“ขอบอกให้รู้ไว้เลยนะ เธอน่ะแย่ยิ่งกว่าอีก”
ตอนที่ฉันกำลังเริ่มจะได้ใจ คุณโคซากุระก็ทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทิ่มแทงกันเลย
“ฉันอุตส่าห์เชื่อใจเธอนะ โซราโอะจัง ก็เธอบอกฉันว่าจะให้ฉัน [อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย] นี่”
“ค- ค่ะ?”
“ที่นั่นมันอะไรกันน่ะ…? เธอทิ้งฉันไว้ในสวนดอกไม้ที่ไหนก็ไม่รู้”
“สวนดอกไม้?”
“รู้ตัวอีกที เธอก็หายไปแล้ว มีเสียงเหมือนเสียงน้ำไหล แล้วก็ได้ยินเสียงผู้คนคุยกันอยู่รอบตัวไปหมด แต่ตรงนั้นมันไม่มีใครอยู่เลยซักคน ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรอยู่ตรงนั้น แต่ฉันก็ทำใจไปที่ไหนไม่ได้เลย”
คุณโคซากุระพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สับสน สายตาเหม่อออกไปไกล ขนาดถ่านตรงหน้าร้อนแดงขนาดนั้น ที่แขนของเธอก็ยังขนลุกไปทั่วทั้งแขนเลย
“ฉันขยับไปไหนไม่ได้เลย ยังกับว่าที่เท้ามันงอกรากฝังแน่นลงไปกับพื้นไปแล้ว ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปในความว่างเปล่าตรงหน้า เสียงรอบตัวก็ดังหนวกหูไปหมดจนต้องเอามือขึ้นมาอุดหู แต่แล้ว การเรียงตัวของดาวบนฟ้าตอนกลางคืนมันก็เริ่มทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันมีความหมายอะไรซักอย่างขึ้นเรื่อย มันก็ทำให้ฉันกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว เสียงรอบๆ นั่นก็ฟังดูค่อยๆ ดูโกรธขึ้นมาด้วยเหมือนกัน สติมันก็เริ่มแย่แล้ว แต่ฉันคิดว่า บางแน่ ถ้าเกิดฉันหมดสติไปล่ะก็ ฉันอาจจะไม่รอดก็ได้ ฉันก็เลยย่อตัวลง นั่งจ้องพื้น พลางบอก ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ กับใครซักคนที่อยู่รอบๆ ไปเรื่อยๆ… แล้วพอรู้สึกตัวอีกที พวกเธอทั้งคู่ก็มาอยู่ตรงนั้นแล้ว”
คุณโคซากุระหลับตาแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พวกเธอกลับมากันได้มันก็ดีอยู่หรอก แต่ฉันน่ะตกอยู่ในอันตรายสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง…? ถ้าเกิดฉันว่าเป็นบ้าไปหรือตายไปแล้ว เธอจะทำยังไง โซราโอะจัง?”
“ตอนนั้น… ฉันคิดว่าคุณจะไม่เป็นไรน่ะ…”
“อ้อ หรอ?”
“แต่คุณ… ไม่เลย สินะคะ…? ฮะฮะ… ฮะ”
คุณโคซากุระจ้องเขม็งตรงมาที่ฉันแทบทะลุ จนฉันหัวเราะเจื่อนๆ ออกมาเลย
“โคซากุระ โซราโอะทำแบบนั้นเพื่อจะไปตามหาฉันนี่นา เธอไม่ได้-”
พอโทริโกะจะเข้ามาไกล่เกลี่ย ตาของคุณโคซากุระก็ยิ่งกว้างออกด้วยความโกรธเข้าไปอีก
“เงียบไปเลย! ถ้าเกิดเธอเข้ามาปกป้องโซราโอะจังตอนนี้ มันก็กลายเป็นว่าฉันเป็นฝ่ายผิดที่ไปโกรธเธอน่ะสิ! ฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ! พวกเธอทั้งคู่นั่นแหละที่ผิด! ห้ามแก้ตัว!”
