ตอนที่ 38 แผนช่วยเหลือทหารอเมริกันในสถานีคิซารากิ

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

วันรุ่งขึ้น วันเสาร์ 11 โมง ฉันก็มาที่บ้านของคุณโคซากุระที่สถานีสวนสาธารณะชาคุจิอิตามที่นัดกันเอาไว้ ฉันกดกริ่งที่หน้าประตูบ้าน แล้วก็ยืนรอการตอบรับ

ประตูบานนี้ที่โดนป้าตัวใหญ่ 3 คนรุมย่ำยีไปหนักเลย แต่ตัวบานก็ยังติดอยู่เป็นชิ้นเดียวนะเนี่ย ลูกบิดประตูเองก็ไม่ได้มีเสียงฝืดก๊อกแก๊กเลยด้วยซ้ำ กลับกัน ตัวผิวไม้ หรือแม้แต่ชิ้นส่วนโลหะแข็งๆ เนี่ย มีรอบขูดขีดบางๆ อยู่เต็มไปหมด ยังกับว่ามันโดนอะไรซักอย่างข่วนใส่ไปทั่วเลย นี่ใช่มือของมนุษย์เหรอ? หรือว่า,มันจะเป็นเท้าสัตว์กันล่ะเนี่ย? ระหว่างที่ฉันกำลังคิดเรื่องของความไม่เข้ากันของปรากฏการณ์ที่พวกเราเจอมากับร่องรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้อยู่ ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหาที่ประตูหน้าจากข้างในบ้านแล้ว

พอประตูเปิดออกก็มีหัวโผล่ออกมา โทริโกะนั่นเอง เธอเองก็มาที่นี่ในเสื้อผ้าเนื้อบางสำหรับเดินทางออกสำรวจเหมือนกับฉันเลย กางเกงลายพราง กับเสื้อแขนยาวบางสีดำ ผมสีทองที่ไหลลงมาตามไหล่ของเธอดูเข้ากับชุดสีดำนี่สุดๆ เลย

 

“นึกว่ามนุษย์ป้า 3 คนที่ได้ยินบ่อยๆ พวกนั้นจะมานะเนี่ย”

“รออีกหลายปี เดี๋ยวก็มีป้าคนนึงอยู่ที่นี่แล้วล่ะ”

“อะฮ่าฮ่า ถ้ารวมฉันด้วยก็เป็น 2 คนแล้วนี่”

 

ฉันถอดรองเท้าออก ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านของคุณโคซากุระ ตรงโถงทางเดินในบ้านที่จะปิดไฟมืดอยู่ตลอด ตอนนี้เปลี่ยนมาเปิดเอาไว้แทนแล้ว จนสังเกตเห็นฝุ่นตามเหลี่ยมมุมเด่นออกมาเลย

 

“เธอบอกว่า ตอนนี้เธอกลัวความมืดน่ะ”

 

โทริโกะตอบก่อนที่ฉันจะทันได้ถามซะอีก

 

“จะหลับตอนกลางคืนก็ต้องใช้ยานอนหลับด้วย น่าเป็นห่วงจัง”

“…งั้นเหรอ?”

 

เพราะฉันเองก็เป็นคนลากมาให้เธอมายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย รู้สึกผิดระดับนึงเลยแฮะ ถ้าเธอแค่กลัวเฉยๆ ฉันก็คงไม่ได้สนใจขนาดนั้นหรอก แต่พอมันยังมีผลกระทบแย่ๆ เกิดตามมาจริงๆ แบบนี้แล้ว นี่แหละปัญหาล่ะ

ประตูบานซ้ายตรงปลายสุดทางเดินที่เปิดไปที่ห้องของคุณโคซากุระ มีแสงทะลุออกมาจากประตูบานทางขวาด้วย ฉันก็เลยเห็นห้องครัวผสมห้องทานอาหารอยู่ตรงนั้น มีโต๊ะไม้อัดเบิร์ชหนาธรรมดาตัวนึง กับเก้าอี้ 4 ตัว ข้างๆ ตู้เย็นที่ใหญ่สุดๆ สำหรับผู้หญิงที่อยู่ที่นี่คนเดียวก็มีกองถุงขยะที่มีขวดโคล่าพลาสติกอัดอยู่เต็มเลย

