พวกเรานอนหมอบราบกับพื้นข้างรางรถไฟ โดยที่ยังถือธงขาวที่โดนเจาะเป็นรูอยู่
“พวกเขายิงเลยอะ…”
“ก- เกือบไปแล้วนะ! เกือบตายแล้วไง!”
พื้นหินกรวดที่ตากแดดมาเนี่ยมันร้อนนะ แต่ฉันก็ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาจากมันเลย สมองของฉันมันตามไม่ทันเลยว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเรากำลังเดินเรื่อยเปื่อยไปตามรางรถไฟ จนกระทั่งมัน *ฟิ่ว* ฉันได้ยินอะไรซักอย่างวิ่งตัดผ่านอากาศไป แล้วผ้าขนหนูก็กระพือพรึ่บไปด้วย ตอนที่ฉันคิดว่า หือ? ก็มีเสียงสะท้อนดังก้องยาวของเสียงยิงปืนดังมาถึงหูของฉันทันทีเลย ตอนที่โทริโกะพุ่งตัวลงกับพื้นแล้วดึงตัวฉันตามลงมาด้วย ตอนนั้นแหละฉันถึงเพิ่งจะเข้าใจซักทีว่าพวกเขาเป็นคนยิงมา
ตอนที่ฉันพยายามจะเงยขึ้นไปมองข้างหน้าอีกซักที ก็มีกระสุนอีกนัดวิ่งผ่านเหนือหัวฉันไป เจาะรูบนผ้าขนหนูเพิ่มอีกรูนึง
TN: ไหนบอกชูธงขาวแล้วจะไม่ยิงไง 555
“เอ๋…! นี่มันไม่ใจร้ายกันเกินไปหน่อยเหรอ? นี่เรามาช่วยพวกเขาแท้ๆ เลยนะ!”
“ฉันว่าพวกเขาสงสัยกันอยู่ว่าพวกเราเป็นมนุษย์หรือเปล่าด้วยซ้ำนะ”
โทริโกะพลิกมานอนหงาย ชูธงขาวขึ้น ปล่อยให้มันพัดโบกไปโดยที่มีท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง
“ถ้าพวกเขาตั้งใจจะฆ่าเราจริงๆ ฉันว่าพวกเรา 2 คนคงจะตายไปแล้วล่ะ พวกเขายิงมา 2 นัด เข้าผ้าขนหนูทั้ง 2 นัดเลย ฝีมือพวกเขาสุดยอดเลยล่ะ”
“งั้น จะยืนขึ้นก็ไม่เป็นไรสินะ”
“เออ ฉันไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะนะ ขอลองอะไรหน่อยได้หรือเปล่า?”
“ได้เลย?”
โทริโกะลด AK ลง เอานิ้วไปลั่นไก ทางฉันก็เอามือขึ้นมาอุดหู
เธอยิงออกไป 1 นัด, 2 นัด, 3 นัด แล้วก็เว้นช่วงเงียบไปครู่นึง ก่อนยิงไปอีก 3 นัด โดยรอบนี้ เว้นช่วงระหว่างการยิงแต่ละนัดให้นานกว่าเดิม ก่อนจะยิงไปอีก 3 นัดติดๆ กัน
เสียงยิงปืนดังสะท้อนไปทั่วทุ่งโล่ง ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป
“…SOS เหรอ?”
“เป็นรหัสมอร์สอันเดียวที่ฉันรู้น่ะ รู้งี้ให้หม่าม้าสอนให้ดีกว่านี้ก็คงดี”
โทริโกะตอบกลับมาแบบเขินๆ
“พวกเราไม่ได้ขอความช่วยเหลือจริงๆ หรอก แต่แบบนี้ก็คงพอจะให้พวกเขารู้ว่าเราสามารถพูดคุยกันได้รู้เรื่อง… หวังว่านะ”
โทริโกะชู AK ขึ้นอีกรอบ ธงขาวที่เป็นรูนั่นกระพือไปตามลม รอบนี้ ไม่มีกระสุนวิ่งมาแล้ว พวกเรา 2 คนก็มองหน้ากัน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
พวกเรากลับมาที่รางรถไฟอีกรอบ แล้วก็เริ่มเดินกันต่อ โทริโกะชู AK เอาไว้ ส่วนฉันก็ชูมือ 2 ข้างขึ้น มันล้ามากเลยแบบนี้ เริ่มรู้สึกผิดแล้วสิที่ชูมือขึ้นมาแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้โดนสั่งให้ทำด้วยซ้ำ แต่แล้ว รางรถไฟมันก็ขาดหายไปตรงหน้าพวกเรา
พอพวกเราเข้าไปใกล้ขึ้น ก็มีหลุมลึกใหญ่โหว่ตรงสันเนินหายไปเลย รางรถไฟเองก็หายไปเหมือนกัน พอมองลงไปตรงซากนั่น กลางรางรถไฟที่บิดเบี้ยว กับไม้หมอนที่แหลกเป็นเสี่ยงๆ ก็มีรถไฟตู้นึงนอนเอียงแอ้งแม้งอยู่ในนั้น ดำเป็นตอตะโกเลย
ตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้นมามอง ที่ฝั่งตรงข้ามของหลุมยุบนั่น ก็เห็นทหารนาวิกจำนวนหนึ่งกำลังชี้ปืนมาทางพวกเรากันอยู่ ฉันจำหน้าคนที่อยู่ตรงกลางนั่นได้นะ นายทหารหนุ่มผมยุ่งๆ กับตาเศร้าๆ ที่โดดเด่น―ร้อยโทวิล เดรคนี่เอง เขาดูอิดโรยยิ่งกว่าที่เจอกันครั้งก่อนซะอีก สีหน้าของเขาดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองยังไงยังงั้นเลย
“โอ๊ะ! สวัสดีค่ะ!”
