หลังจากที่ทีมแพทย์ทั้งสี่คนได้เริ่มทำการทดลองกับร่างของแมรี่จนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงพากันเดินออกมาจากห้องทดลองเพื่อไปนั่งพักในห้องที่อยู่ติดกัน

 

ซึ่งในห้องนั้นมีกระจกที่สามารถมองทะลุได้ทางเดียวบานใหญ่ถูกติดตั้งไว้ให้สามารถมองไปยังฝั่งห้องทดลองได้โดยที่อีกฝั่งนั้นมองกลับมาไม่เห็น และมีเก้าอี้จำนวนมากวางเรียงกันไว้เป็นแถวยาวสำหรับให้ผู้มาร่วมชมการทดลองได้นั่งดูกระบวนการทดลอง

 

“เป็นยังไงบ้างครับ?”

 

ทันใดนั้นเวก้าก็ได้เปิดประตูห้องเข้ามาและเอ่ยปากถามพวกเขา ทำให้พวกเขารีบละสายตาจากแมรี่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงขึ้นไปดูตู้อุปกรณ์ซึ่งติดตั้งอยู่ข้างกระจกบานใหญ่นั้นในทันที

 

ซึ่งด้านหลังตู้เก็บอุปกรณ์นั้นมีสายระโยงระยางจำนวนมากถูกเสียบเอาไว้ โดยที่ปลายสายอีกฝั่งนั้นได้ถูกแปะเอาไว้ตามแขนขาและลำตัวของแมรี่ซึ่งนอนอยู่บนเตียงในห้องทดลองที่อยู่ข้างๆ

 

ติ๊ด…ติ๊ด…

 

“ชีพจรปกติ อุณหภูมิร่างกายคงที่ ค่าพลังวิซอยู่ในระดับมาตรฐาน และยังไม่พบปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายต่ออวัยวะที่ถูกสับเปลี่ยนครับ”

 

“ถ้างั้นก็คงได้แต่รอดูสินะครับ…”

 

เวก้าพยักหน้าตอบนายแพทย์หนุ่มกลับไป ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปเอามือและหน้าผากของเขาทาบกับกระจกบานใหญ่นั้นและหลับตาลงเพื่อสวดขอพรออกมาเบาๆ

 

“พระผู้เป็นเจ้า…ถ้าเกิดท่านมีตัวตนอยู่จริงๆ แล้วล่ะก็ ได้โปรดช่วยคุ้มครองแมรี่ด้วยเถอะครับ…”

 

ติ๊ด–ติ๊ด–ติ๊ด

 

แต่ก็ราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิเสธคำขอของเขา เพราะในทันทีที่เขาเอ่ยปากภาวนาจบ อุปกรณ์ในตู้เครื่องมือที่เคยส่งเสียงออกมาเป็นจังหวะช้าๆ นั้นก็ได้เพิ่มความเร็วในการส่งเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“เกิดอะไรขึ้น!?”

 

เวก้าที่ได้ยินเสียงของอุปกรณ์ที่เปลี่ยนไปได้รีบหันไปถามทีมแพทย์ที่กำลังมุงดูตู้อุปกรณ์นั้นอยู่ในทันที ก่อนที่เขาจะรีบหันกลับไปมองแมรี่เมื่อเขาเห็นแสงสีเหลืองทองลอดทะลุผ้าที่ปิดตาข้างซ้ายของเธอออกมา

 

“ยังไม่ทราบครับ! คาดว่าน่าจะเป็นปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายไม่ก็เป็นผลข้างเคียงของอวัยวะชิ้นที่ปลูกถ่ายลงไป”

 

“พลังวิซในร่างกายของเธอกำลังเพิ่มขึ้น— ยี่สิบ สี่สิบ หกสิบ!? ไม่สามารถวัดค่าต่อได้แล้วครับ!”

 

ทันใดนั้นเองร่างของแมรี่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก็ได้กระตุกอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างกายของแมรี่ซึ่งมีอายุแปดปีนั้นจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนไปหยุดอยู่ที่ช่วงอายุราวๆ สิบห้าปี

 

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด

 

“ไม่ใช่แค่วิซ… ชีพจรของเธอก็เข้าขั้นอันตรายแล้ว! พวกเรารีบไปกันเร็ว…!!”

