บทที่ 32 – ความปรารถนา

 

“ในตอนแรก.. ข้าทำเป็นมองไม่เห็นเจ้า แต่เจ้ากลับแสดงตัวตนออกมาให้ข้าเห็นชัดเจนขนาดนี้ ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าต้องการอะไรจากหอคอยของข้า สหาย?”

เสียงนั้นดังขึ้นเข้าสู่โสตประสาทมิวโดยตรง นางไม่ได้มองมาที่มิวด้วยซ้ำแต่กลับรู้สึกว่าเหมือนนางกำลังมองอยู่

มิวที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ถ้าคิดจากว่านี่ไม่ใช่ชั้นที่สามและก็ไม่ใช่ชั้นไหนๆ แต่เป็นชั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาพิเศษเพื่อการนี้

และอาจจะเป็นเพราะรางวัลที่เธอได้รับจากเควสนั้นเลยทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ แต่สำหรับเรื่องที่นางกล่าวมิวไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่

“เธอ.. พูดถึงเรื่องอะไร?”

“แล้วทำไมต้องทำเป็นไม่เห็นฉันด้วย?”

มิวถามออกมาแบบนั้น

“..หือ สหายเจ้ากำลังไม่เข้าใจอะไร ก็….”

ในขณะที่สุ้มเสียงที่ยิ่งใหญ่นั้นกำลังจะพูดเธอก็เงียบลงกะทันหัน ร่างกายที่ใหญ่โตของเธอก็ค่อยๆ หดเล็กลง แค่พริบตาเดียวก็มายืนอยู่ต่อหน้ามิวแล้ว

ดวงตาสีทองของเธอเบิกขึ้น ดูมีลักษณะที่น่าหลงใหลเกินจะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เธอเดินไปมองมิวด้วยความสงสัย มองตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมมีขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดมฟุตฟิตด้วย

“ไม่ใช่เจ้านี่…”

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเธอก็หลับตาตัวเองลงอีกครั้งก่อนที่จะถอยตัวออกมาแล้วก็พูดขึ้นด้วยท่าทางครุ่นคิด

เธอพึมพำกับตัวเองซึ่งมิวไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่กับการกระทำของนางคนนี้..

“แต่ทำไมถึง..”

“อื้มม.. สหาย เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า?”

เธอมองมาที่มิวแล้วก็ถามแบบนั้น แน่นอนว่ามิวที่ถูกถามเองก็ถึงกับสะดุ้งทันที จะมีใครสักกี่คนที่เดินไปถามคนด้วยกันเองว่าเป็นคนหรือเปล่า

ก็เห็นยืนสองขา สองแขน.. และมีทุกอย่างที่ดูน่าจะเป็นลักษณะที่เป็นมนุษย์ทุกอย่าง แต่กลับถามว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่าเนี่ย

ดูยังไงมันก็น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ว่าตัวมิวเองไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้ว.. แต่แน่นอนว่ามิวไม่ได้จำเป็นที่จะต้องตอบไปตามความจริง

“..ฉันเป็นมนุษย์”

“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว”

มิวตอบออกไปแบบนั้นเทพธิดานางนั้นที่ได้ยินแบบนั้นเธอเองก็พยักหน้าให้ทันที ท่าทางของเธอเหมือนไม่ได้ยินคำตอบของมิว

แต่เหมือน ‘รู้’ คำตอบที่แท้จริงต่างหาก เหมือนกับว่าไม่ว่ามิวจะพูดอะไรเธอก็มีคำตอบของคำถามนั้นอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว

“สหาย ต่อให้เจ้าจะไม่ใช่เจ้าต่อไป เจ้าก็ยังเป็นสหายข้าดังเดิม.. อย่างไรก็ตามนี่จะเป็นกรณีพิเศษถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎของข้าก็แล้วกัน”

“เพราะข้าตั้งเงื่อนไขเควสลับไว้แบบนั้นเพราะไม่คิดว่าจะมีคนจัดการสัตว์ประหลาดได้เร็วและเยอะแบบนั้นมาเล่นในหอคอย”

“เพราะงั้น Tower Point ของเจ้าและเพื่อนของเจ้าในตอนนี้มันมีมากเกินกว่าที่ชั้นต้นจะมีได้เลย ซึ่งพูดตามตรงว่า Tower Point ของพวกเจ้ามันมากพอที่จะทำให้พวกเจ้ากระโดดข้ามไปยังชั้น 50 ได้เลย”

อาจจะเพราะมิวตกตะลึงหรือประหลาดใจกับท่าทางของอีกฝ่ายอยู่เลยลืมสังเกตว่าทั้งเอริเนียและรินนะก็ไม่ได้อยู่ด้านข้าง

มิวถึงกลับตกใจแล้วรีบถามเลยทันที

“ใช่ แล้วเอริเนียกับรินนะล่ะ?!”