“ข- ขอโทษค่ะ”
พอฉันพูดขอโทษพร้อมโค้งหัวให้แบบนั้น คุณโคซากุระก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา
“โซราโอะจังเนี่ย ฉันว่า เธอไม่ได้คิดซักนิดเลยสินะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้างน่ะ”
“ป- เปล่านะคะ ไม่ได้ขนาดนั้น”
“ไม่ใช่แค่ฉันด้วย ซัทสึกิก็เหมือนกัน ฉันได้ฟังจากโทริโกะแล้วล่ะ เธอยิงเจ้านั่นที่มีหน้าของซัทสึกิแบบไม่ลังเลเลยงั้นสินะ”
“เจ้านั่นไม่ใช่กระทั่งมนุษย์เลยนะคะ…”
“เราแทบไม่รู้อะไรเลยว่าอีกโลกนั่นมันส่งผลอะไรกับมนุษย์บ้าง ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยซักนิดเหรอ? เธอต้องฉุกใจคิดแน่ว่าอย่างน้อยมันก็เกี่ยวอะไรกับซัทสึกิตัวจริงบ้าง จริงมั้ย? เธอคิดแบบนั้น แต่ก็จงใจปล่อยความคิดนั่นทิ้งไป ไม่ใช่ว่าเธอแค่ช่างมัน ไม่แยแสเรื่องของคนอื่นเลยงั้นสิ เธอไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นเลยนอกจากเรื่องของตัวเอง ฉันพูดถูกมั้ย?”
“โคซากุระ…”
“เงียบ โทริโกะ”
โทริโกะย่นคิ้วจนเป็นเส้นโค้ง ก่อนจะถูกตัดบทในทันที ฉันรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นนะ แต่พอโดนพูดกดอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ มันก็ชักทำให้ฉันมีน้ำโหขึ้นมา แล้วก็ไม่ชอบใจเลยเหมือนกัน เรื่องที่โทริโกะกับคุณโคซากุระคุยกันเรื่องของคุณซัทสึกิตอนที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วยน่ะ
ฉันกระดกเบียร์ในแก้วของตัวเองเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะกระแทกแก้วเปล่าลงกับโต๊ะ แล้วก็พูดกดดันออกไปบ้าง
“ถ้าจะพูดถึงขนาดนั้น! ฉันก็มีคำถามของฉันเองเหมือนกันค่ะ!”
“โห? นี่อะไรล่ะเนี่ย? เธอคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะมาโมโหฉันด้วยเหรอตอนนี้น่ะ?”
“สงสัยมาตลอดเลยค่ะ ตกลงคุณโคซากุระนี่เป็นใครกันแน่คะ? เป็นนักปริชานศาสตร์? จริงๆ น่ะเหรอคะ? คุณอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวันเลย ทำงานอะไรกันแน่? ดูยังไงก็ไม่มีทางแก่พอจะเป็นศาสตราจารย์ด้วย ขนาดฉันยังรู้เลยว่าตำแหน่งนักวิจัยมันไม่ได้ทำเงินได้มากขนาดนั้น แล้วคุณทำมาหาเลี้ยงตัวเองยังไงกันน่ะคะ? ไหนจะเรื่องล้านนึงนั่นอีก ไปเอามาจากไหนกันน่ะ?”
“…หมายถึง เงินที่ฉันให้เธอน่ะนะ?”
“ใช่เลยค่ะ! อย่าบอกนะว่า เงินจากยากูซ่าเหรอคะ? เพราะแบบนั้นน่ะเหรอ คุณถึงได้เข้าถึงปืนได้ง่ายขนาดนั้นน่ะ!?”
พอฉันใช้สายตาหวาดระแวงมองไปที่คุณโคซากุระ เธอก็ทำท่ากวักเรียกโทริโกะให้เข้ามาโน้มตัวเข้าไปหาเธอใกล้อีกหน่อย ก่อนจะถามออกมา
“โทริโกะ โซราโอะจังเป็นพวกเมาแล้วอาละวาดเหรอ?”
“ไม่คิดว่าเธอเป็นพวกคออ่อนหรอกนะคะ ฉันว่าเธอน่าจะขึ้นเพราะโมโหมากกว่า”
“กระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ 2 คนน่ะคะ!?”