 

นายแพทย์ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าได้ตะโกนออกมา ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งนำทีมแพทย์ของเขาอีกสามคนเข้าไปยังห้องทดลองอย่างรวดเร็ว

 

ซึ่งทั้งสี่ได้พยายามที่จะทำให้แมรี่สงบลงอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์หรือว่ายาอะไรก็ตามที่พวกเขามีอยู่ก็ไม่อาจทำให้ร่างของแมรี่ที่กำลังชักกระตุกอยู่นั้นสงบลงได้เลย

 

และมันยังเหมือนจะเป็นการกระตุ้นซะด้วยซ้ำ เพราะว่าร่างของแมรี่นั้นได้กระตุกรุนแรงขึ้นจนทำให้ทีมแพทย์สองคนต้องหยุดมือลงและพยายามกดตัวของเธอเอาไว้ไม่ให้ตกลงมาจากเตียง

 

ในขณะเดียวกันแสงสีทองจากดวงตาของแมรี่ก็ยังคงส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่เวก้าซึ่งมองดูเหตุการณ์ในห้องทดลองยังต้องยกมือขึ้นมาบังแสงสว่างนั้นเองไว้

 

ปิ๊บบบบบบบบบบบบบบบ—

 

ทันใดนั้นเครื่องวัดชีพจรซึ่งเคยส่งเสียงออกมาต่อเนื่องเป็นจังหวะก็ได้ส่งเสียงลากยาวออกมา พร้อมๆ กับที่ทุกอย่างได้หยุดลงไปอย่างกะทันหัน

 

ไม่ว่าจะแสงที่ส่องออกมาจากดวงตาของแมรี่ ร่างกายที่กระตุกอย่างรุนแรงของเธอ หรือทีมแพทย์ที่พยายามจะยื้อชีวิตของเธอ

 

และรวมไปถึงความศรัทธาของเวก้าที่มีต่อพระเจ้าด้วยเช่นกัน…

 

“อย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ! พวกเรายังมีโอกาสอยู่นะ!!”

 

ทันใดนั้นเองนายแพทย์ที่ดูแล้วมีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั้นได้ตะโกนออกมา ก่อนที่จะเอามือของเขาไปวางบนอกของแมรี่และกดลงไปเป็นจังหวะเพื่อพยายามกระตุ้นให้หัวใจของร่างตรงหน้ากลับมาเต้นอีกครั้งอย่างสุดความสามารถ

 

ในจังหวะเดียวกับที่ทางเวก้าซึ่งกำลังมองดูเหตุการณ์ด้านในห้องทดลองนั้นก็ก้มหน้าลงกับพื้น เพราะว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเคยเห็นฉากแบบนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

 

แต่ว่าในครั้งนี้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือเด็กน้อยที่อาศัยอยู่กับพวกเขาในคฤหาสน์หลังนี้มานานหลายปีไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ที่ทางวังหลวงส่งมาทำให้เขาทุบไปที่กระจกอย่างรุนแรงด้วยความอัดอั้น

 

“กลับมาสิ…!!”

 

นายแพทย์ที่เป็นหัวหน้าทีมละสายตาจากร่างของแมรี่หันไปมองทางเวก้าสักพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปจับไหล่ของเพื่อนร่วมงานก่อนจะร้องขอให้เขาหยุดมือลง

 

“พอเถอะ…เธอไม่อยู่กับพวกเราแล้วล่ะ”

 

“….”

 

นายแพทย์ผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไรหัวหน้าของเขากลับไป ก่อนที่จะยอมหยุดมือลงและเดินถอยออกมาเพื่อให้นายแพทย์อีกคนนำผ้าสีขาวมาคลุมร่างของแมรี่เอาไว้แต่โดยดี และจากนั้นพวกเขาก็เดินออกมาจากห้องทดลองเพื่อเข้าไปรายงานกับเวก้าที่กำลังนั่งเอามือปิดหน้าของตนเอาไว้

 

“ท่านเวก้าครับ…”

 

“ผมไม่เป็นไร…ผมไม่เป็นไร… พวกคุณทำอย่างสุดความสามารถแล้ว… ถ้ายังไง…ผมขอตัวก่อนนะครับ…”

 

เวก้าพูดตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมกับปัดมือของนายแพทย์ที่ยื่นมาจับไหล่ของเขาออกไป ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

 

“…บ้าจริง!”

