ฉันงงไปหมดแล้ว รอบตัวตอนนี้มีพวกแท่งเหล็กงอกออกมาจากทางเท้าแบบสุ่มๆ เต็มไปหมด พวกมันยาวประมาณ 50 เซนติเมตรได้ พวกเหล็กเส้นที่ทั้งสนิมขึ้นและบิดงอก็มีเส้นด้ายหลากสีผูกห้อยเอาไว้ด้วย กำลังปลิวไสวไปตามลมที่พัดมาจากที่ไหนซักที่ จนถึงเมื่อกี้นี้ ฉันยังเห็นพวกมันเป็นขาคนอยู่เลยนะ
ถนนเองก็เปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน ประตูกระจกของร้านที่หันหน้ามาที่ถนนมีผ้าม่านสีซีดๆ ไม่ก็สีแดงกับสีขาวคลุมเอาไว้ แล้วก็มีดนตรีเสียงเพี้ยนๆ ดังมาจากข้างในนั้นด้วย มันเป็นเหมือนเสียงคำรามของตัวอะไรซักอย่าง ที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงบรรเลง ยังกับว่ากำลังร้องคาราโอเกะอยู่ พอเสียงนั่นจบลง ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นแบบโมโนโทนด้วย
“โซราโอะ ดูสิ ที่ป้ายน่ะ”
ป้ายของร้านที่ควรจะเป็นร้านเบอร์เกอร์ที่หัวมุม ตอนนี้กลายเป็นอะไรซักอย่างที่อ่านไม่ออกไปแล้ว มันคือปรากฏการณ์การขัดข้องทางภาษางั้นสินะ ฉันคิดแบบนั้น พลางมองดูไปที่อีกฝั่งนึงของประตูกระจก ตอนที่คิดว่าทำไมอีกฝั่งถึงได้มืดขนาดนั้น ทั้งตึกก็กลายเป็นแท็งก์น้ำไป ทั่วทั้งชั้นมีพวกสัตว์ขาข้ออยู่เต็มไปหมด ดูไปก็คล้ายๆ กับกุ้งตัวเท่าแขนคนเลยนะ ฉันเห็นหนวดของพวกมันเด้งขึ้น แล้วก็โบกไปโบกมาด้วย
พวกเราหันมามองหน้ากันพร้อมกัน ก่อนที่โทริโกะจะถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ
“นี่คือ… โลกเบื้องหลังเหรอ?”
“เหมือนจะเป็นอย่างอื่นมากกว่านะ ฉันว่า น่าจะเป็นพื้นที่ที่อยู่ตรงกลางมากกว่า”
“ที่ที่เธอพูดถึงน่ะเหรอ? โลกของคุณลุงน่ะ?”
“…รู้สึกผิดจังที่ใช้ชื่อนั่น”
พวกเราเดินตัดไปที่ถนนที่เปลี่ยนไปนั่น พวกเราเข้าไปที่โลกเบื้องหลังได้ในตอนนั้น ตอนที่พยายามจะเดินไปที่สถานีกัน เพราะงั้น เราก็จะเดินไปทางนั้นอีกครั้งนึง
“นี่เธอทันเห็นตอนที่มันเปลี่ยนไปหรือเปล่า โทริโกะ?”
“ไม่อะ คือ ฉันเห็นคนใส่ชุดตุ๊กตาแปลกๆ พึมพำอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียว แล้วฉันก็รู้สึกว่าเขาตัวสกปรก แถมกลิ่นก็เหม็นด้วย ไม่ชอบใจเลย ความสนใจของฉันก็เลยหันไปที่ทางนั้น พอพวกเราเดินห่างกันออกมาแล้ว ตอนที่ฉันหันกลับมามองข้างหน้าอีกที ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปแล้วน่ะ”
“มีคนใส่ชุดตุ๊กตาด้วยเหรอ?”