ห้องของคุณโคซากุระไม่ได้ต่างไปจากครั้งก่อนที่ฉันมาเท่าไหร่ ถ้าเกิดมีอะไรต่างไปล่ะก็ ก็คงเป็นปืนลูกซองที่เอาออกมาวางโชว์หลาอยู่ข้างโต๊ะเธอล่ะมั้ง น่าแปลกตรงที่ว่าห้องนี้เป็นห้องเดียวเลยที่ปิดไฟเอาไว้ แสงเดียวที่สว่างในห้องนี้ก็คือแสงจากจอภาพหลายๆ จอเท่านั้นเอง

พอฉันเห็นคุณโคซากุระนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ตัวสูง ล้อมรอบด้วยกองหอคอยหนังสืออยู่แบบนั้น ฉันก็รู้สึกว่าจะเข้าใจแล้ว เรื่องที่ว่าทำไมเธอถึงไม่ได้เปิดไฟห้องนี้อยู่ห้องเดียว นี่คือรังที่เธออยู่แล้วสบาย ฐานลับที่คับแคบมืดทึมนี่แหละ ที่ที่เธอสามารถรู้สึกสบายใจได้

 

“คุณโคซากุระคะ ประตูข้างหน้า―”

“ฉันรู้แล้ว สั่งมาเปลี่ยนแล้ว”

 

สายตาที่เธอจ้องกลับมาสื่อว่า ไม่ต้องพูดอะไรถึงเรื่องนั้นเลยนะ แต่ฉันก็ทำเป็นไม่ทันสังเกตแล้วก็พูดต่อ

 

“นั่นน่ะ ดูแล้วเนี่ย คุณว่านี่มันเป็นฝีมือของทานุกิจริงๆ หรือเปล่าคะ?”

 

ดูเหมือนฉันจะฉวยจังหวะทีเผลอได้นะ เธอกระพริบตาปริบๆ เลย

 

“…หา?”

“อะไรๆ ก็ดูเข้าเค้าหมดเลยนะคะถ้าคิดแบบนั้น ว่ามั้ยคะ?”

“อุบ!”

 

คุณโคซากุระหลุดขำออกมา ก่อนจะส่ายหัวนิดๆ

 

“พูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย ยัยเด็กติงต๊อง…? เรื่องนั้นน่ะพอเถอะ มากลับเข้าเรื่องเลยดีกว่า”

 

เธอพูดแบบนั้นก่อนจะหันตัวมาหาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนว่าสายตาของเธอจะดูอ่อนโยนขึ้นมานิดนึงนะ จากเมื่อกี้

 

“ถ้าอยากจะไปโลกเบื้องหลังกัน พวกเธอจะไปก็ไปเถอะ แต่ฉันจะไม่มีทางไปที่นั่นกับพวกเธออีกเด็ดขาด เข้าใจแล้วนะ?”

“ค่ะ นั่นสินะคะ เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ฉันหันไปมองที่โทริโกะ แล้วพวกเราก็พยักหน้าให้กัน

 

“พวกเรามาที่นี่วันนี้ ก็จะปรึกษากับคุณเรื่องการเดินทางสำรวจครั้งต่อไป―แผนช่วยเหลือทหารอเมริกันในสถานีคิซารากิค่ะ”

 

ฉันขยับทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ หน้าโซฟาออกไป ก่อนจะกางกระดาษที่ฉันเอามาด้วยออกมา

 

“ฉันคิดว่าคงได้เวลาที่เราต้องมีแผนที่กันแล้ว”

 

คำพูดของฉันที่พูดกับคน 2 คนนั้นที่มองฉันอยู่ อาจจะฟังดูเป็นคำอ้างนู่นอ้างนี่นิดนึงนะ

บบนกระดาษก็คือแผนที่วาดมือของโลกเบื้องหลังที่ฉันลองวาดบนกระดาษเอ 3 ที่มหาลัยด้วยปากกาเมจิค แต่นอกนั้นแล้ว พอมองด้วยแสงนวลๆ จากโคมไฟสำหรับอ่านหนังสือข้างเตียงแบบนี้แล้ว มันรู้สึกเหมือนแผนที่ซักอย่างในอาณาจักรเวทมนตร์ที่จะมีอยู่ในนิทานยังไงไม่รู้ เขินๆ เหมือนกันแฮะที่โยงไปถึงเรื่องแบบนั้นได้

แต่ก็นะ ที่อยู่บนแผนที่นี่มันไม่ได้มีอะไรน่ารักๆ อยู่หรอก มีทุ่งหญ้าที่มีกลิตช์เต็มไปหมดกับท่านฮัชชาคุเดินป้วนเปี้ยน, หนองน้ำที่มีพวกคุเนะคุเนะโผล่ออกมา, เมืองร้างที่มีคุณลุงในห้วงมิติกับพวกต้นไม้ต้นเท่าคน… ขนาดเป็นแค่ที่ที่เรารู้แล้วก็ยังอันตรายขนาดนั้นเลย

โทริโกะทัดผมไปหลังหูแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา พอเราสบตากัน เธอก็ยิ้มกว้างเลย

 

“ยังกับแผนที่สมบัติเลยนะ!”