 

หลังจากที่ประตูห้องถูกปิดลงไปแล้วนายแพทย์ผู้เป็นหัวหน้าก็สบถออกมาก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ และยกมือขึ้นมาขยี้หัวของตนอย่างรุนแรง ในขณะที่คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปจัดการเก็บตู้อุปกรณ์ที่ยังคงส่งเสียงออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

ซึ่งเมื่อแพทย์หนุ่มที่อายุน้อยที่สุดคนนั้นได้ยินเข้าเขาก็รีบเดินเข้าไปนั่งข้างๆ และพยายามพูดปลอบหัวหน้าทีมของเขาออกมา

 

“คุณพยายามสุดความสามารถแล้วล่ะ… อย่าโทษตัวเองเลยครับ…”

 

“…รอบนี้มันไม่เหมือนคราวก่อนๆ ที่คนไข้เป็นคนที่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วย เท่าที่ฉันดูแล้วดวงตาของเด็กคนนั้นก็ปกติดี แถมสุขภาพร่างกายก็ยังแข็งแรงซะด้วยซ้ำ …พวกวังหลวงคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่นะ!!”

 

หัวหน้าทีมแพทย์ได้พูดออกมาอย่างไม่เข้าใจในคำสั่งที่พวกเขาได้รับมา เพราะว่าที่ผ่านมานั้นถึงพวกเขาจะเคยได้รับคำสั่งให้มาผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะให้กับอัศวินที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการมาบ้าง แต่ว่าในคราวนี้นั้นพวกเขากลับต้องมาผ่าตัดเปลี่ยนลูกตาให้กับเด็กสาวที่มีสุขภาพแข็งแรงดีโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรไว้

 

ซึ่งเมื่อนายแพทย์อีกคนที่กำลังเก็บอุปกรณ์อยู่ใกล้ๆ ได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบเดินเข้ามาเตือนอย่างร้อนรนในทันที

 

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ!! ถึงจะเป็นในห้องลับนี่ก็เถอะ พวกเขาอาจจะแอบฟังอยู่ก็ได้น—-”

 

ติ๊ด

 

“—!?”

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงสัญญาณบางอย่างดังขึ้นมา ทำให้พวกเขาทุกคนรีบหันไปในทิศทางเดียวกันและพบกับนายแพทย์อีกคนที่กำลังก้มลงมองตู้อุปกรณ์อยู่ที่ริมกระจก

 

“ย—อย่าทำให้ตกใจสิ!”

 

“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!!”

 

“หะ ถ้างั้นเสียงเมื่อกี้มันอะไรล่ะ?”

 

ติ๊ด—-ติ๊ด—-

 

“!?”

 

เสียงดังกล่าวดังขึ้นมาอีกครั้งเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องทำให้ทุกคนรีบเดินเข้าไปมุงดูตู้อุปกรณ์นั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หัวหน้าทีมแพทย์จะหันไปมองยังร่างของแมรี่ที่เริ่มกระตุกเบาๆ พร้อมกับดวงตาของเธอที่กำลังเรืองแสงสีทองออกมาอีกครั้ง

 

“รีบกลับเข้าไปในห้องนั้นเดี๋ยวนี้!!”

 

“เร็วเข้า!! / ครับ!! / รับทราบ!!”

 

ทั้งสามรีบขานตอบก่อนจะเดินตามหัวหน้าทีมแพทย์ไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องทดลองอีกครั้งก็พบกับบรรยากาศที่หนักอึ้งและประจุไฟฟ้าขนาดเล็กที่กำลังลอยฟุ้งอยู่ทั่วห้อง

 

เมื่อเห็นแบบนั้นพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีพลังวิซจำนวนมหาศาลกำลังปะทุออกมาจากร่างของแมรี่ที่กำลังนอนกระตุกอยู่บนเตียงโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องหันไปมองอุปกรณ์วัดพลังเลยด้วยซ้ำ

 

“พลังระดับนี้มันอะไรกัน…!? รีบส่งยาสลบมาเร็ว!!”

 

หัวหน้าทีมแพทย์ได้รีบร้องสั่งนายแพทย์คนอื่นๆ ทำให้พวกเขาต้องรีบเปิดกระเป๋าอุปกรณ์ของตนเพื่อค้นหาเข็มฉีดยากับขวดแก้วบรรจุยาสลบออกมายื่นให้อย่างรีบร้อน

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด—-!!