“มีสิ ไม่เคยเห็นตัวไหนแปลกขนาดนั้นมาก่อนเลย ยังกับว่ามันจมอยู่ในหนองน้ำมายังไงยังงั้นแหละ”
ฉันอาจจะก้มมองอยู่แต่กับพื้นก็ได้ แต่ถ้าเกิดมีใครเดินมาในชุดแบบนั้น ฉันก็น่าจะยังทันสังเกตเห็นอยู่ดีนะ แต่เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีทางย้อนกลับไปตรวจดูอีกทีแล้วล่ะ
“ไม่เหมือนการใช้ลิฟต์หรือประตูเลยเนอะ วิธีนี้ใช้เวลาพอควรเลย… พื้นที่ตรงระหว่างกลางนี่ก็ไม่น่ามองเลยด้วย อยากจะเดินผ่านไปให้พ้นเร็วๆ จัง”
“อืม แต่ตอนที่เราใช้ลิฟต์ที่จิมโบโจ เราก็เห็นพวกชั้นที่ไม่น่าจะมีอยู่ด้วยนี่นา จริงมั้ย? นั่นก็อาจจะเป็นของอย่างเดียวกันก็ได้นะ?”
“โอ้! จริงด้วย!”
ฉันจำครั้งแรกสุดที่โทริโกะพาฉันขึ้นลิฟต์นั่นได้อยู่ นั่นมันก็สมเหตุสมผลแล้วนะสำหรับฉัน ชั้นมืดๆ นั่นก็อาจจะเป็นส่วนนึงของพื้นที่ตรงระหว่างกลางด้วยก็ได้
“ถึงอาจจะต่างกันว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ข้อเท็จจริงก็คือยังไงเราก็ต้องผ่านพื้นที่นี้ตลอดงั้นสินะ หัวดีมากเลย โทริโกะ”
“จริงเหรอ? เขินนะ”
โทริโกะยิ้มๆ ดูไม่ได้คิดมากกับคำชมนั้น
“ถ้างั้น บางที เราน่าจะลองหาเกทที่ใช้เวลาผ่านที่น้อยที่สุดดูนะ ถ้ามีซักอันอยู่แถวๆ นี้ก็คงดี ฉันไม่อยากจะเอาหมวกนี้ขึ้นมาใส่อีกแล้วด้วย”
“อยากลองหาดูเหรอ?”
“อาจจะดีก็ได้นะ บางทีพวกเราอาจจะเจอซักอันด้วยตาของฉัน… โหว”
ก่อนที่จะทันรู้ตัว พื้นที่รอบตัวเราก็เปลี่ยนไปอีกรอบนึงแล้ว ของที่เราคิดว่าเป็นตึก ตอนนี้ก็กลายเป็นหินสีเทา พื้นดินก็เป็นทางเดินที่ไม่ได้ปูอะไรไว้ มีแต่หญ้าอยู่แน่นเต็มไปหมด
จากที่นั่น ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นเร็วมากเลย ร่องลึก 2 รอยที่เท้าของเราค่อยๆ ถูกกลืนด้วยพื้นหญ้าแน่นหนาไปเรื่อยๆ พอทางเดินหมดลงและพวกเราหยุดเดินกัน ตรงหน้าพวกเรา 2 คนก็ไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากพื้นที่ราบสุดลูกหูลูกตา ข้างหลังก็ด้วยเหมือนกัน พวกเรามาถึงโลกเบื้องหลังแล้วเรียบร้อย
“โห ได้ผลด้วยล่ะ สุดยอดเลย โซราโอะ”
“อือ ดีจังที่ได้ผล-… ชักไม่แน่ใจแล้วแฮะว่าควรจะคิดแบบนั้นหรือเปล่า?”
ฉันไม่ได้แก้ตัวอะไรนะ เรื่องมันพิสดารมากเลย
หญ้าที่เท้าของพวกเราเป็นสีเขียวเข้ม ฉันเคยคิดว่าพื้นที่ราบลุ่มในโลกเบื้องหลังนี่มันจะมีแต่สีแห้งแล้งไปหมดซะอีก เห็นแบบนี้ก็เลยประหลาดใจอยู่บ้าง นี่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลหรือเปล่านะ?