“ไม่ต้องห่วง สหายข้า.. พวกนางก็อยู่ในทีแบบเดียวที่คล้ายกับเจ้าและกำลังตกลงราคาที่ต้องจ่ายด้วยกันกับข้าเช่นกัน”

“ราคาที่ต้องจ่าย?”

“ก็ฟังกันให้จบก่อนสิสหาย เจ้านี่ไม่ว่าตอนไหนก็เป็นแบบนี้จริงๆ”

“…..”

มิวเงียบปากลง เอาเข้าจริงคุยกับนางมิวรู้สึกเหมือนนางทำตัวเป็นกันเองเกินไปหรือเปล่า เพราะยังไงซะมิวก็ไม่รู้จักนาง

เลยทำให้มิววางตัวไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไหร่ นางที่เห็นมิวทำท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนางจึงยิ้มพร้อมพูดต่อว่า

“ซึ่งถ้าทำเช่นนั้น.. คงมีคนไม่พอใจเป็นแน่ ไอ้การเดินทางที่แสนน่าเบื่อแบบนั้นมันไม่มีใครต้องการหรอกใช่ไหม?”

“ข้าเลยขอเสนอให้กับเจ้าสหายข้า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับที่ข้าจะขอ Tower Point กลับคืนมา”

“ข้าจะให้เจ้าเข้าถึงชั้น 100 เพื่อรับ ‘ความปรารถนา’ หนึ่งอย่างเป็นอย่างไร?”

นางอธิบายออกมาแบบนั้น มิวถึงกับขมวดคิ้วทันที.. เดี๋ยวก่อนถ้า Point นี้มีมากพอแค่จะขึ้นไปถึงชั้น 50 แล้วทำไมสิ่งที่นางเสนอมามันคุ้มค่ากว่าการใช้ Point ตรงๆ อีก

แน่นอนว่านางเข้าใจความคิดของมิวทันที

“ไม่ต้องกังวลสหาย ข้ามอบให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษเพียงเท่านั้น ส่วนเพื่อนของเจ้าก็.. จะบอกว่าทำความปรารถนาให้เป็นจริงก็ได้ แต่ข้าแค่เลือกให้ตามใจน่ะนะ”

“คนที่ชื่อรินนะเหมือนจะไม่สามารถเป็น ‘ผู้ใช้อารยธรรม’ ได้… ความปรารถนาในใจลึกๆ ของนางคือการเริ่มเป็นข้าจึงบันดาลสิ่งนั้นให้นาง”

“ส่วนเด็กสาวที่ชื่อเอริเนีย.. อืม..”

“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตามที่ว่าไปนั่นแหละ ในฐานะที่เป็นสหายกันข้าถึงได้มอบความปรารถนาให้เจ้าเลือกมาหนึ่งอย่าง”

“และขอบอกไว้ก่อนว่าการขึ้นไปถึงหอคอยชั้นที่ 100 หรือชั้นสุดท้ายนั้นไม่ได้มีแค่จะบันดาลความปรารถนาให้เป็นจริงเท่านั้น”

เธอเดินรอบตัวมิวพร้อมกับอธิบายด้วยท่าทางสบายๆ แม้จะหลับตาสองข้างตลอดเวลาเธอก็เดินเหมือนคนมองเห็นทางตลอด

“นอกจากนี้.. ถ้าให้ลิ้มลองถึงการได้รับความปรารถนาให้กลายเป็นจริง ไม่มีใครสามารถปฏิเสธมันได้หรอก..”

“…”

“ไม่เอาน่า สหายข้า.. ข้าแค่พูดตามความจริงเดิมทีสิ่งมีชีวิตก็มีลักษณะของความโลภที่มากกว่าลักษณะอื่นอยู่แล้ว อย่าทำเหมือนข้าเป็นตัวร้ายวางแผนร้ายแบบนั้นสิ”

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น… และไม่ได้คิดด้วย”

“เอ้ะ เป็นงั้นเหรอ— สหายข้ายังอ่านใจได้ยากไม่เปลี่ยนเลยนะ”

นางหัวเราะออกมาด้วยท่าทางสบายๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีโซฟาปรากฏขึ้นแล้วนางก็ไปนอนอยู่ตรงนั้นแล้วด้วย

“แต่ความปรารถนาเหรอ พอมาให้บอกว่ามีอะไรต้องการไหมแบบกะทันหันอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จะขออะไรเหมือนกัน”

“เอาเถอะ สหายข้า.. ถ้ามีคนมาบอกว่าจะบรรดาอะไรให้เป็นจริงหนึ่งอย่างเป็นธรรมดาที่ไม่รู้จะขออะไร เพราะเดิมทีสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีเพียงความโลภต่อสิ่งเดียว เพราะมีมากกว่าหนึ่ง ยังไงก็ค่อยๆ คิดก็ได้ที่แห่งนี้เวลาทั้งหมดล้วนเป็นแค่ภาพอันเลือนราง เพราะงั้นจะคิดแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา”

นางกล่าวพร้อมกับมายืนอยู่ด้านหลังพร้อมกระซิบที่หูมิวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จนมิวถึงกับสะดุ้ง พร้อมกับหลบออกมาข้างทันที

“อย่ามาสกินชิพกันสิ!”