 

แต่ทันใดนั้นเองกลับมีเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้นมาจากทุกทิศทาง ราวกับว่าอากาศรอบตัวพวกเขานั้นกำลังส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองที่เหมือนกับปิศาจร้ายออกมา

 

พร้อมกับที่มีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายออกมาจากร่างของแมรี่ตรงเข้าใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้างตัวของเธอ

 

“อ—!!?”

 

เปรี๊ยง!!

 

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้กรีดร้องออกมา เสียงของพวกเขาก็กลับหายไปเมื่อสายฟ้าเหล่านั้นพุ่งเข้ากระทบกับร่างของพวกเขาจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นในสภาพไหม้เกรียมราวกับเถ้าถ่าน

 

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

 

แมรี่ค่อยๆ ยันร่างของเธอลงมายืนอยู่ที่ข้างเตียง ก่อนที่จะยกมือมาดึงเอาผ้าเปื้อนเลือดที่พันปิดดวงตาข้างซ้ายออกเธอออก

 

และเมื่อเธอเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกซึ่งกั้นระหว่างห้องเอาไว้ เธอก็เดินเข้าไปมองดูมันใกล้ๆ และยื่นมือของเธอออกไปทาบกับมือของเงาในกระจกนั้น

 

“ฉ… ฉัน… ฉันคือ… แมรี่?”

 

เธอพูดออกมาอย่างสับสนและมองดูร่างกายของตัวเองอยู่สักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องทดลองใต้ดินเพื่อออกไปยังเบื้องนอก

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ? เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงของคุณหนูกรี๊ดหรือเปล่า!?”

 

“นั่นสิครับ!? ว…ว่าแต่นี่เกิดอะไรขึ้นหรอครับคุณหนู!? ทำไมร่างกายของคุณหนูถึงเป็นแบบนี้!?”

 

เมื่อแมรี่เดินขึ้นมาถึงข้างบน เธอก็พบกับเอ๊ดริค อัศวินในชุดเกราะหนักและเพื่อนของเขาที่ถูกสั่งให้ยืนเฝ้าหน้าทางลงห้องทดลองใต้ดิน ซึ่งพวกเขากำลังยืนปรึกษากันอยู่ว่าจะลงไปตรวจสอบข้างล่างดีไหมหลังจากได้ยินเสียงโครมครามดังออกมา

 

“…ทหาร? อ่า…ใช่แล้วสิ… คิก…คิกคิกคิก….”

 

แมรี่ที่ได้ยินทั้งสองถามอย่างเป็นห่วงนั้นกลับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสงสัย ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงและส่งเสียงหัวเราะอย่างน่ากลัวออกมาเมื่อมีภาพความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านเข้ามาในหัวของเธอ

 

“ค…คุณหนูครับ?”

 

“คิกคิกคิกคิก… ทหารอย่างพวกแกสินะ…”

 

แมรี่หัวเราะออกมาอีกครั้งและเงยหน้าขึ้นมามองทั้งสองคนเผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาข้างหนึ่งของเธอ ก่อนที่เธอจะชูมือขึ้นมาชี้ตรงไปยังพวกเขา และทันใดนั้นก็มีพลังวิซจำนวนมากรวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลไฟฟ้าลอยอยู่เบื้องหน้าของเธอ

 

“—!?”

 

“พวกแกสินะที่เป็นคนฆ่าพวกเขา!!”

 

เปรี๊ยง!

 

ในชั่วพริบตานั้นลูกบอลไฟฟ้าก็ได้แยกออกจากกันก่อนที่พวกมันจะพุ่งเข้าใส่เอ๊ดริคและอัศวินอีกคนอย่างรุนแรงทำให้ร่างของพวกเขายืนชักกระตุกอยู่สักพักก่อนที่จะทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับที่มีควันและกลิ่นเหม็นไหม้ลอยออกมาจากด้านในชุดเกราะ

 

“อ่า…ใช่…ฉันนึกออกแล้ว…เพราะคนพวกนี้…”

 

ในหัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำของใครบางคนที่เธอไม่รู้จัก ซึ่งความทรงจำเหล่านั้นมันก็ผสมปนเปกันกับความแค้นระหว่างตัวเธอและเวก้า ทำให้แมรี่เผยรอยยิ้มในแบบที่เธอไม่เคยทำมาก่อนออกมาและเริ่มก้าวขาของเธอออกไปอีกครั้ง

 

“จะไม่มีใครเหลือรอดไปได้ทั้งนั้น…!”

