ตอนที่ 36 ปฏิบัติการช่วยเหลือกองกำลังสหรัฐที่สถานีคิซารากิ

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

กลิ่นเนื้อไหม้ตลบไปทั่วห้องมืดๆ

ทุกครั้งที่เปลวไฟสีแดงโลมเลียไปตามไขมัน มันก็ยิ่งโหมแรงขึ้น ควันที่ลอยขึ้นมาก็จักจี้ที่จมูก กลิ่นคงจะติดตามผมตามเสื้อผ้า ไม่หลุดออกไปง่ายๆ แน่เลย…

 

เดือนกรกฎา หน้าฝนผ่านไปแล้ว โตเกียวก็มุ่งหน้าเข้าสู่ฤดูร้อน

สถิติความร้อนใหม่ๆ ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาในแต่ละวัน แล้วฉันก็กังวลเรื่องเทศกาลสอบปลายภาคที่กำลังใกล้เข้ามาจนหน้าซีดเลยด้วย ตลกร้ายดีเนอะ ไม่ว่าฉันอาจจะก้าวเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของโลกเบื้องหลังแค่ไหน การเรียนและเอกสารรายงานของมหาลัยมันก็ยังอยู่ดีเสมอ

มีหลายครั้งอยู่นะที่ฉันรู้สึกสงสัยในเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงๆ ของผู้เล่าเรื่องหลายคนเลยนะ ที่ถึงพวกเขาไปเจอกับเรื่องแปลกประหลาดน่าเหลือเชื่ออะไรมาก็ตาม ผ่านไปนานๆ เขาก็จะลืมมันไป ก่อนะจกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ฉันคาใจมาตลอดเลยว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้จริงๆ น่ะเหรอ แต่พอตอนนี้ ได้มายืนอยู่ในจุดเดียวกันกับพวกเขาแล้วเนี่ย ฉันก็เข้าใจแล้วล่ะ

ไม่ว่าสิ่งที่ไปประสบมามันจะบ้าบอแค่ไหน การกลับไปใช้ชีวิตตามปกติมันก็เป็นไปได้เสมอ ขอแค่ไม่คิดถึงมันก็ไม่เป็นไรแล้ว―ร่างกายของเรามันจะขยับไปของมันเอง

นั่นแหละความสุดยอดของกิจวัตรประจำวันล่ะ มันเป็นเหมือนกับภาวะธำรงดุลของร่างกายแบบนึงเลย แบบเดียวกับที่ร่างกายมนุษย์รักษาอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่นั่นแหละ ประสบการณ์ที่ออกจะประหลาดๆ หน่อยอันเดียวมันพังกิจวัตรพวกนั้นไม่ได้หรอก

 

ในทางกลับกัน คนที่ไม่มีทางกลับไปเหมือนปกติได้อีกเลยก็มีเหมือนกัน

คนที่ร่างกายต้องบาดเจ็บเสียหาย คนที่สติวิปลาสไป คนที่มีความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงยุ่งเหยิงไปเพราะไม่สามารถทำให้พวกเขาเชื่อในสิ่งที่เจ้าตัวไปเจอมาได้

ต่อให้มันจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตส่วนตัวของคนคนนั้นเสียไปแบบกู่ไม่กลับอย่างสมบูรณ์ก็ตาม หลายครั้ง การเผชิญหน้ากับความประหลาดนั่นก็สามารถฝ่าทะลุเกราะป้องกันของภาวะธำรงดุลของร่างกายเข้ามาได้ จนทิ้งไว้เป็นรอยแผลเป็นกับคนคนนั้น บางคนอาจจะไม่สามารถหลับได้เลยโดยไม่เปิดไฟทิ้งเอาไว้ บางคนอาจจะกลัวทะเลไปเลย หรืออาจจะมีความทรงจำในช่วงเวลานั้นที่เลือนรางไป

 

และในบางคน ความกลัวมันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นความโกรธจนเดือดดาลได้เหมือนกัน

