ตอนที่ 39 แผนช่วยเหลือทหารอเมริกันในสถานีคิซารากิ

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

ตอนนี้ วันเสาร์ในชินจุกุ ก็มีผู้หญิง 2 คนที่แต่งตัวเหมือนกับจะไปเล่นเซอร์ไววอลเกมที่ไหน เดินมากับผู้หญิงที่ดูเหมือนเด็กมอต้นเก็บตัว อยู่ท่ามกลางฝูงชน มองตามความเป็นจริงแล้วเนี่ย พวกเราต้องดูเป็นแบบนั้นแหงๆ ขนาดตอนที่พวกเราเดินเข้าร้านอาหารในช่วงเวลามื้อกลางวันจนนั่งที่กันแล้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์ของคุณโคซากุระก็ยังไม่จางหายไปไหนเลย

 

“ไม่เคยคิดเลยนะว่านี่ฉันจะต้องถ่อมาถึงชินจุกุนี่ แค่เพื่อจะมากินมื้อเที่ยงน่ะ”

 

เธอพูดออกมาแบบนั้น

 

“นี่ ก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา นานๆ ทีเอง? จะสั่งอะไรดีล่ะ?”

“ซาบะมิโซะ”

“ฉันเอาอาหารชุดหมูผัดขิงละกัน เธอล่ะ โซราโอะ?”

“ฮะ? อ่า เอาคาราเกะก็ได้?”

 

ฉันตอบไประหว่างที่ยังคิดอะไรเพลินๆ ระหว่างที่มองไปรอบๆ ร้าน ที่นี่เปิดขายช่วงมื้อกลางวันด้วย แถมคนก็เต็มร้านแทบทุกที่นั่งเลย ถึงจะรู้สึกต่างจากตอนกลางคืนเยอะเลยก็เถอะ แต่ก็เป็นร้านเดียวกับที่เราเคยมาก่อนหน้านี้ไม่ผิดแน่

ร้านเหล้าที่ฉันกับโทริโกะมางานเลี้ยงหลังจบการเดินทางเมื่อวันนั้น วันที่เราหลงเดินเข้าไปในโลกเบื้องหลังตอนกลางคืนแบบไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติเลย ไม่มีเสียงเห่าดังมาจากทางห้องครัว พวกพนักงานที่วิ่งวุ่นก็พูดคุย ทำท่าทำทางกันตามปกติ เหมือนคนธรรมดาที่ยังมีสติครบถ้วนดี

 

“พวกเธอคิดจะทำจริงๆ น่ะเหรอ? ที่นี่น่ะนะ?”

 

คุณโคซากุระถามขึ้นอย่างสงสัย

 

“พวกเราจะทำค่ะ ฉันไม่อยากไปที่นั่นตอนกลางคืนอีกรอบด้วย เพราะงั้น ถ้าจะลอง ก็ต้องทำตอนมื้อกลางวันนี่แหละค่ะ”

 

ฉันเปิดถุงซิปล็อกที่ใส่หมวกปีกกว้างของผู้หญิงเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าเป้ของฉัน มันคือวัตถุแปลกปลอมที่ท่านฮัชชาคุทิ้งเอาไว้ ฉันตั้งสมมติฐานว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุของการหลุดเข้าไปในโลกเบื้องหลังด้วยความบังเอิญ เมื่อตอนที่เราไปที่สถานีคิซารากิก็ได้ พวกเรามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อทำตามเงื่อนไขเดิมซ้ำอีกรอบ เพื่อจะเข้าไปในโลกเบื้องหลังให้ได้ตามที่เราตั้งใจ

 

“นี่ โซราโอะ ถ้าเกิดเราจะทำสถานการณ์เดิมเนี่ย ฉันต้องเป็นคนสวมหมวกใบนั้นไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ล่ะ ครั้งนี้ฉันเอง ถ้าไม่ได้ผล ก็ขอฝากเธอด้วยนะ”

 

ฉันตอบไปแบบนั้น พลางจ้องดูถุงซิปล็อกในมือ มันดูเหมือนหมวกที่ถูกพับเอาไว้ ไม่ได้มีอะไรที่ดูผิดปกติเลย แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ก็จะเห็นว่ามีแสงสีเงินอยู่รอบๆ ตัวมันอยู่จริงๆ