 

 

ทางด้านเจนหลังจากที่เธอส่งแมรี่ออกไปจากห้องอาหารแล้วเธอก็ได้นั่งลงที่โต๊ะอาหารและร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เพราะถึงแม้ว่าเธอยังอยากจะหวังให้แมรี่รอดชีวิตจากการทดลองนั้น แต่ว่าในใจของเธอก็รู้ตัวดีว่าโอกาสที่แมรี่จะรอดชีวิตกลับมาหาเธอได้นั้นแทบจะไม่มีเลย

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

ทันใดเองก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาทำให้เธอต้องรีบเช็ดน้ำตาของตนเองและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ลุกขึ้นไปเพื่อเปิดประตูนั้น ผู้ที่มาเคาะประตูห้องก็กลับเปิดมันออกมาเองเสียก่อน

 

“แมรี่!?”

 

ทันทีที่เจนเห็นร่างที่อยู่หน้าประตูนั้นเธอก็ร้องออกมาอย่างดีใจและเดินเข้าไปหาในทันที แต่ว่าเธอก็ต้องหยุดไปและเผยสีหน้าหวาดระแวงออกมา เพราะถึงแม้ว่าเธอจะดูออกได้ในทันทีว่าคนตรงหน้านั้นคือแมรี่ที่ร่างกายเติบโตขึ้นไปกว่าเดิมไม่ผิดแน่

 

แต่ว่าเด็กน้อยแมรี่ของเธอนั้นไม่มีวันที่จะทำสีหน้าแบบนั้นออกมาเป็นอันขาด

 

เปรี๊ยง!!

 

“—!?”

 

ร่างเบื้องหน้าของเธอนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมาและยกมือซ้ายขึ้นชี้ตรงมายังเธอ ก่อนจะปล่อยกระแสไฟฟ้าพุ่งตรงเข้าใส่อกข้างซ้ายของเจนอย่างแม่นยำโดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย และเมื่อเห็นว่าเจนนั้นล้มลงไปกับพื้นแล้ว เธอก็หันหลังกลับก่อนที่จะก้าวขาออกไปในทันที

 

“ด—เดี๋ยว…”

 

ถึงแม้ว่าเจนจะถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเข้าใส่จนล้มไปกองกับพื้น ลมหายใจติดขัดและดวงตาพร่ามัว แต่ว่าเธอก็พยายามที่จะยื่นมือออกไปและร้องเรียกแมรี่ที่กำลังเดินจากไป ถึงแม้ว่าร่างตรงหน้านั้นจะไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเธอเลยก็ตามที…

 

เปรี๊ยง!! เปรี๊ยง!!

 

แมรี่ได้เดินไปทั่วทั้งคฤหาสน์ และปล่อยวิซธาตุไฟฟ้าเข้าใส่ทุกคนที่เธอเห็น จนกระทั่งเมื่อเธอเดินไปถึงห้องออฟฟิศของเวก้าก็ไม่เหลือใครที่ยังมีชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อีกต่อไป

 

มีเพียงแค่เธอกับเวก้าที่อยู่เบื้องหลังประตูบานนี้เท่านั้น

 

แอ๊ดดดด…

 

“มาแล้วหรอครับ…? ผมมีเรื่องที่จะต้องบอกคุ–”

 

เมื่อเวก้าซึ่งนั่งเอามือปิดหน้าอยู่ที่โต๊ะของเขาได้ยินเสียงของประตูที่ถูกเลื่อนเปิดออก เขาก็พูดขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้หันไปมองเนื่องจากคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่เขาเรียกให้มาพบเมื่อสักครู่นี้

 

“แกเองสินะ…!”

 

“—แมรี่!?”

 

แต่เมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นมาให้ได้ยินเขาก็ชะงักไปและรีบเงยหน้าขึ้นมาดูในทันที ก่อนที่เขาจะพบเข้ากับแมรี่ที่กำลังหันมือมาทางเขาอยู่

 

เปรี๊ยง!!

 

“อ๊–!?”

 

แมรี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าใส่เขาในทันทีทำให้ตัวเขากระตุกสะบัดขึ้นจากเก้าอี้และล้มไปกองอยู่กับพื้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใช้พลังที่มากพอจะฆ่าเขาให้ตายในทีเดียว

 

“ไม่ต้องห่วง…ฉันไม่ปล่อยให้แกได้ตายสบายๆ หรอก…!”

