บทที่ 12 ได้รับสมบัติ

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 12 ได้รับสมบัติ

“ไอ้หัวขโมยที่ไหนกล้ามาขโมยของของข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

พูดยังไม่ทันจบ ขุนพลจางก็ถือดาบวงพระจันทร์สีเงินเอาไว้ในมือของก่อนจะมุ่งไปทิศทางที่แหดักปลาพุ่งไป ความรุนแรงของดาบในครั้งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นตัวแทนความโกรธของเขา เขาเชื่อว่าอย่าว่าแต่แหเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้านี่เลย ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดที่ยืนอยู่ก็เถอะ ขุนพลจางก็สามารถผ่ามันออกเป็นสองส่วนได้!

อย่างไรก็ตามเมื่อดาบอันทรงพลังของเขาฟันถูกแหดักปลาข้างหน้า ก็มีเสียงกระทบของโลหะดัง “ปั้ง” ออกมา เหล่าผู้คนที่เห็นเหตุการณ์รอบด้านต่างพากันตกตะลึงและวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นการใหญ่

“ขุนพลจาง นั่นคือขุนพลจาง น่าทึ่งจริง ๆ มองดูพลังของดาบสิ อย่าว่าแต่แหดักปลาเลย ข้าคิดว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดก็ต้องขาดเป็นสองท่อน ได้ง่าย ๆ ด้วยกระบวนท่าอันทรงพลังของเขา !” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นพลังดาบของขุนพลจาง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้น

“ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันคือใครที่กล้าทำเรื่องตลกนี้กับขุนพลจาง เขาไม่รู้จักขุนพลจางหรือไง?” อีกคนหนึ่งพูด

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้คนมองไม่เห็นก็คือ ภายหลังจากที่ขุนพลจางฟันดาบออกไปอย่างรุนแรงแล้ว แขนข้างนั้นของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้! ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัว

ขุนพลจางคิดไม่ถึงว่าแหดักปลานี้จะมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดาบที่เขาฟันอย่างสุดกำลังกลับยังไม่สามารถทำลายมันได้เลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแค่นั้น มันยังทิ้งรอยบิ่นเล็ก ๆ ไว้บนใบดาบวงพระจันทร์ของเขาอีกด้วย

ขณะที่ขุนพลจางกำลังตกตะลึงอยู่นั้น แหดักปลาที่คลุมเก้าอี้มงคลไว้ด้านในก็บินขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เหลือก็เพียงแต่ขุนพลจางที่ยืนมองอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาเขวี้ยงดาบวงพระจันทร์สีเงินในมือของเขาไปที่แหดักปลาในอากาศด้วยความโมโห แต่ฉับพลันนั้นแหก็หายไปในทันที!… แม้แต่ดาบวงพระจันทร์เองก็พลอยหายไปด้วยกัน สุดท้ายขุนพลจางก็ได้แต่ยืนคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว!

ฉู่เหินที่รอมานาน จู่ ๆ ตัวเขาก็รู้สึกว่าแหไหมเงินมีความเคลื่อนไหว เขาไม่รอช้ารีบขยับมือลากแหเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อแหดักปลาหดตัวเข้ามาใกล้ ฉู่เหินก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่า มันมีดาบวงพระจันทร์และเก้าอี้มงคลอยู่ในนั้น และถึงแม้จะมีแหไหมเงินคลุมอยู่ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าเก้าอี้มงคลนี้สวยงามมาก

“ผู้ถือครองฉู่เหิน ได้รับเก้าอี้ไม้จันทน์ระดับสอง เมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลานานจะช่วยให้จิตใจสงบและขจัดความเหนื่อยล้า ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น หนึ่งพันแต้ม เหลืออีกหนึ่งพันสี่สิบแต้มในการเลื่อนไประดับต่อไป”

“ผู้ถือครองฉู่เหินได้รับสมบัติระดับที่สองดาบวงพระจันทร์สีเงิน ดาบนี้ถูกหล่อหลอมมาจากเหล็กสีดำหนึ่งหมื่นปี ความคมของมันสามารถตัดเหล็กได้ง่ายดาย หลังจากหยดเลือดเพื่อทำสัญญาแล้ว คุณสามารถเก็บดาบไว้ในร่างกายได้เพิ่มค่าประสบการณ์หนึ่งพันแต้ม เหลืออีกสี่สิบแต้มในการเลื่อนไประดับต่อไป!” หลังจากฟังระบบพูดจบ ฉู่เหินรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าจะเป็นยังไงบ้างเมื่อก้าวไปสู่ระดับที่สอง เขาคิดว่าสิ่งของที่ได้รับทั้งในแง่ของราคาและระดับจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก พอคิดแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะรู้สึกตื่นเต้น!

กลับมาปัจจุบัน ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้ฉู่เหินมีปัญหาคือ สิ่งที่แหเก็บมาได้ในครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่ มันไม่สะดวกกับการเอากลับ ถ้าแค่ครั้งสองครั้งก็โอเค ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เขาจะทำยังไงดี? แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางที่ดีกว่านี้แล้ว ดังนั้นคงต้องดูเป็นวัน ๆ ไปก่อน หลังจากสิ้นสุดการทอดแหในวันนี้ ฉู่เหินก็เตรียมตัวกลับบ้าน บ่ายวันนี้จะมีการประมูล ดังนั้นหลังจากรีบเก็บแหแล้ว เขาจึงรีบกลับบ้านทันที

ฉู่เหินยกเก้าอี้มงคลจากชายหาดไปที่บ้าน เมื่อเขาได้พบกับคนอื่น ๆ คนพวกนั้นต่างก็มีท่าทางประหลาดใจ คิดดูซิออกทะเลไปตอนเช้า แต่ดันกลับมาตอนบ่ายพร้อมเก้าอี้ตัวหนึ่ง ปลาสักตัวก็ไม่มี!