…อย่างคุณโคซากุระที่นั่งอยู่หน้าฉันกับโทริโกะตอนนี้ไง

พวกเรานั่งอยู่ที่โต๊ะร้านเนื้อย่าง โดยมีความเงียบที่น่าอึดอัดคุกรุ่นอยู่ระหว่างเราด้วย ขนาดเนื้อลิ้นวัวคลุกเกลือกำลังส่งเสียงฉ่าออกมาจากตะแกรงเหล็กตรงหน้าเธอแล้วตอนนี้ สีหน้าของคุณโคซากุระก็ยังโกรธจัดอยู่เลย

 

“เออ คุณโคซากุระคะ ฉันว่า พอได้แล้วนะคะ…”

 

ฉันพูดออกไปอย่างอึกอัก คุณโคซากุระได้ยินแบบนั้นก็จ้องเขม็งฝ่าควันมาหาฉันเลย

 

“คิดว่ามันพอแล้วหรือไง? อย่าคิดว่าฉันจะยกโทษให้พวกเธอง่ายๆ ล่ะ”

“เออ เปล่าค่ะ ฉันหมายถึงเนื้อน่ะ น่าจะสุกพอได้แล้วนะคะ”

 

คุณโคซากุระขมวดคิ้ว พ่นลมหายใจ หึ ออกมาอย่างโมโห ก่อนจะหยิบตะเกียบของเธอขึ้นมาช้าๆ คีบเนื้อลิ้นวัวออกไปจากตะแกรงย่าง คีบไป 3 ชิ้นเต็มๆ เลย

 

“โห! หอมจังเลย! รีบกินกันเลยเถอะ โซราโอะ!”

 

โทริโกะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น ก่อนจะโยกตะเกียบในมือข้ามขอบของตะแกรงย่างไปโดยไม่ขอเลย

 

“…นี่เธอเข้าใจบ้างมั้ยว่าวันนี้มาที่นี่กันทำไมน่ะ?”

 

คุณโคซากุระยิงคำพูดใส่โทริโกะก่อนที่ฉันจะทันได้พูดอีก

 

“วันนี้เป็นการมาเจอตัวกันเพื่อทบทวนและสำนึกผิดไงเล่า ที่พวกเธอ 2 คนต้องสำนึกผิดกับสิ่งที่พวกเธอทำ แล้วก็มาขอโทษฉันด้วย”

“นั่นสิ ขอโทษด้วยนะคะ―จริงด้วย”

 

หลังจากที่โทริโกะขอโทษด้วยสีหน้าว่าง่าย เธอก็คีบเนื้อส่วนลิ้นขึ้นมาใส่ปาก จากนั้น สีหน้านิ่งคิดก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าเธอเลย

 

“อื้ม! อร่อย!”

 

ยัยนี่ไม่ได้สำนึกอะไรเลยนะเนี่ย ฉันคิดแบบนั้นอยู่ในใจ ก่อนจะเอื้อมตะเกือบออกไปคีบเนื้อมาบ้าง

…โอ๊ะ นี่มันสุดยอดจริงๆ ด้วย รสชาติดีมากเลย ขนาดปรุงด้วยแค่มะนาวกับเกลือเองนะ

 

“จะย่างอะไรต่อดีล่ะ? มีเรื่องของลำดับหรือเปล่า?”