“…คิดงั้นเหมือนกันเหรอ?”

 

ฉันพูดแบบนั้น แล้วโทริโกะก็พยักหน้าให้ด้วยสายตาที่เปล่งประกายเลย

 

“พวกเธอ 2 คนเป็นอะไรกันเนี่ย?”

 

คุณโคซากุระเอนหลังกลับไปเหมือนกับว่าเธอจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็โน้มตัวเข้ามา ชี้ไปที่ตรงกลางแผนที่

 

“นี่คือโครงตึกที่เชื่อมกับที่จิมโบโจค่ะ ถ้าใช้คำของพวกกองกำลังสหรัฐมาใช้ นี่ก็คือเอนทรีพ็อยต์ของพวกเรา แต่มันยาวไปหน่อย ฉันจะเรียกมันว่าเกทแล้วกันนะคะ ตรงที่กา X เอาไว้ทางตะวันออกคือเกทที่โอมิยะที่ฉันใช้ก่อนหน้านี้ ภูมิประเทศของโลกเบื้องหลังไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกับโลกเบื้องหน้าเลย แต่ฉันรู้สึกว่ามันพอจะมีแลนด์มาร์คที่เป็นชิ้นเป็นอันได้ประมาณนึง โดยเฉพาะเกทที่ดูจะมั่นคงเป็นพิเศษเลย ขนาดฉันไม่ใช่เกทที่โอมิยะแล้ว ก็ยังมีร่องรอยเหลืออยู่ที่โลกเบื้องหลังอยู่เลยค่ะ”

“อันที่โอมิยะนี่คืออันที่ใช้ไม่ได้แล้วสินะ?”

“อื้อ ถึงได้กากบาทไปเลยไง ทั้ง 2 คนเคยไปโลกเบื้องหลังมาบ่อยกว่าฉันอีก ฉันก็เลยคิดว่าน่าจะรู้อะไรมากกว่าที่ฉันด้วย เพราะงั้น ถ้าช่วยเสริมข้อมูลอะไรลงไปได้ก็น่าจะดี คิดว่าไงคะ?”

 

พอไม่มีคำตอบอะไรกลับมา ฉันก็เลยเงยหน้าขึ้นมามอง ก็เห็นว่าทั้ง 2 คนจ้องไปที่แผนที่อันนั้น สีหน้าดูมีอารมณ์แฝงอยู่เพราะอะไรซักอย่าง

 

“โทริโกะ?”

“อ๊ะ! เออ โทษทีนะ ฉันแค่คิดน่ะว่า… ซัทสึกิเองก็ทำแผนที่แบบนี้เหมือนกัน”

“วาดอยู่แต่ในสมุดของเธอนี่เนอะ… ทั้งที่บอกไปแล้วว่าน่าจะวาดในกระดาษแผ่นใหญ่ๆ หน่อยแท้ๆ”

“พักเรื่องรำลึกความหลังไว้ก่อนนะคะ”

 

ฉันพูดตัดบทซะก่อน

 

“เดี๋ยวนะ โทริโกะ ถ้าเรามีแผนที่อยู่แล้ว งั้นทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะ?”

“ไม่มีแล้วล่ะ มันอยู่ที่ซัทสึกิน่ะสิ”

“เอาไปน-… อ้อ หมายถึงหายไปกับเจ้าตัวเหรอ โอเค”

 

พอฉันรวบคำพูดออกมาห้วนๆ แบบนั้น ก็โดนสีหน้าไม่พอใจจากทั้งคู่กลับมาเลย ไม่ใช่ปัญหาของฉันซักหน่อยนี่ ฉันว่าจากนี้จะเมินแล้วนะตอนไหนที่พวกเธออ่อนไหวประเด็นเรื่องของคุณซัทสึกิน่ะ