“เสี่ยวเหิน เธอไปจับปลาไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงได้เก้าอี้มาละ?” ฉู่เหินเงยหน้าขึ้นมองปู่หวัง ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ปู่หวังและพี่รองถือได้ว่าเป็นญาติสนิทกัน เพียงแต่บ้านของปู่หวังอยู่ใกล้กับบ้านของเขามากกว่า

“ใช่ครับปู่หวัง พอดีขากลับผมเห็นคนขายเก้าอี้ตัวนี้อยู่ ผมคิดว่าเก้าอี้ตัวนี้สวยดี ผมเลยซื้อมันเตรียมไว้ให้พี่ชายของผม อีกไม่กี่วันพี่ชายของผมก็จะออกจากโรงพยาบาล เก้าอี้ตัวนี้น่าจะนั่งสบายดี” เมื่อต้องโกหกปู่หวังที่เขาเคารพเหมือนกับปู่แท้ ๆ ฉู่เหินก็รู้สึกละอายเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างงั้นก็ต้องใจแข็งไว้ เขาไม่สามารถบอกความจริงให้คนอื่นรู้ได้ มิฉะนั้นเขาจะมีปัญหาไม่จบสิ้น!

“เป็นเด็กดีจริง ๆ! เธอรีบกลับไปเถอะ ถึงเวลาถ้าค่าใช้จ่ายไม่พอก็มาบอกฉันได้ จะมากจะน้อยฉันก็อยากช่วยอีกแรงหนึ่ง” ปู่หวังหัวเราะและโบกมือให้ฉู่เหินด้วยรอยยิ้มบอกให้เขารีบกลับบ้านไป

ฉู่เหินยิ้ม ก่อนกล่าวลาปู่หวังแล้วรีบกลับไปที่บ้านของเขา สิ่งที่ฉู่เหินไม่รู้ก็คือการโกหกของเขาทำให้ชาวบ้านต่างประเมินเขาสูงขึ้นอีกระดับ

“ดูฉู่เหินสิ นี่ถึงเรียกว่ากตัญญูรู้คุณ ไม่เพียงแต่หาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ยังพยายามทำให้พี่ชายของเขารู้สึกสุขสบายมากขึ้น” ด้วยคำพูดเหล่านี้เอง พวกเขาส่วนใหญ่ต่างยกย่องฉู่เหินในเรื่องความกตัญญูของเขา ด้วยเหตุนี้เองการประมูลในช่วงบ่าย ชาวบ้านเกือบหนึ่งร้อยคนจึงพากันมาที่บ้านฉู่เหินเพื่อช่วยกันปกป้องเขา

ที่โรงพยาบาลรัฐประจำเขต หวงเจี้ยนหมิงและซูวี่เหมยนั่งหันหน้าเข้าหากัน ถึงแม้ว่าเมื่อวานตอนบ่าย ฉู่เหินจะโทรศัพท์หาพวกเขาว่าหาเงินได้ครบแล้ว แต่พวกเขาสองคนต่างรู้ว่าฉู่เหินไม่มีเงิน มิฉะนั้นด้วยนิสัยของฉู่เหิน ต้องเอาเงินมาให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่กังวลไม่ใช่เรื่องที่ฉู่เหินจะหาเงินมาได้หรือไม่ แต่พวกเขากลัวว่าฉู่เหินจะไปหาเงินด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ที่คิดแบบนั้นก็เพราะพวกเขารู้จักเพื่อนและคนที่คุ้นเคยของฉู่เหินทุกคนเป็นอย่างดี

สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือฉู่เหินจะไปยืมเงินจากแฟนสาวของเขา ผู้ชายที่ยืมเงินผู้หญิงเรื่องเงินเป็นเรื่องที่น่าอาย และถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะมีปัญหาภายหลังได้ พวกเขาสองคนไม่ต้องการทำลายความสุขของฉู่เหิน

“วี่เหมย ถ้าอย่างนั้นเธอกลับไปดูเสี่ยวเหินที่บ้านที ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย” หลังจากคิดพักหนึ่งหวงเจี้ยนหมิงก็พูดกับภรรยาของเขา

“ถ้าฉันกลับบ้าน แล้วใครจะดูแลคุณที่นี่ล่ะ !” ที่จริงแล้วซูวี่เหมยเองก็อยากกลับบ้านไปดูเหมือนกัน แม้ว่าฉู่เหินจะเรียกพวกเขาว่าพี่ชายพี่สะใภ้ แต่ในสายตาของพวกเขาฉู่เหินเป็นเหมือนกับลูกชาย ดังนั้นพวกเขาจึงวางใจไม่ลง

แต่ว่าที่นี่ก็มีเพียงแค่เธอที่สามารถดูแลหวงเจี้ยนหมิงได้เพียงคนเดียว เพราะนอกเหนือจากดื่มกินแม้แต่การเข้าห้องน้ำก็เป็นปัญหาเช่นกัน และแม้ว่าพวกพยาบาลจะช่วยซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้ แต่ถ้าให้มาคอยดูแลทั้งวันแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกเขาจะไม่กล้าเลย แต่พวกพยาบาลเองก็คงไม่ยอมเหมือนกัน

“รอไปก่อนละกัน ถ้าพรุ่งนี้เสี่ยวเหินไม่มา ฉันจะกลับไปดูเอง จะได้ลองดู ๆ ของในบ้าน ว่าพอจะมีอะไรที่ขายได้บ้างด้วย” หลังจากฟังคำพูดของภรรยา หวงเจี้ยนหมิงผู้เป็นสามีก็ได้แต่นิ่งเงียบอีกครั้ง

Next