 

“ด–เดี๋–”

 

เวก้าที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็พยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ว่ากระแสไฟฟ้าที่แมรี่ปล่อยเข้าใส่เขาเมื่อสักครู่นี้นั้นก็ทำให้เขาชาไปทั้งตัวจนไม่อาจจะเอ่ยปากออกมาได้

 

สวบ

 

“อ๊ากกกกก!!”

 

ทันใดนั้นเองแมรี่ก็เดินเข้ามาใกล้และใช้เล็บของเธอเสียบเข้าที่ลูกตาข้างซ้ายของเขาและออกแรงดึงมันออกมาทั้งยวง ก่อนที่เธอจะเดินถอยออกมามองดูเวก้าที่กำลังกรีดร้องทุรนทุรายกุมเบ้าตาข้างที่ถูกควักออกมา

 

“เป็นยังไงล่ะ? ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นมาเล่นกับร่างกายของตัวเองน่ะ?”

 

แมรี่พูดออกมาในขณะที่กำลังมองดูลูกตาที่ยังคาอยู่บนนิ้วของเธอ จากนั้นเธอจึงปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่มันจนไหม้เกรียมและสลายเป็นฝุ่นผงไป

 

“ว่าไง? ไม่คิดจะตอบอะไรสักหน่อยหรอ?”

 

เปรี๊ยะ

 

“อ๊ากกก!!”

 

แมรี่พูดออกมาก่อนที่เธอจะปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าใส่เวก้าอีกครั้งจนทำให้เขากรีดร้องออกมาและพยายามที่จะลากร่างของตัวเองให้ออกห่างจากเด็กหญิงตรงหน้า

 

“…จะไปไหน?”

 

ผล๊วะ!

 

เมื่อแมรี่เห็นเวก้ากำลังพยายามคลานหนีไปเธอก็เตะเข้าใส่ลำตัวของเวก้าอย่างรุนแรง ก่อนที่จะนั่งคุกเข่าลงข้างๆ เขาและใช้มือของเธอกดหัวของเขาเอาไว้กับพื้น

 

“แกยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยนะ”

 

“ธ–เธอไ—-อ๊ากกกกก!!!?”

 

“ขอโทษที ฉันไม่อยากฟังน่ะ”

 

เมื่อเวก้ากำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างออกมา แมรี่ก็กลับใช้พลังวิซของตนปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าใส่เวก้าจนทำให้ต้องกรีดร้องออกมาอีกหน ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินไปหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาจากชั้นวางและเดินเอามันกลับมานั่งอยู่ข้างๆ ตัวเวก้า

 

“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าคนที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางอย่างแก ที่จริงแล้วก็เป็นแค่ฆาตกรเลือดเย็นที่ฆ่าคนไปแล้วมากมายน่ะ…”

 

เธอเปิดดูเอกสารพวกนั้นก่อนที่จะโยนมันทิ้งไปจนกระจายไปทั่วทั้งห้อง และเผยให้เห็นรายชื่อของผู้ที่เข้ารับการทดลองจำนวนมากซึ่งล้วนแต่เสียชีวิตไปหมดแล้ว มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกเขียนเอาไว้เหมือนกับว่ายังรอดชีวิตอยู่หรือสามารถหนีไปได้

 

เธอลุกยืนขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเดินถอยห่างออกไปเล็กน้อยและหันกลับมาจ้องมองเวก้าด้วยสายตาโกรธแค้นแล้วจึงตวาดออกมาพร้อมกับปาเอกสารชุดหนึ่งเข้าใส่เวก้าอย่างรุนแรง ซึ่งมันก็คือเอกสารรายงานภารกิจของเวก้าที่ระบุถึงภารกิจการสังหารพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอนั่นเอง

 

“แกไม่มีความเมตตาเลยหรือไงกัน! หรือว่าขอแค่มีคำสั่งลงมาแกก็พร้อมที่จะกระดิกหางรับใช้โดยไม่คิดอะไรทั้งนั้นสินะ!! ถึงได้ฆ่าพวกเขาไปได้อย่างเลือดเย็นแบบนั้นน่ะ!? ทั้งๆ ที่จริงแค่แอบพาตัวหนูออกมาโดยไม่ต้องฆ่าใครเลยก็ได้แท้ๆ …”

 

แมรี่ที่ตะโกนออกมาเสียงดังทำให้เธอต้องหยุดหอบหายใจไปสักพัก จากนั้นจึงยกมือของเธอขึ้นมาชี้ตรงไปยังร่างของเวก้าที่ยังคงนอนกุมเบ้าตาของตัวเองอยู่บนพื้นพร้อมกับสร้างลูกบอลไฟฟ้าสีทองขึ้นมา

 

“…มีอะไรจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายมั้ย?”