“นี่น่ะเหรอ? ก็กระซิบกันแบบละครเวทีไงล่ะ”
คุณโคซากุระตอบมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนิดหน่อย ก่อนจะคีบเห็ดออรินจิที่มุมตะแกรงย่างเข้าปาก
“แล้วเรื่องคำถามที่สอดรู้สอดเห็นของเธอนั่นน่ะ มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเธอซักหน่อย… ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่เอาเถอะ ก็เข้าใจความสงสัยของเธอนั่นอยู่นะ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เงินของพวกยากูซ่าแน่นอน วางใจได้เลย”
“ถ้างั้น แล้วมาจากไหนกันล่ะคะ?”
สายตาของคุณโคซากุระเหลือบขึ้น เหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
“มีองค์กรภาคเอกชนที่คอยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับอีกโลกนึงอยู่ล่ะนะ ฉันเป็นสมาชิกขององค์กรนั้น แล้วก็ได้เงินทุนมาจากตรงนั้นนั่นแหละ”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงค่อยๆ อย่างระมัดระวัง
“เอ๋!? เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะเรื่องนั้น!”
โทริโกะตกใจจนตาโตเลย ฉันเองก็เหมือนกัน
“อะไรกันน่ะ? ทำไมไม่บอกเรื่องแบบนี้ให้มันเร็วกว่านี้ล่ะคะ!?”
“จำเป็นต้องบอกด้วยเหรอ? ฉันก็แค่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเฉพาะทางกับนักวิจัยคนอื่นที่นั่นเท่านั้นเอง โทริโกะแค่จะหาตัวซัทสึกิ ส่วนโซราโอะจังก็มาเอี่ยวเพราะเรื่องเงินใช่มั้ยล่ะ?”
“อย่าพูดเรื่องของฉันให้มันดูแย่แบบนั้นได้มั้ยคะ?”
“ฉันว่าเธอควรห่วงเรื่องอื่นมากกว่าแค่ว่ามันดูไม่ดีจะดีกว่านะ”
อย่างเรื่องอะไรล่ะคะ? ฉันคิดแบบนั้น แต่แล้วโทริโกะก็โน้มตัวข้ามโต๊ะไป
“หรือว่าบางที ซัทสึกิเองก็เป็นสมาชิกเหมือนกันงั้นเหรอ?”
“ก็ซัทสึกินั่นแหละที่ลากฉันไปเข้าที่นั่นด้วยน่ะ ตลกดีที่ตอนนี้ กลายเป็นฉันนี่แหละที่เข้าไปอยู่แทนเธอที่จู่ๆ ก็หายไปน่ะ”
คุณโคซากุระพูดออกมาอย่างโมโห แล้วก็คีบเนื้อย่างคาลบีแผ่นบางเกรียมบนตะแกรงย่างไป เหมือนกับว่าโทริโกะอยากจะพูดอะไรซักอย่างนะ แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ ก่อนจะเหลือบตาลงต่ำแบบเศร้าๆ
บรรยากาศตรงนี้มันชักจะกร่อยๆ แล้วสิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็คงไม่ดีแน่ ฉันเห็นยังงั้นก็ถอนหายใจออกมา
“…จะสั่งเนื้อเพิ่มกันมั้ยคะ?”
ฉันลองถามคุณโคซากุระดู
““เอา(สิ!)””
ตอบกันมาทั้งคู่เลย พร้อมกันอีกต่างหาก
ฉันไม่ได้ถามเธอซักหน่อยนะ โทริโกะ
ถึงจะเตรียมใจไว้แล้วก็เถอะ แต่พอใบเสร็จออกมาจริงๆ แล้วเนี่ย ทำเอาสร่างเมาทันทีเลยแฮะ พวกเราช่วยกันจ่ายคนละครึ่งแล้ว แต่โทริโกะก็ยังเดินยิ้มหร้าโยกซ้ายโยกขวาอยู่เลย โอ้ย เกลียดยัยนี่จริงๆ เลย ให้ตายสิ
ฉันขึ้นรถไฟสายไซเคียวเพื่อกลับบ้าน โทริโกะขึ้นสายยามาโนเตะ ส่วนคุณโคซากุระก็ขึ้นสายเซย์บุ อิเคบุคุโระ โทริโกะบอกว่าจะเดินตามไปส่งคุณโคซากุระที่เครื่องตรวจตั๋วก่อน ฉันก็เลยลงเอยเดินตามไปด้วยเท่านั้นเอง
พอพวกเราเดินฝ่าฝูงชนในสถานีอิเคบุคุโระ พอมาถึงเครื่องตรวจตั๋วที่ชั้น 1 ของรถไฟสายเซย์บุ จู่ๆ คุณโคซากุระก็พูดขึ้นมา
“โซราโอะจัง คืนนี้น่ะ จะไม่มานอนค้างที่บ้านฉันหน่อยเหรอ?”