ตาพวกเราสบกันพอดี ฉันก็เลยเผลอโค้งให้ พลาดซะแล้ว… ต้องถามตัวเองเลยเนี่ย จะเผยตัวเองให้มันเท่กว่านี้ไม่ได้หรือไง? นี่มันยังกับเป็นการทักทายกันแบบขอไปทีตอนที่บังเอิญไปเจอเพื่อนข้างห้องที่อพาร์ทเม้นติดๆ กันงั้นแหละ
“พวกเธอ พวกเด็กสาวคนเดิม… กับเมื่อตอนนั้นเหรอ?”
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ พวกเรามาช่วยเหลือแล้วค่ะ”
โทริโกะช่วยพูดแทนฉัน
พอพวกเราเดินอ้อมซากรถไฟมารวมกลุ่มกับพวกนาวิกแล้ว พวกเราก็เดินไปที่สถานีคิซารากิกันต่อ ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าทหารตัวมอมผอมโซ
“แสดงว่า รอดชีวิตกันมาได้สินะครับ นึกว่าพวกเธอจะถูกรถไฟชนกันไปแล้วซะอีก”
“ก็เกือบไปอยู่เหมือนกันค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณต่อหลังจากนั้นเหรอคะ?”
“ตอนที่พวกเธอช่วยจัดการสัตว์ประหลาดไปได้ ก็ช่วยเติมกำลังใจให้พวกเราได้ดีเลยล่ะครับ แต่ก็ยังแก้ปัญหาเรื่องเสบียงที่ขาดแคลนไม่ได้อยู่ดี และระหว่างการค้นหาทางกลับไปยังเอนทรีพ็อยต์ เราก็เสียไป 12 คนครับ”
“เรื่องนั้น…”
ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับเขาดี มีอะไรที่พวกเราพอจะทำได้หรือเปล่านะ? เราควรจะมาที่นี่ให้เร็วกว่านี้งั้นเหรอ? แต่คนพวกนี้ก็พยายามจะฆ่าเราด้วยนะ ก็ คนพวกนี้ก็ไม่ได้ขนาดจ่าสิบเอกเกร็กนั่นแหละ
“เออ ฉันอยากจะยืนยันให้ชัดเจนก่อนจะไปเจอคนอื่นๆ หน่อยนะคะ ก็จริงอยู่ค่ะที่ตาของฉันเป็นแบบนี้ แต่ฉันไม่ได้เป็นพวกตัวประหลาดนะคะ โทริโกะเองก็เหมือนกัน”
“พวกเราเข้าใจครับ”
ร้อยโทพยักหน้ายอมรับง่ายๆ ทำเอาฉันงงไปเลย
“เอ๊ะ? อธิบายแค่นี้ก็พอแล้วเหรอคะ?”
“ตั้งแต่มาที่นี่ มันก็ไม่มีอะไรที่สามารถเข้าใจได้อีกแล้วล่ะครับ… พรรคพวกของเราน่ะ ตอนที่เสียสติไปนั้นอันตรายยิ่งกว่าซะอีก การกระทำของพวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ และก็ยิ่งทำความเข้าใจไม่ได้เข้าไปอีก แต่พวกเธอไม่เหมือนกัน อีกอย่าง คนที่ยิงเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นตายก็คือพวกเธอนี่นา…”
“บางที จ่าสิบเอกเกร็กอาจจะไม่ได้ยอมรับแบบนั้นก็ได้นะคะ?”
“ไม่หรอกครับ… เขาน่ะ…”
พอร้อยโทดูลังเลที่จะพูดต่อ ฉันก็เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?”
