพื้น นางยังคงครุ่นคิดหาทางออกต่อไป
หลิวเยี่ยนเอ๋อร์เดินเข้ามาหาช้าๆ แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์อาจิ่ว โปรดอย่ากังวลมากไปเลย คนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง บางทีศิษย์น้องทั้งสองอาจจะรอพวกเราอยู่ในเมืองแล้วเจ้าค่ะ”
จิ่วจิ่วถอนหายใจแรงแล้วกล่าวว่า “นานมากขนาดนี้แล้ว บางทีแม้แต่ศพของพวกเขาก็หายไปไม่เหลือแล้ว!”
“ท่านอาจารย์อา…”
หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมนางต่อไป “ท่านอาจารย์อา เมื่อวานนี้ไม่ใช่ท่านกล่าวหรอกหรือ ว่าหากนับวันแล้วทางสำนักน่าจะส่งคนมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเรา หรือบางทีพวกเราอาจจะหลบหนีไปได้ในไม่ช้านี้น่ะเจ้าคะ”
“อ๋าย” จิ่วจิ่วขยี้เส้นผมยาวปานกลางของนางด้วยมือทั้งสองข้าง “ไม่รู้ว่าพวกเขาสามคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว! หากเกิดอันใดขึ้นกับหลี่ฉางโซ่วจริงๆ แล้วข้าจะอธิบายให้อาจารย์ของเขาว่าอย่างไร! หากเมล็ดพันธุ์เซียนอันล้ำค่าทั้งสองคนนั้นตาย ข้าก็คงตายด้วยหมดค่าสุราไปนับร้อยปี!”
บัดนี้มีเส้นสีดำสองสามเส้นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ แม้อาจารย์อาจิ่วจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็รู้ว่านางห่วงใยพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทว่านางก็รู้สึกว่าอาจารย์อาจิ่ว…
กังวลเรื่องเงินค่าสุราของนางมากกว่า…
ทันใดนั้นก็มีสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาในค่ายกลขนาดใหญ่ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
ตามมาด้วยเสียงเย่อหยิ่งเก่าแก่โบราณดังก้องกังวานขึ้นในค่ายกล
“เสี่ยวจิ่ว เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ามีความผิด”
จิ่วจิ่วอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ ขณะที่เหยียดขาเรียวยาวของนางลงบนพื้น แล้วกระซิบตอบกลับไปว่า “ท่าน…ท่านอาจารย์?”
หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ตื่นตกใจเช่นกันพลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านปรมาจารย์หว่างฉิงมาหาพวกเราด้วยตัวเองหรือไม่เจ้าคะ”
หมอกสีขาวที่อยู่รอบกายพวกเขาสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดพวกเขาทั้งสามคนที่ติดอยู่ในค่ายกลนั้นก็สามารถปล่อยสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปจากกับดักและแผ่ขยายออกไปสู่สภาพแวดล้อมรอบกายทั่วทุกทิศทุกทางของพวกเขาได้โดยไร้สิ่งกีดขวางใดๆ
ในเวลานี้เองที่มีร่างสองร่างปลิวกระเด็นมาจากระยะไกลแล้วหยุดลงต่อหน้าจิ่วจิ่ว
คนเหล่านี้เป็นชายชราผมขาวสองคนในชุดดำซึ่งครองพลังขอบเขตเซียนหยวน ยามนี้พวกเขาทั้งสองล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ โดยที่มีรอยฝ่ามือหนึ่งประทับบนร่างกายของพวกเขาทั้งคู่
หวางฉีตะโกนอย่างตื่นเต้นข้างๆ ว่า “ท่านอาจารย์อาจิ่ว เป็นพวกเขาทั้งสองคน! พวกเขาโจมตีข้าและศิษย์พี่หญิงเยี่ยนเอ๋อร์ขอรับ!”
“ท่านอาจารย์” จิ่วจิ่วไม่ลังเลอีกต่อไป นางรีบคุกเข่าแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นแล้วกล่าวอย่างเสียใจว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ถูกหลอกและขาดการติดต่อกับศิษย์รุ่นเยาว์สามคน ศิษย์ยินดียอมรับการลงโทษทั้งหมด แต่ขอให้ท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยค้นหาร่องรอยของพวกเขาทั้งสามอย่างรวดเร็วและรีบตรวจสอบดูว่าพวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
ทันใดนั้นหมอกสีขาวที่รายล้อมอยู่รอบๆ พวกเขาก็หายไปหมดสิ้น และมีเงาร่างสองสามร่างปรากฏขึ้นมาในระยะไกล
นักพรตเต๋าที่ยืนอยู่ข้างหน้าสูงไม่เกินห้าฉื่อ เมื่อเห็นจิ่วจิ่วคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างจริงจัง จึงอดกระดากใจเล็กน้อยมิได้ เขาจึงก้มศีรษะลงแล้วกระแอมไอ ก่อนจะเอ่ยถามพลางแย้มยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ของพวกเราไม่ได้มาเอง แต่เป็นข้าเอง…แค่กๆ…บุรุษรูปงามผู้เฉลียวฉลาดสุดๆ …ศิษย์พี่ห้า…”
“หือ?”
ทันใดนั้นเจตนาสังหารก็พวยพุ่งฉับพลัน!
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยพลันตัวสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในขณะที่เขาพยายามกอบกู้สถานการณ์ ศิษย์น้องหญิงเล็กในชุดผ้าป่านที่กำลังยืนอยู่ในระยะไกล ก็พลันกระทืบเท้าแล้วกระโดดขึ้นไปจากพื้นทันที!
นางทะยานร่างออกไปปานลูกธนูพุ่งออกจากคันธนูศักดิ์สิทธิ์จนก่อให้เกิดเสียงตูมดังลั่น!
…………………………………………………………………………………………………………………