“อะไรก็ได้ แค่ย่างๆ ไปเถอะ”

 

คุณโคซากุระตอบกลับแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบ แก้วเบียร์ขนาดกลาง พอเธอใช้แล้ว มันดูใหญ่มากเทียบกับร่างเล็กๆ ของเธอเลย แถมรู้สึกเหมือนกับกำลังให้เด็กไม่บรรลุนิติภาวะดื่มแอลกอฮอล์ยังไงก็ไม่รู้ ตอนที่พวกเราสั่งเครื่องดื่มกัน เธอก็เอาใบขับขี่ออกมาให้พนักงานดู ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

โทริโกะวางพาดเนื้อสันคอลงบนตะแกรงบ้าง เธอคงจะทำเรื่องนี้ได้ดีกว่าฉันนั่นแหละ นี่ครั้งแรกในชีวิตเลยนะกับการมาร้านเนื้อย่างแบบนี้ เพราะงั้นก็ปล่อยให้เธอเป็นคนจัดการเลยดีกว่า

เหตุผลที่พวกเรามาจัดงานเลี้ยงหลังจบงานกันที่ร้านเนื้อย่างนี้ ก็เป็นเพราะการยืนกรานอย่างหนักแน่นของคุณโคซากุระ พูดให้ถูกกว่าก็ สาเหตุอย่างที่คุณโคซากุระว่านั่นแหละ งานเลี้ยงเพื่อทบทวนและสำนึกผิด

ในการเดินทางไปโลกเบื้องหลังของพวกเราครั้งล่าสุด ฉันทิ้งให้คุณโคซากุระต้องอยู่คนเดียวไว้ที่นั่นในค่ำคืนสุดอันตรายเพื่อตามหาตัวโทริโกะ

ฉันใช้พลังของตาขวา เปลี่ยนคุณโคซากุระไปเป็นต้นไม้ในกลิตช์ขนาดมหึมาที่มีรูปร่างเป็นเมืองเลย พอตกกลางคืน ฉันก็คิดว่าเธอจะปลอดภัยที่สุดแล้วถ้าเกิดว่าเธอเป็นแบบนั้น ภายในกลิตช์นั่น การรับรู้ของฉันสามารถเห็นเนื้อแท้ของสภาพแวดล้อมรอบตัวของฉันได้ ฉันตัดสินใจตามที่เชื่อแบบนั้น คิดว่าถ้าฉันมองคุณโคซากุระเป็นต้นไม้ เธอก็จะสามารถหลบจากสายตาของพวกสัตว์ประหลาดได้

คุณโคซากุระบอกฉันเองเลยว่าเธอกลัวโลกเบื้องหลังแทบตายเลย ฉันเลยคิดว่าการทิ้งเธอไว้คนเดียวต้องยิ่งทำให้เธอกลัวยิ่งกว่านั้นอีกแน่ การที่ลากเธอมาเอี่ยวแบบนี้ เธอต้องโมโหใส่โทริโกะกับฉันแน่ๆ แต่กลายเป็นว่า พอฉันเจอโทริโกะแล้วพาเธอกลับมาได้ จนพวกเรา 3 คนกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งนึง คุณโคซากุระก็ทำตัวแปลกๆ เธอดูเหม่อลอย พูดอะไรไปก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเลยซักอย่าง ขนาดกลับมาถึงโลกเบื้องหน้าแล้ว เธอก็ยังไม่พูดอะไรเท่าไหร่เลย พอเราส่งเธอถึงบ้านแล้ว เธอก็ปิดประตู ขังตัวเองอยู่ในบ้านโดยที่ไม่ได้บอกลาอะไรเลยซักคำ

ฉันกังวลอยู่ว่า เธอจะเป็นอะไรมั้ยนะ? รู้ตัวอีกทีมันก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว ตอนนั้นแหละที่จู่ๆ คุณโคซากุระก็โทรมาหาฉัน พอรับสาย เธอก็ตะโกนใส่มาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดเลย

 

‘ยัยพวกบ้า! กับเรื่องแบบนี้จากพวกเธอทั้งคู่เนี่ยพอกันที!!’