เอาคำถามนั่นออกไปก่อนก็แล้วกัน อย่างแรกที่ฉันต้องทำก็คือถอดคอนแทคเลนส์สีที่ตาขวาของฉันออกก่อน แล้วก็มองดูไปรอบๆ ตรวจเช็คว่าไม่มีภัยอันตรายที่อยู่รอบตัวเราจริงๆ
“ดีล่ะ ดูแล้วพวกเราน่าจะไม่เป็นไรสำหรับตอนนี้ เดี๋ยวฉันคอยดูให้เอง เธอเตรียมตัวได้เลย”
“ฝากด้วยนะ”
โทริโกะปลดเป้ออก แล้วก็ประกอบ AK -101 ที่แยกส่วนเอาไว้เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว เธอรวบผมมัดเอาไว้ข้างหลัง เอาหมวกแก๊ปมาสวม เปลี่ยนมาใส่ถุงมือยุทธวิธีหนังแทน แล้วก็ยกเป้กลับขึ้นมาสะพายอีกรอบ
“เอาล่ะ ตาเธอแล้วนะ โซราโอะ”
โทริโกะหยิบ AK ขึ้นมา แล้วก็ลุกขึ้นยืน รับหน้าที่สังเกตการณ์ต่อจากฉัน ฉันก็หยิบอุปกรณ์ของตัวเองออกมาจากเป้มาสวม มาคารอฟก็ถูกเก็บเข้าไปในซองปืนติดขาอย่างทุกที
“พร้อมแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”
ฉันลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มเคลื่อนไหวต่อทันที ตื่นเต้นจัง รู้สึกเหมือนกับทหารฝีมือดีเลย… แต่พอคิดแบบนั้น มันก็ทำให้ฉันรู้สึกขึ้นมาเลยว่าตัวเองยังอ่อนประสบการณ์ขนาดไหน ฉันก็ยังกลัวถูกพวกตัวประหลาดพุ่งเข้ามาทำร้ายเหมือนก่อนหน้านี้อยู่ดีนั่นแหละ
ทางตะวันออก มีเนินสูงชันอยู่ด้วย มั่นใจเลยล่ะว่าตรงนั้นมีรางรถไฟอยู่แน่ พวกเรารีบเดินตัดผ่านทุ่งหญ้าที่ลู่ไปตามลม พลางเดินเลี่ยงกลิทช์ระหว่างทางไปด้วย
ครั้งนี้ ฉันเอากระเป๋าใส่ตะปูมาด้วย ตอนแรกก็อยากจะเอากระเป๋าใส่เครื่องมือมานะ แบบที่พวกช่างไม้หรือช่างก่อสร้างเขาคาดไว้รอบเอว แล้วก็ใส่พวกตัวน็อตเอาไว้เยอะเลยน่ะ ถึงตาข้างขวาของฉันจะมองเห็นกลิทช์ได้ก็เถอะ แต่กลางแดดแบบนี้ พวกกลิทช์ก็ยังมองเห็นยากอยู่ดี ฉันก็เลยเอาพวกมันมาโยนเช็คด้วย เผื่อเอาไว้ก่อน ฉันอยากจะลองเลียนแบบคุณอาบาระโตะดู คนที่เราเจอตอนที่ไปเผชิญหน้ากับท่านฮัชชาคุน่ะ แต่สำหรับฉันแล้ว มันหนักไปหน่อย แล้วก็ทำให้เดินลำบากด้วย
ตอนที่รีบๆ ฉันก็คงจะเพ่งด้วยตาของฉันเองแทนที่จะมัวแต่ปาของน่าจะดีกว่า บางที นี่อาจจะเป็นความคิดที่เปล่าประโยชน์หมดเลยก็ได้ ถ้าจะทำอะไรซักอย่างเนี่ย ฉันอาจจะต้องพยายามพัฒนาสายตาของตัวเองในเวลากลางวันน่าจะดีกว่านะ
ฉันเดินนำโทริโกะขึ้นไปบนสันเนิน แล้วพอพวกเรามาถึงรางรถไฟ พวกเราก็สูดหายใจลึกๆ กันทีนึง ตอนนี้ พอจุดที่พวกเรายืนอยู่สามารถเห็นทัศนวิสัยได้สูงขึ้นแล้ว ฉันก็มองดูทั่วบริเวณอีกรอบนึง