“ตอนนั้น ตอนที่พวกเธอถูกมีทเทรน (Meat Train) ชนไปต่อหน้าต่อตา เขาก็เสียสภาพจิตใจมั่นคงที่พอจะหลงเหลืออยู่ไปอย่างสิ้นเชิง เขาละเมิดทำการโจมตีโดยพลการ และได้ใช้วัตถุระเบิดทำลายรางรถไฟและตู้รถไฟตู้หนึ่งได้สำเร็จ แต่เขาก็ต้องเสียชีวิตจากการต่อสู้กับมังกี้ไชน์ (Monkey Shine) ที่ออกมาจากในตู้นั้น…”
ได้ยินแบบนี้ ฉันกับโทริโกะก็หันมามองหน้ากัน
“เออ ขอโทษนะครับ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไรกับเรื่องนี้หรอกนะ เขากลัวการถูกออเธอร์ไซด์กลืนกินจนสูญเสียจิตใจไปยิ่งกว่าใคร บางที การที่เขาได้สละชีพในสนามรบ ก็อาจเป็นโชคดีของเขาแล้วก็ได้ครับ”
เขาบอกออกมาแบบนั้น แต่ว่า…
“รถไฟนั่น พรากพวกพ้องของเราไปไม่น้อย มันเหมือนกับว่าพวกเขาถูกขังเอาไว้ในนั้น พวกเราก็เลยลังเลที่จะโจมตีใส่มัน แต่จ่าสิบเอกก็ได้ข้ามเส้นนั้นไปได้สำเร็จ บางที ถ้าพวกเราทำการลงมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะก็…”
ระหว่างที่ฉันเดินอยู่ข้างๆ ร้อยโทที่กำลังระบายออกมาอย่างเศร้าสร้อย ก็มีอีกเรื่องนึงเข้ามาในความคิดของฉัน ฉันจะมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าจ่าสิบเอกสามารถทำลายตัวตนของโลกเบื้องหลังได้สำเร็จไปได้ยังไงล่ะ?
ตาของฉันเหมือนจะสามารถปรับระดับชั้นการรับรู้เพื่อให้เราสามารถใช้กระสุนของพวกเรายิงโดนตัวประหลาดจากโลกเบื้องหลังได้ ถ้าระเบิดของจ่าสิบเอกใช้ได้ผลกับรถไฟล่ะก็ ไม่ใช่ว่านั่นหมายถึงว่าเขาสามารถปรับการรับรู้ของตัวเองจนอยู่ในระดับเดียวกับรถไฟได้งั้นเหรอ?
ที่เป็นแบบนี้ได้ หรือเป็นเพราะว่าเขาสติหลุดไปแล้ว? ตามปกติแล้วเนี่ย… การที่สติวิปลาสไปจะทำให้มนุษย์เข้าใกล้กับตัวตนจากโลกเบื้องหลังนี่ได้ใช่มั้ยนะ?
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ แถวกองทหารที่มีร้อยโทกับพวกเราอยู่ตรงกลางก็มาถึงสถานีคิซารากิแล้ว ดูมันตอนกลางวันแบบนี้ มันก็เป็นแบบที่เราคิดว่าสถานีรถไฟในชนบทที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้จะเป็นยังไงเลยล่ะ อาจจะเพราะตอนนี้เป็นหน้าร้อนด้วยก็ได้ แต่หญ้าตามข้างทางของรางรถไฟก็โตกันค่อนข้างสูงเลย ที่จะต่างจากโลกเบื้องหน้าก็คงเป็นเรื่องที่ว่าไม่มีเสียงนกหรือเสียงจักจั่นเลยเนี่ยแหละ
“แสดงว่า จากนั้น รถไฟก็ไม่มาอีกแล้วสินะคะ”
“เปล่าครับ มันยังมาอยู่”
ร้อยโทตอบคำถามของโทริโกะด้วยน้ำเสียงเนือยไร้อารมณ์
พอพวกเราเดินผ่านจุดตรวจตั๋วเข้ามาที่ค่ายพัก พวกทหารที่ล้อมอยู่รอบพวกเรา 2 คนก็อุทานกันขึ้นมาอย่างตกใจกันเลย
สองคนนั้นนี่, ยังไม่ตายเรอะ?, ตานั่นมันอะไรน่ะ? พอเดาได้เลยว่าพวกเขาพูดอะไรแบบนั้นเป็นภาษาอังกฤษกันอยู่นี่แหละ แต่พวกเขาทำแค่มองพวกเรามาโดยเว้นระยะห่างกันเอาไว้อยู่ พอเห็นพวกเขาในตอนกลางวันแบบนี้แล้วเนี่ย ตาจมลึก แก้มพวกเข้าตอบกันยังกับถูกช้อนควักออกไป ความอ่อนล้าของทุกคนเนี่ยเห็นได้ชัดมากเลย
ร้อยโทเดินนำพวกเราตรงไปที่เต้นท์โดยไม่ได้ใส่ใจเสียงตะโกนร้องขอคำอธิบายจากรอบๆ เลย
“Major, we’re coming in. (พันตรี พวกเราขอเข้าไปนะครับ)”
พอพวกเราเดินเข้าไปข้างใน พันตรีตัวสูง เรย์ บาร์คเกอร์ ก็ลุกขึ้นพรวดเลย ตาสีอ่อนของเขาจ้องตรงมาที่พวกเราโดยไม่มีทีท่าจะประมาทชะล่าใจเลย
“You’re― (พวกเธอ―)”
“The girls have come to save us, Major. (เดอะเกิร์ลส์มาช่วยพวกเราแล้วครับ พันตรี)”
ร้อยโทพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูภูมิใจยังไงไม่รู้ แถมเหมือนกับว่านั่นจะกลายเป็นเหมือนโค้ดเนมของพวกเราไปซะแล้วด้วยเหมือนกัน