 

ดูเหมือนประสบการณ์ความหวาดกลัวที่เธอเจอมานั่น จะทำให้เธอสติหลุดลอยไปซักพักเลยแฮะ

 

‘เนื้อ…’

 

ตอนที่ฉันขอโทษขอโพยเธออยู่ผ่านทางโทรศัพท์ คุณโคซากุระก็พูดคำนั้นขึ้นมา

 

‘เลี้ยงเนื้อฉันซะ จนกว่าฉันจะได้ไปร้านเนื้อย่าง ความโกรธของฉันไม่มีทางหายไปแน่’

“เออ…”

‘เนื้อดีๆ ด้วย ฉันต้องการคุณภาพ ถ้าเกิดพวกเธอถ้าฉันไปร้านกินเหลาเอาเยอะเข้าว่าล่ะก็ สิ่งที่จะถูกกดจนเกรียมเป็นลายตะแกรงย่างจะเป็นมือพวกเธอแทนเนื้อแน่’

“คือ ให้พวกฉันเลี้ยงเหรอคะ? ฉันไม่ค่อยมีเงินนะคะ… โทริโกะน่าจะมีเงินกว่า-…”

 

แล้วฉันก็พูดได้แค่นั้น ก่อนจะถูกขัดด้วยคำผรุสวาทแบบน้ำไหลไฟดับจากคุณโคซากุระทะลักมาจากอีกฝั่งของสายแบบไม่หยุดเลย

นี่คือผู้ใหญ่ที่มีบ้านหลังใหญ่อยู่ในย่านที่อยู่อาศัยที่สถานีสวนสาธารณะชาคุจิอิ แล้วเธอยังให้นักศึกษาไส้แห้งเลี้ยงอาหารเธออีกเหรอเนี่ย ใจร้ายจังเลย

สถานการณ์ก็เป็นไปแบบนั้นแหละ ฉันโทรหาโทริโกะ แล้วเราก็ตกลงกันว่าจะจัดงานเลี้ยงหลังจบงาน หรืองานเลี้ยงทบทวนและสำนึกผิดนั่นแหละ ด้วยกันเลย 3 คน โทริโกะเลือกร้านที่เดินออกทางประตูทางออกทิศตะวันตกจากสถานีอิเคบุคุโระไม่ไกลมาก ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยเงียบสงบเท่าไหร่ ราคาแพงบาดกระเป๋าอยู่ แต่ก็อร่อยจริงนะ… ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีเนื้ออยู่หลายแบบขนาดนี้ จนฉันยังเผลอยิ้มออกมาเลย

 

“โซราโอะจัง ยิ้มอะไรน่ะ?”

 

ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่าคุณโคซากุระมองมาที่ฉันด้วยสายตาเหมือนกับมองอะไรแปลกๆ แล้ว ก็เลยรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้

 

“ขอโทษค่ะ แค่ว่าเนื้อส่วนต้นคอนี่มันอร่อยสุดๆ ไปเลย”

“เหรอ เอาเถอะ ยังไงพวกเธอก็เป็นคนจ่ายนี่”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย และมันก็ดึงสติของฉันกลับมาด้วย จริงสิ! โทริโกะกับฉันต้องรับผิดชอบจ่ายค่าอาหารมื้อนี้นี่นา

 

“โทริโกะ! อย่าสั่งเหลือทิ้งแบบที่ทำประจำเชียวนะ!”

“อุหวา เรากินกันหมดอยู่แล้วน่า ไม่มีปัญหาหรอก”

“ปัญหาไม่ใช่เรื่องปริมาณ! แล้ว เดี๋ยวก่อนเลย ฉันไม่ใช่เหรอคนที่ต้องเก็บกินตอนสุดท้ายให้หมดทุกทีเลยน่ะ? โทริโกะน่ะสั่งมาเต็มที่ตามใจ แล้วสุดท้ายก็เอื่อยลงไปกลางทางไม่ใช่หรือไง”

“ฉันชอบดูตอนเธอพยายามกินให้หมดนี่นา”

 

ว่าไงนะ?