 

“ด… ได้โปรด…”

 

เมื่อแมรี่ได้ยินแบบนั้นเธอก็หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความสมเพชเพราะคิดว่าเวก้านั้นกำลังจะร้องขอให้เธอไว้ชีวิตเขา เธอจึงเตรียมที่จะยิงกระแสไฟฟ้าออกมาใส่เขาในทันที แต่แล้วประโยคถัดไปของเวก้านั้นก็ทำให้เธอชะงักไป

 

“ด… ได้โปรด… ไว้ชีวิตเจนด้วย… เธอ… เธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้…”

 

“เจน… ค…คุณแม่?”

 

ทันทีที่แมรี่ได้ยินชื่อของสาวใช้ที่เป็นแม่เลี้ยงของเธอดวงตาที่กำลังเรืองแสงสีทองออกมาก็ดับลงไปและกลับกลายเป็นสีฟ้าดังเดิม พร้อมๆ กับที่ลูกบอลไฟฟ้าสีทองได้สลายหายไปในทันที

 

“คุณแม่…”

 

เด็กสาวพึมพำออกมาอย่างสับสนและก้มหน้ามองดูเวก้าที่สลบลงไปก่อนที่เธอจะก้าวถอยหลังออกไปจากห้องออฟฟิศด้วยความหวาดกลัวในสิ่งที่ตัวของเธอได้ทำลงไป

 

“…คุณแม่อยู่ที่ไหน”

 

หลังจากที่เด็กสาวได้วิ่งไปตามโถงทางเดินและพบกับร่างของอัศวินและสาวใช้จำนวนมากที่นอนก่ายกองกันเต็มไปหมดเธอก็พึมพำออกมาอย่างสับสนในทันทีเพราะความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของเธอนั้นคือตอนที่เธอกำลังจะสลบไปในห้องทดลอง แล้วหลังจากนั้นก็มีแต่ความสับสนราวกับว่ามีความทรงจำของคนอื่นแทรกเข้ามาในหัวของเธอเป็นจำนวนมาก

 

ก่อนที่สุดท้ายแล้วการค้นหาของเธอจะมาจบลงที่ห้องทานอาหาร ที่ด้านในนั่นมีร่างของเจนที่เสื้อผ้าบริเวณหน้าอกมีแผลไหม้จนดำอยู่

 

“คุณแม่!?”

 

เธอรีบวิ่งเข้าไปประคองตัวเจนขึ้นมาและพยายามเขย่าเรียกเบาๆ ด้วยความหวังที่จะให้เจนลืมตาตื่นขึ้นมาตอบกลับเธอสักนิดก็ยังดี

 

“คุณแม่คะ! นี่หนูเองนะ! หนูแมรี่ของคุณแม่ไงคะ!!”

 

“แมรี่หรอจ๊ะ…”

 

ทันใดนั้นเองเจนก็ได้ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะเรียกชื่อของเธอออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วจึงยิ้มออกมาพร้อมกับมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน และพยายามที่จะยกมือของเธอขึ้นมาลูบหัวของแมรี่ที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่

 

แต่ว่ามือของเธอกลับตกลงสู่พื้น ก่อนที่ลมหายใจอันแผ่วเบาของเธอจะหยุดลงไป

 

“หนู…. หนูขอโทษค่ะ… คุณแม่…หนูขอโทษ…”

 

เธอพูดออกมาเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความรู้สึกผิด เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเธอเองที่ทำร้ายคุณแม่ของเธอไปโดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

 

แต่ว่าเจนนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเกลียดเธอเลยแม้แต่น้อย และยังคงจ้องมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา

 

“หนูขอโทษค่ะ…หนูขอโทษ… ได้โปรดตื่นขึ้นมาเถอะค่ะ… คุณแม่คะ…”

 

แมรี่พยายามที่จะเขย่าร่างของเจนและเรียกเธออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสักเพียงใด ร่างในอ้อมกอดของเธอก็ไม่มีการตอบสนองกลับมาเลยแม้แต่น้อย

 