ความจริงคือ มันมีเหตุผลอยู่นั่นแหละที่ว่าทำไมฉันถึงบอกว่าฉันจะเป็นคนสวมเอง คุณโคซากุระตรวจสอบหมวกใบนี้ด้วยไกเกอร์เคาน์เตอร์ กับเอาตัวอย่างเส้นใยผ้ามาลองตรวจสอบด้วยวิธีการทางเคมีแล้ว ผลที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่ามันจะไม่มีผลร้ายอะไรกับผู้สวมมันเลยน่ะ เพราะงั้น ก็ให้โทริโกะสวมไปทีนึง แล้วฉันก็สวมอีกทีนึงก็พอ หวังว่าเราจะพอกันทีกับมัน ไม่ต้องเอามันมาใช้อีกแล้วนะ

 

“คุณโคซากุระคะ ถ้าพวกเราเข้าไปในโลกเบื้องหลังได้อีกรอบแบบนี้ ช่วยซื้อหมวกใบนี้จากพวกเราทีได้มั้ยคะ?”

“ต่อให้พวกเธอจะไปได้จริง ก็ไม่ได้ยืนยันแน่นอนซักหน่อยนี่ว่ามันเป็นเพราะหมวกนั่นน่ะ ตัวการอาจจะเป็นที่ประตูทางเข้า หรือตัวร้านเหล้านี่เองก็ได้”

“ถ้าเป็นงั้นจริง ไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนต้องหายไปแล้วหรอกเหรอ?”

“หรือไม่แน่ สาเหตุก็อาจจะเป็นตัวพวกเธอเองก็ได้ บางที เมื่อเข้าไปที่อีกโลกนึงแล้วครั้งนึง มันอาจจะติดตัวมาก็ได้นะ”

 

ประเด็นที่เธอชี้ขึ้นมาแทงใจดำเต็มๆ เลยแฮะ การไปที่โลกเบื้องหลังหลายๆ ครั้ง มันจะเปลี่ยนให้พวกเราถูกดึงดูดเข้าไปหามันได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า? ความคิดแบบนี้เนี่ยไม่ได้แวบเข้ามาในหัวฉันแค่ครั้งหรือ 2 ครั้งนะ แบบ อย่างตอนที่เจอกับคุณลุงในห้วงมิติน่ะ? นั่นเป็นกรณีที่มีการติดต่อมาจากโลกเบื้องหลังอย่างชัดเจนเลย

 

“ก็ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คุณก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับเราขนาดนั้นเลยน่ะสิคะ?”

“หา?”

“งั้น ขั้นแรก ฉันจะขอให้คุณโคซากุระออกจากร้านเหล้านี่ไปก่อนนะคะ แล้วก่อนจะออกจากร้าน ฉันกับโทริโกะจะเอาหมวกมาใช้ ถ้าคุณโคซากุระยังถูกทิ้งอยู่โลกเบื้องหน้าในตอนที่พวกเราเข้าไปที่โลกเบื้องหลังกันได้ล่ะก็ ฉันคิดว่าความเป็นไปได้ที่สาเหตุจะมาจากหมวกใบนี้ก็มีสูงนะคะ”

 

ได้ยินแบบนั้น คุณโคซากุระก็ตาโตเลย

 

“นั่นคือสาเหตุที่เธอพาฉันมานี่งั้นเหรอ? ใช้ฉันเป็นหนูทดลองของพวกธ―”

“ป- เปล่านะคะ! ฉันหมายถึง คุณโคซากุระเป็นคนพูดว่าจะมาเองไม่ใช่เหรอคะ?”

 

ใช่ เพราะหิวไส้กิ่ว คุณโคซากุระก็เลยลำบากตามพวกเรามาถึงชินจุกุนี่เอง คุณอย่าพูดอะไรให้ฉันดูแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยนะขอเถอะ

คุณโคซากุระทำหน้างออย่างไม่พอใจนัก

 

“เอาเถอะ ก็ได้ ถ้าพวกเธอไปโลกเบื้องหลังแล้วกลับมาได้ ฉันจะซื้อเอาไว้ละกัน”

 

เห็นแบบนั้น ฉันก็พยักหน้าอย่างโล่งอก ยังไง ค่ากินค่าอยู่ของฉันก็อยู่ในวิกฤติเลยล่ะนะ

คนแรกที่กินหมดก่อนก็คือคุณโคซากุระ เธอทิ้งผักดองเอาไว้ไม่ยอมแตะเลย ฉันก็เลยไปคีบพวกมันมากินด้วย ในตอนที่ฉันทำแบบนั้น คุณโคซากุระก็ไถเก้าอี้ถอยออกมาลุกขึ้นยืนแล้ว

 

“งั้น ฉันไปก่อนนะ”

“อ้า ไว้เจอกันนะ เอาผักดองของฉันด้วยมั้ย โซราโอะ?”