ฉันยื่นปากกาเมจิคไปให้ โทริโกะกับคุณโคซากุระก็เอื้อมมาที่แผนที่ ถอนหายใจเฮือก แล้วก็ผลัดกันเขียนเติมรายละเอียดลงไป มีพวกตึกเยอะๆ อยู่ทางตะวันตกของโครงตึก แล้วก็เส้นทางที่นำไปที่แนวเทือกเขาทางเหนือ ตัดผ่านเมืองร้างไป มีอะไรซักอย่างที่เหมือนท่อส่งน้ำทางใต้ของหนองน้ำที่อยู่ในทิศตะวันตก แต่ถึงฉันก็คาดหวังไว้เยอะ แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลใหม่อะไรมากขนาดนั้น

 

“แค่นี้เองเหรอ? ถึงจะไม่นับเรื่องคุณโคซากุระก็เถอะ แต่ว่า โทริโกะ เธอไปที่นั่นมาเป็น 10 ครั้งเลยไม่ใช่เหรอ?”

 

โทริโกะตอบกลับด้วบการยักไหล่

 

“ตอนที่ฉันเริ่มแรกๆ ก็เป็นซัทสึกิน่ะที่พาไป แล้วพวกเราก็ค่อยๆ ขยายพื้นที่สำรวจออกไปหลังจากมั่นใจแล้วว่าปลอดภัย พอซัทสึกิหายไปแล้ว ฉันก็ลองยื่นขาแหย่ออกไปไกลกว่าเดิมอีกหน่อย แต่แป๊บเดียว ฉันก็เจอเธอซะก่อน หลังจากนั้น เธอก็รู้อยู่แล้วล่ะนะ”

“อ่าว ถ้างั้น เธอก็รู้ไม่ได้ต่างจากฉันเลยงั้นสิเนี่ย”

“ว่ายังงั้นยังงี้ก็เถอะ แต่ว่าเธอน่ะกล้ากว่าฉันซะอีกนะ โซราโอะ ตอนแรกที่ฉันเจอเธอ เธอก็เกือบตายแล้วนี่”

“ไม่รู้สิ แบบนั้นจะเรียกว่าใจกล้ามันก็…”

“โซราโอะจัง เธอจะบอกว่า ตรงนี้คือสถานีคิซารากิงั้นเหรอ?”

 

คุณโคซากุระชี้ไปที่สี่เหลี่ยมที่วาดเอาไว้ตรงทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแผนที่

 

“ฉันไม่รู้ตำแหน่งเป๊ะๆ ก็เลยแค่วาดเอาไว้ตรงมุมตรงนั้นน่ะค่ะ”

“ผ่านมาจากตอนนั้นเกือบครึ่งเดือนแล้วสินะ พวกนาวิกคงใกล้ถึงขีดจำกัดกันแล้วล่ะตอนนี้”

 

โทริโกะพูดออกมาอย่างเป็นกังวล ฉันก็พยักหน้าให้ก่อนจะพูดต่อ

 

“เพราะแบบนั้นแหละ… ถ้าเกิดเราจะไปช่วยพวกเขา นี่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว”

 

ผู้รอดชีวิตจากกองพันเพลฮอร์ส กองกำลังสหรัฐที่หลงเข้ามาในโลกเบื้องหลังระหว่างการฝึกซ้อมในโอกินาว่า ตอนที่เจอกับพวกเรา พวกเขาก็อ่อนล้ากันมากแล้วนะ พวกเขาจะถูกกวาดเรียบยกกองเมื่อไหร่ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว

คุณโคซากุระเลิกคิ้วขึ้นมาข้างนึงอย่างสงสัย

 

“อารมณ์ไหนล่ะเนี่ย? ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้นะ โซราโอะจัง แต่ฉันไม่เห็นว่าเธอจะเป็นคนที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยกลุ่มคนแปลกหน้าเลยน่ะสิ”

“ฉันเป็นคนพูดเองแหละว่าเราน่าจะไปช่วยพวกเขาน่ะ”

 

โทริโกะยกมือขึ้นพูด

 

“ฉันหมายถึง แน่ล่ะว่าฉันเองก็ไม่ได้ไว้ใจพวกเขาเหมือนกัน แต่จะปล่อยพวกเขาทิ้งเอาไว้ในที่แบบนั้นก็ไม่ได้นี่นา”

 

เสียงของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ฮึกเหิม

 