“สหายข้า แค่นี้เขาไม่เรียกสกินชิพกันหรอกนะ แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่ผู้หญิงจะสกินชิพกันน่ะ”

“ปกติบ้าเธอสิ ไม่มีใครที่ไหนไปหายใจรดคอ รดหูกันเป็นเรื่องปกติหรอกนะ!!”

“เอ้ะ เป็นงั้นเหรอ?”

เธอเอื้อมมือมาจากด้านหลังมิวเหมือนกำลังจะกอด แม้ว่ามิวจะพึ่งหลบออกมาก็ตามที ทว่ามือของเธอก็ไม่ได้กอด

เธอกลับไปนอนบนโซฟาเหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น มิวรู้สึกเหมือนกำลังโดนปั่นหัวอยู่เลย เธอได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

เธอยืนครุ่นคิดถึงความปรารถนาของตัวเอง… ถ้าหากถามสิ่งที่เธอต้องการในยามนี้มันคงเป็นการคิดถึงครอบครัวหรือแฟนนั่นแหละ

แต่ว่าเมื่อมิวคิดแบบนั้น

“สหายข้า ของแบบนั้นมันไม่ใช่ความปรารถนา มันแค่ความต้องการเท่านั้น ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้หายไปหรือไม่มีอยู่จริงในตอนนี้มันไม่นับว่าเป็นความปรารถนาหรอกนะ ข้าไม่ขอแนะนำให้ขอแบบนั้นนะ”

“……แต่ว่า”

“เอาเถอะ ถ้าสหายต้องการข้าก็สามารถบันดาลให้มันเป็นจริงได้ทันทีแล้วแต่สหายจะเลือก”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็เงียบลง.. เธอในตอนนี้ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนางคนนี้ที่ว่า ‘สิ่งนั้นไม่เคยหายไป’

กล่าวคือมันอยู่ใกล้ๆ กับมิวนี้เอง.. ซึ่งมิวในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเห็นถึงความประหลาดของคำพูดนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อมาคิดดูเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่คางาริ

เธอในตอนนี้เป็นคนอื่น เอาเข้าจริงความรู้สึกผูกพันกับพี่น้องครอบครัว มันก็เบาบางลงไปจนแทบเป็นเหมือนคนที่เคยสนิทกันมาก

อาจจะเพราะไม่มีความผูกพันทางสายเลือดไปแล้ว.. ที่ต่างออกไปคงมีแค่แฟนที่ยังคงชัดเจนกว่าใคร

แต่ว่า.. มิวอยากเจอทุกคนจริงๆ เหรอในตอนนี้

เธอมองย้อนกลับมาที่ตัวเองที่ไม่ว่าจะหน้าตา รูปลักษณ์หรือแม้แต่ชื่อของเธอเอง… ไม่สิ.. เดี๋ยวก่อน มิวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

ความปรารถนา.. ที่สามารถบันดาลให้ได้ทุกอย่าง..

“สหายข้า.. ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาอะไรแต่ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าขืนทำแบบนั้นทุกอย่างจะพังทลาย ในฐานะกฎข้าไม่สามารถทำลายกฎด้วยกันเองได้”

“งั้นฉันก็จะไม่ขอแบบนั้นตรงๆ ฉันจะเป็นคนแก้ไขมันด้วยตัวเอง!”

“นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่นะสหายข้า ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ข้าไม่ต้องการให้ของขวัญชิ้นนี้มันเสียเปล่านะ!”

“เธอบอกว่าทุกอย่างเป็นไปได้!ทำไมฉันไม่สามารถข้ามโลกไปโลกเดิมฉันได้เหรอ ไม่สามารถย้อนเวลาได้เหรอ?”

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องระหว่างทาง.. แต่มันเป็นเรื่องของปลายทางสหาย”

“แสดงว่าทำได้งั้นสินะ!”

“…..”

“งั้นสิ่งที่ฉันจะขอก็คือ.. ย้อนเวลากลับไปในตอนนั้น.. ตอนที่ยังมีฉันที่เป็นคางาริ พาฉันไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”