“เอ๋? ไม่หรอกค่ะ แต่ว่า ทำไมล่ะคะ?”
“ฉันไม่อยากกลับบ้านคนเดียวน่ะสิ”
พอเธอพูดออกมาแบบอารมณ์เสียแบบนั้น แถมมองมาที่ฉันด้วยสายตาเหลือกขึ้นด้วย เห็นแบบนั้นฉันก็งงๆ นิดหน่อย
“ไปค้างคืนที่มังงะคาเฟ่หรืออะไรแบบนั้นก็ได้นี่คะ?”
“เปล่า ฉันหมายถึงฉันไม่อยากอยู่คนเดียวต่างหาก”
“…?”
ฉันเอียงคออย่างสงสัย พอทำแบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้คุณโคซากุระกระวนกระวายเข้าไปใหญ่ ก่อนที่เธอจะตะโกนขึ้นมา
“ฉันกลัว! ที่ต้องอยู่คนเดียวไง!”
“ทำไมต้องโมโหด้วยล่ะคะ?”
“ฉันไม่ได้โมโห! เข้าใจกันบ้างสิ! ถ้าเกิดมนุษย์ป้า 3 คนนั้นโผล่มาอีกจะให้ฉันทำยังไงเล่า!?”
“ก็ เอาลูกซองเป่าให้กระเด็นมั้งคะ?”
“ยัยคนไร้หัวใจ!”
คุณโคซากุระชี้นิ้วมาที่ฉันอย่างเดือดดาลเลย
ฉันเองก็ชักจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน แต่โทริโกะก็โน้มตัวเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“อยากให้ฉันไปด้วยมั้ย?”
ทั้งๆ ที่โทริโกะก็ใจดีด้วยแท้ๆ แต่คุณโคซากุระก็ส่ายหัวเลย
“เธอน่ะเหรอ ไม่เอาล่ะ”
“ไหงงั้น!?”
ฉัยพยายามจะข่มอารมณ์ที่โกรธคุณโคซากุระลงไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ฉันพอจะทำได้
“พวกเราเพิ่งวางแผนกันเองไม่ใช่เหรอคะ? ฉันกับโทริโกะจะไปหาพรุ่งนี้ ปรึกษากันเรื่องการเดินทางสำรวจครั้งต่อไปของพวกเรา ก็ ขอแค่อย่าเผลอยิงพวกเราก็พอนะคะ”
“ถ้ากลัวก็โทรมาหาฉันได้ตลอดเลยนะ!”
“ชิ… เอาอีกแล้ว ทำยังกับว่าฉันเป็นเด็กงั้นแหละ”
คุณโคซากุระเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ แล้วก็หันหลังไป พอเธอเดินตรงไปที่เครื่องตรวจตั๋ว โทริโกะก็ตะโกนไล่หลังไป
“เนื้ออร่อยใช่มั้ยหล้า!”
“…ขอบใจที่เลี้ยงนะ”
คุณโคซากุระโบกมือกลับมาให้อย่างอ่อนแรง แล้วไม่นาน เธอก็ถูกกลืนเข้าไปในฝูงชนแล้ว
ฉันเหลือบสายตามองไปที่โทริโกะที่อยู่ข้างๆ ที่กำลังมองส่งคุณโคซากุระอยู่ด้วยสายตาเป็นห่วง
“โทริโกะนี่ เป็นคนดีเหมือนกันนะ รู้หรือเปล่า?”
“จริงเหรอ? ฮิฮิ เขินนะ”
โทริโกะยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจ แต่แล้ว เธอก็พูดเสริมมาหลังจากคิดไปซักพัก
“แต่ฉันว่า โคซากุระนั่นแหละที่ใจดีที่สุดแล้วล่ะ”
TN: saveโคซากุระ