“ยังงี้เอง… ถ้าเกิดว่ามีตาของโซราโอะจัง ก็สามารถนำทางพวกเขาผ่านกลิตช์ไปได้ แล้วก็ไปที่เกทที่พวกเธอผ่านเข้ามางั้นสินะ”

“ค่ะ ถ้าพวกเราทำได้ขนาดนั้น เราก็น่าจะสามารถใช้มือของโทริโกะเพื่อพาทุกคนกลับมาที่โลกเบื้องหน้าได้เหมือนกัน”

“ก็นะ อาจจะเป็นไปได้ แต่คนที่พวกเธอกำลังจะคุยด้วยเนี่ยคือทหารนะ แล้วก็เป็นทหารต่างชาติด้วย ถ้าพวกเราจะเชื่อคำของร้อยโทเดรคที่พวกเธอพูดถึงล่ะก็ พวกเขาก็เป็นหน่วยลับที่ไม่เปิดเผยสู่สาธารณะด้วย ต่อให้พวกเราจะส่งพวกเขากลับไปที่โอกินาว่าได้ ก็เป็นไปได้มากเลยนะว่าเรื่องนี้มันจะลากเอาปัญหามาพัวพันกับพวกเราได้ด้วย”

“นี่ เธอจะบอกว่า ปล่อยให้พวกเขาตายไปเลยมันจะดีกว่างั้นเหรอ?”

“ก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอดเลยนี่นะ”

 

คุณโคซากุระพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันมาหาฉัน

 

“แล้วเธอก็ยังบ้าจี้ตามยัยนี่ไปด้วยนะ โซราโอะจัง…”

“ว่าตามตรง ฉันก็มีอีกเป้าหมายนึงที่นั่นเหมือนกันค่ะ”

“อะไรล่ะ?”

“ปืนค่ะ ฉันอยากได้ปืนใหม่”

“…เพราะ?”

“ช่วงหลัง ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะกับการต้องเจอกับพวกตัวประหลาดพวกนั้นโดยที่ตัวเองไม่มีอะไรเลยนอกจากมาคารอฟกระบอกเดียวเอง คุณก็อาจจะพอเดาได้อยู่แล้ว ตอนที่ฉันได้ลองใช้ไรเฟิลหรือลูกซอง ฉันว่ามันแรงดีนะคะ ก็เลยคิดว่า ถ้าทางกองกำลังสหรัฐแบ่งปืนกับกระสุนให้เราซักหน่อยก็คงดี”

 

คุณโคซากุระจ้องไปที่โทริโกะ

 

“นี่ก็ข้อเสนอเธอด้วยเหรอเนี่ย?”

“เปล่านะ ฉันมี AK อยู่แล้วนี่”

“โอ๊ะ หรือว่าคุณมีปืนกระบอกอื่นซ่อนไว้อีกเหรอคะ คุณโคซากุระ?”

“หือ ไม่มีแล้วล่ะ”

“เธอล่ะ โทริโกะ?”

“ตอนที่ไปโลกเบื้องหลังกับซัทสึกิ พวกเราจะซ่อนปืนที่เจอเอาไว้ที่นั่นนะ… แต่จะนำทางเธอกลับไปที่เดิมได้มั้ยเนี่ย ไม่มั่นใจเลยล่ะ”

“เพราะงั้น มันก็หมายความว่าฉันต้องขอมาจากกองกำลังสหรัฐเท่านั้นเลยงั้นสินะคะ”

 

คุณโคซากุระมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก ก่อนจะพูดออกมาเหมือนกับว่ายอมแพ้กับเรื่องนี้แล้ว

 

“…ฉันจะอวยพรขอให้พวกเธอไม่โดนยิงตายก่อนแล้วกันนะ”

“ฉันก็อยู่กับเธอนี่ ไม่เป็นไรแน่นอน”

 

โทริโกะพูดขึ้นมาแบบไม่มีหลักประกันอะไรเลยซักอย่าง แต่ก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้นได้อยู่ดีนะ

 

“แต่ว่า แล้วพวกเธอตั้งใจจะไปที่นั่นยังไงเนี่ย? พวกเธอไม่เจอเกทที่เชื่อมอยู่ใกล้ๆ กับสถานีคิซารากิไม่ใช่เหรอ?”

 

ประเด็นปัญหาที่สมเหตุสมผลถูกยกขึ้นมาแล้ว แต่เรื่องนั้น ฉันมีความคิดนึงเตรียมเอาไว้แล้วล่ะ

 

TN: 2 สาวผู้ไม่สามารถมูฟออนได้…