พื้นที่ราบลุ่มทอดยาวออกไปทั้งทางตะวันตกทั้งตะวันออก บางที อาจจะเพราะเป็นเวลากลางวันก็ได้ ฉันถึงไม่เห็นตัวประหลาดอะไรแบบก่อนหน้านี้เลย ทางตะวันออก มีอะไรไม่รู้กลมๆ กำลังขยับไปพร้อมๆ กันอยู่ไกลลิบๆ นั่น แต่เรื่องที่ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเป็นของอย่างอื่นเนี่ย มันก็ไกลเกินกว่าที่ฉันจะมองออกแล้ว พอมองไปทางทิศเหนือ รางรถไฟก็หายไปในเงาต้นไม้ พวกมันทอดยาวไปทางทิศใต้ ก่อนจะโค้งเลี้ยวไปทางตะวันตก ดูแล้วสถานีคิซารากิน่าจะไปทางนั้นนะ
“ดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหานะ ไปกันเถอะ…”
ฉันพูดแบบนั้นแล้วก็หันหน้ากลับไปหาโทริโกะ พอเห็นว่าเธอจ้องหน้าฉันอยู่ในระยะเกือบไม่ถึงฟุตนึงดีแบบนี้ ก็ช็อคเลย
“…โซราโอะ เธอควรจะทิ้งคอนแทคเลนส์สีนั่นไปจริงๆ นั่นแหละ ตาข้างนี้น่ะสวยมากเลยนะ”
“หา…? พ- พูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย? ไม่มีทาง มันสะดุดตาจะตาย”
“สะดุดตาก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลยนี่”
“เสียหายสิ! ถ้าสวยอย่างโทริโกะก็ว่าไปอย่าง แต่หน้าอย่างฉันเนี่ยนะ ไปมีตา 2 สีแบบนั้นก็มีแต่จะดูเป็นพวกโอตาคุเพี้ยนๆ เท่านั้นแหละ”
“แล้วทำไมไม่ทำให้จุดอื่นๆ ดูดีไปด้วยซะเลยล่ะ?”
“พูดยังกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ เลยนะ”
แถมยัยนี่ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองสวยซะด้วยนะ
“เฮ้อ เรื่องพิลึกๆ พวกนั้นน่ะพอเถอะ รีบไปกันต่อเลยดีกว่า…? โอ๊ะ เกือบลืมไปเลย ก่อนหน้านั้น”
ฉันปลดเป้ลง แล้วก็ดึงผ้าขนหนูสีขาวออกมา
“มัดมันไว้รอบๆ ไรเฟิลหน่อยสิ ใช้มันแทนธงขาวน่าจะได้อยู่นะ”
“เอาไว้บอกพวกเขาว่า ‘ได้โปรดอย่ายิงพวกเราเลยนะคะ’ งั้นเหรอ? พวกเขาจะเห็นมันเป็นสีขาวหรือเปล่านะ? ใช้สีเหลืองหรือสีส้มจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ถ้าเกิดใช้สีเหลือง เขาก็มองไม่ออกสิว่าเรายกธงขาวแล้วน่ะ”
“ฉันว่าเราไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับธรรมเนียมแบบนั้นก็ได้นะ…”
ถึงโทริโกะจะพึมพำอยู่แบบนั้น แต่เธอก็เอาผ้าขนหนูไปผูกไว้รอบลำกล้อง AK ของเธออยู่ดี
“ก็นะ ฉันไม่คิดว่าพวกเขาอยู่ๆ ก็จะยิงใส่เราแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอก แต่ก็ปลอดภัยไว้ก่อนล่ะนะ”
“ปลอดภัยไว้ก่อนเนอะ”
พวกเราชูธงขาวเอาไว้ พลางเดินไปตามทางรางรถไฟ
TN: คราวก่อนโดนทีเผลอ เลยมาที่นี่แบบตัวเปล่า คราวนี้เตรียมตัวมาพร้อม งานนี้สนุกแน่