ตอนที่ฉันเจอคำตอบแบบคาดไม่ถึงของเธอจนพูดอะไรไม่ออก เนื้อซี่โครงย่างคาลบีพิเศษที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ก็มาถึงที่โต๊ะพอดี ฉันก็เลยต้องกินต่อล่ะนะ

 

TN: คาลบี หรือ กัลบี (갈비 : Kalbi/Galbi) เป็นภาษาเกาหลีหมายถึง ‘ซี่โครง’ ถ้าหมายถึงอาหารแล้ว คาลบีคืออาหารในกลุ่มเนื้อย่าง ทำโดยการนำเนื้อซี่โครงส่วนปลาย (short rib) ของเนื้อวัวหรือเนื้อหมูที่ผ่านการหมักแล้วในซอสถั่วเหลือง, กระเทียม และน้ำตาลมาย่าง ตามปกติ มักจะเสิร์ฟมาแบบดิบๆ ให้ลูกค้าย่างเอง ซึ่งถ้าย่างมาแล้ว หน้าตาก็จะประมาณนี้

 

หลังจากที่พวกเรา 3 คนแข่งกันคว้าเนื้อย่างบนตะแกรงกันอีกซักพัก แล้วตอนที่ฉันกำลังปลาบปลื้มกับไขมันแสนเลิศลิ้นที่นุ่มละลายในปากเลยอยู่ โทริโกะก็เริ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

 

“เออ คือ กับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้… ฉันผิดไปแล้วล่ะ ฉันนึกว่าโซราโอะจะมาด้วยกันกับฉันอีกแล้ว แล้วก็ไม่เคยคิดเลยว่าแม้แต่โคซากุระจะออกมาตามหาฉันด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะดึงเข้ามาเกี่ยวด้วยเลยนะ ขอโทษด้วยจริงๆ”

 

ฉันกับคุณโคซากุระเคี้ยวเนื้อในปากต่อ พลางฟังโทริโกะอยู่เงียบๆ

คุณโคซากุระกลืนแล้วก็พูดตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่

 

“รู้มั้ย? เธอพูดยังกับว่าเป็นความผิดของพวกเราที่ไล่ตามเธอไปยังไงยังงั้นเลยนะ”

“เปล่านะ ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย”

“เชื่อใจฉันอีกซักนิดก็ดีนะ”

 

ฉันพูดแสดงความไม่พอใจออกมาเหมือนกัน

 

“ฉันเชื่ออยู่แล้วล่ะ! มันก็แค่… แค่รู้สึกไม่ดีที่จะลากเธอตะลอนไปทั่วเพราะความเอาแต่ใจของฉันเองไปมากกว่านี้นี่นา”

 

ฟังเหมือนโทริโกะพยายามแก้ตัวเลยแฮะ อะไรน่ะ? เธอดูหงอยกว่าปกติเลย

น้ำเสียงที่เย็นชาของฉัน ทำเอารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกชอบบูลลี่นิดๆ เลย

 

“เธอไปที่นั่นคนเดียวเพราะไม่คิดว่าฉันจะพึ่งพาอะไรได้งั้นสินะ? ไม่เคยคิดเลยว่าฉันอาจจะไปช่วยเธอก็ได้งั้นสิ? นี่ ถึงยังไงเราก็ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาตั้งเยอะเลยนะ ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

“เรื่องนั้นฉันก็บอกว่าขอโทษแล้วไงเล่า…”

 

ฉันพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองเธอหรอกนะ แต่เห็นได้ชัดเจนแบบง่ายๆ เลยล่ะว่าเธอกำลังลำบากใจขนาดไหน

นี่ฉันทำอะไรของฉันอยู่เนี่ย?

สนุกอยู่เหมือนกันแฮะ

 

“โซราโอะจัง”

“คะ?”

“ขอบอกให้รู้ไว้เลยนะ เธอน่ะแย่ยิ่งกว่าอีก”

 

TN: หงุดหงิดอะไร เราก็ไปกินหมูกระทะได้นะครับ ดูแล้วจะไม่ใช่แค่คนไทยนะ คนญี่ปุ่นเองก็เหมือนกันเลย