“เอามาได้เลย”

“เธอชอบผักดองขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ฉันแค่ไม่ชอบให้มีอะไรเหลือในจานเท่านั้นแหละค่ะ”

 

ฉันตอบคุณโคซากุระไปแบบนั้น

 

“โซราโอะเนี่ยเก่งจังเลยนะ กินจนเกลี้ยงได้ตลอดเลย”

 

โทริโกะพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง อันนั้น ฉันถือว่ามันเป็นคำชมอย่างจริงใจได้ใช่มั้ยเนี่ย?

 

“ขากลับ ฉันจะแวะที่โยโดบาชิ เพราะงั้น ถ้าหมวกนั่นใช้ไม่ได้ผลก็ติดต่อกลับมาแล้วกันนะ”

 

TN: โยโดบาชิ คาเมร่า (Yodobashi Camera) เป็นร้านที่มีเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ ที่มีทั้งหมด 21 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2503 แต่ละชั้นจะครอบคลุมสินค้าหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน โทรศัพท์สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เครื่องสื่อสาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความบรรเทิง และอื่น ๆ อีกมากมาย

 

คุณโคซากุระทิ้งแบงก์ 1,000 เยนเอาไว้บนโต๊ะ แล้วก็ออกจากร้านไปคนเดียว

 

TN: สำหรับคนที่อ่านมังงะนะครับ นิยายสั้นท้ายเล่ม 5 “บทคั่น ท้ายที่สุดก็ถึงราตรี” จะเป็นเหตุการณ์ทางฝั่งโคซากุระหลังจากที่เธอออกมาจากร้านแล้ว ยาวไปจนจบไฟล์ที่ 5 เลยครับ

 

“เธอคิดว่า นั่นมันหมายถึงว่าเธออยากให้พวกเราทุกคนกลับด้วยกันหรือเปล่า?”

 

โทริโกะเอียงคอไปข้างๆ แต่เพราะฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ฉันก็เลยงงๆ อยู่

 

“เธอกลัวเกินกว่าจะกลับบ้านคนเดียวไหวงั้นเหรอ? เข้าใจได้นะถ้ามันเป็นตอนกลางคืน แต่นี่มันยังกลางวันแสกๆ อยู่เลยนะ”

“ถ้าไม่ใช่ว่ากลัว ก็คงไม่สบายใจที่ไม่ได้อยู่กับคนซักคนนั่นแหละ”

 

จะใช่เหรอ? ทั้งที่แสดงออกแบบนั้นกับคนอื่นน่ะนะ…?

 

“เอาเถอะ เราเองก็ไปกันเลยมั้ย? โทริโกะ พร้อมนะ?”

“พร้อมแล้ว”

 

ฉันเปิดถุงซิปล็อก ดึงหมวกที่พับไว้ใบนั้นออกมา ค่อยๆ กางมันออกอย่างระวัง แล้วก็สวมมันบนหัวตัวเอง

ทันทีที่ทำแบบนั้น โทริโกะก็ถ่ายรูปฉันเลย

 

“…ทำอะไรของเธอเนี่ย?”

“ก็หายากนี่นาที่โซราโอะจะแต่งตัวแบบนี้น่ะ”

“เข้ากับฉันมั้ย?”

“เออ…”

 

โทริโกะดูลังเลที่จะตอบ ฉันเลยพอจะเดาได้แล้ว ก่อนจะถอดหมวกออก

 

“รู้อะไรมั้ย? ช่างมันเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ”

“อ๊ะ! เปล่านะ ไม่ใช่แบบนั้น จริงๆ ก็เข้าอยู่นะ อือ…”

 

ตอนที่กำลังงึมงำ อึกอักพยายามจะพูดอะไรซักอย่าง ฉันก็เหลือบไปดูที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของโทริโกะ

ในแง่นึง หมวกมันก็ดูเข้ากับฉันอยู่นะ

หมวกปีกกว้างใบใหญ่สีขาวที่อาจจะเข้ากับเด็กสาวมีเงินที่ไปเที่ยวรีสอร์ทในหน้าร้อนท่ามกลางที่ราบสูงที่มีลมพัดแรงอยู่ พอมารวมเข้ากับเสื้อผ้าของฉัน―เสื้อแขนยาวสีกากี กับเสื้อตัวในสีดำ―แล้ว มันก็ให้ภาพเหมือนคุณแม่ที่ออกไปถอนวัชพืชกลางสวนยังไงยังงั้นเลย

 

“อื้อ ฉันว่าก็ดูน่ารักอยู่นะ ยังกับไกด์ซาฟารีเลย”

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้วน่ะ”

 

จะไม่ใส่มันอีกแน่นอน ฉันสลักเรื่องนี้ลงไปในใจ ก่อนจะพับหมวกใบนั้นอย่างแรง ยัดมันกลับลงไปในถุงซิปล็อก

 

“ถอดแล้วเหรอ?”

“ตอนนั้น เธอเองก็ไม่ได้สวมไว้นานเหมือนกันนี่ รีบออกจากที่นี่ก่อนที่ร้านมันจะแปลกไปกันเถอะ”

“โอ้! ดีล่ะ ไปกันเถอะ”

 

ถ้าพวกเราอยากจะทำสถานการณ์ให้เหมือนกับครั้งก่อนจริงๆ ล่ะก็ บางที พวกเราก็ควรจะรอจนกว่านู่นนี่ในร้านจะประหลาดไปซะก่อน แต่ฉันทำใจทำไม่ได้เนี่ยสิ ถ้าเรารออยู่ในร้าน ตรงที่ที่ไม่มีที่ไหนให้หนีจากพวกคนที่เริ่มเสียสติกันเลยเนี่ย มันทำให้ฉันหงุดหงิดมากเลยล่ะ

ฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง แบกกระเป๋าเป้หนักๆ ขึ้นบ่า แล้วก็เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ พอพวกเราเดินออกมา ก็ยังไม่รู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติเป็นพิเศษเลย

ถนนข้างนอกนี่ก็ยังเหมือนเดิม จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ตอนที่เราผ่านเข้าไปที่โลกเบื้องหลัง สัญญาณแรกที่เกิดขึ้นก็คือภาษาที่แปลกไป ฉันได้ยินเสียงบทสนทนาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา เสียงเรียกลูกค้าเข้าร้านในช่วงเวลามื้อกลางวัน แล้วฉันก็เพ่งสมาธิไปที่ตัวอักษรบนป้ายไปด้วย ระหว่างที่เราค่อยๆ เดินกลับไปทางสถานี

 

“โทริโกะ คราวก่อน ตั้งแต่ตอนที่เธอเอาหมวกขึ้นมาสวม จนพวกเรารู้สึกได้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ เนี่ย มันนานแค่ไหนนะ?”

“ฉันสวมมันแทบจะทันทีที่เราไปถึงร้านใช่มั้ยล่ะ? พวกเราก็ดื่มกัน น่าจะซัก 3 ชั่วโมงได้อยู่นะ”

“ถ้านั่นเป็นอีกปัจจัยนึง ก็คงเป็นปัญหาแล้วล่ะ ต้องเดินกลับไปกลับมาท่ามกลางถนนพลุกพล่านแบบนี้อยู่ 3 ชั่วโมงเลยเนี่ย…”

 

ตอนนี้เป็นกลางฤดูร้อน แล้วพวกเราก็แบกอุปกรณ์สำหรับการออกสำรวจอยู่ด้วย ทำให้เรื่องมันยิ่งแย่เข้าไปอีก

 

“…ไม่เปลี่ยนไปเลยเนอะ”

 

โทริโกะพูดขึ้นมาเงียบๆ

 

“นั่นสิ…”

 

ฉันตอบไปพลางลดสายตาลงไปดูที่พื้นยางมะตอย มองตามเท้าของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ความมั่นใจของฉันก็ลดลงไปเรื่อยๆ

 

“ครั้งนี้มันอาจจะไม่ได้ผลก็ได้ โทษทีนะ”

“ไม่หรอก… ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ”

 

ทันใดนั้น ก็มีความตึงเครียดปนอยู่ในน้ำเสียงของโทริโกะด้วย

พอฉันเงยหน้าขึ้นมา จู่ๆ ทุกคนที่อยู่รอบๆ เราก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

“ฮะ?”

 

TN: จะลากโคซากุระไปเจอเรื่องอีกแล้วนะเด็กๆ 555