ก่อนที่เสียงร้องไห้สลับกับเสียงของแมรี่ที่พยายามจะร้องปลุกเจนขึ้นมาอีกครั้งจะดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามร้องไห้เรียกให้คุณแม่ของเธอกลับมามากสักเท่าไหร่ เจนนั้นก็ไม่อาจที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาพูดกับเธอได้อีกแล้ว

 

และเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเธอก็ตัดสินใจที่จะอุ้มร่างของเจนขึ้นมาและเดินนำพาร่างของเจนผ่านร่างไร้วิญญาณจำนวนมากในคฤหาสน์นี้กลับไปยังห้องของเธอ แล้วจึงจัดท่านอนให้กับคุณแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย

 

ก่อนที่แมรี่จะคว้าเอากรรไกรในโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งเธอเคยเกือบจะเอามันแทงใส่ร่างของเจนไปเมื่อวันก่อนนั้นมาจ่อเข้ากับลำคอของตัวเอง

 

“หนูจะตามคุณแม่ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ…”

 

แต่ว่าในขณะที่เธอกำลังจะเอามันแทงใส่ลำคอของตัวเองนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ที่ยื่นพ้นออกมาจากกระเป๋ากระโปรงของเจนเข้า

 

“…สมุดบันทึก…ของคุณแม่…?”

 

ด้วยความสงสัยปนอยากรู้ของเด็กสาวก็เลยทำให้เธอตัดสินยั้งมือจากกรรไกรในมือไปก่อน และเมื่อเธอเปิดสมุดบันทึกนั้นดูก็พบว่ามันคือสมุดไดอารี่ที่คุณแม่ของเธอจดบันทึกเรื่องต่างๆ ในแต่ละวันเอาไว้ทำให้เธอลองเปิดมันผ่านๆ ดูก่อนจะสะดุดใจเข้ากับบันทึกหน้าหนึ่ง ซึ่งมันคือวันก่อนที่เธอจะได้พบกับคุณแม่ของเธออีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน

 

‘ในที่สุดวันพรุ่งนี้ก็จะได้เจอกับแมรี่อีกครั้งหลังจากต้องแอบหลบหน้าเธอมาตลอดสักที ท่านเวก้าอนุญาตให้พาเธอไปเที่ยวเล่นในเมืองแถมยังออกงบซื้อของขวัญให้กับเธอด้วย แมรี่คงจะแปลกใจมากแน่ๆ’

 

“…ไม่ใช่ว่าคุณแม่ไปทำงานที่ต่างเมืองหรอกหรอ?”

 

‘ดูเหมือนว่าแมรี่จะชอบแพนเค้กของร้านนั้นมาก เธอถึงได้พูดชมไม่ขาดปากเลยแบบนั้น เอาไว้ถ้ามีโอกาสต้องลองขอท่านเวก้าพาเธอมาอีกครั้งแล้วล่ะ’

 

‘แมรี่รู้เรื่องที่ว่าเธอไม่ใช่ลูกของฉันแล้ว…

วันนี้มีจดหมายของวังหลวงถูกส่งออกมา พวกนั้นมองดูแมรี่ไม่ต่างจากหนูทดลองซะด้วยซ้ำ

ฉันไม่มีวันยอมหรอก… เธอเป็นลูกสาวของฉันนะ ถึงท่านเวก้าจะบอกว่ามันอันตรายเกินไปที่จะขัดคำสั่งของเบื้องบนแต่ว่าก็น่าจะมีสักวิธีสิ…’

 

‘วันนี้ฉันแอบเข้าไปในห้องทำงานของท่านเวก้าแล้วเอาเอกสารที่เกี่ยวกับพ่อแม่ของแมรี่วางเอาไว้ให้สังเกตเห็นได้ง่ายๆ

ถึงท่านเวก้าจะรู้สึกผิดจนพยายามจะปิดบังเอาไว้ก็เถอะ แต่ฉันก็คิดว่าแมรี่ควรที่จะได้รับรู้

แล้วฉันก็ไม่คิดว่าเด็กจิตใจดีอย่างเธอจะโกรธแค้นถึงขั้นที่จะลงมือทำร้ายพวกเราหรอก

ถ้าเกิดว่าเธอได้รู้ความจริงแล้วไม่อยากเรียกฉันว่าแม่อีกต่อไปฉันก็จะพยายามยอมรับให้ได้

…แต่ว่าฉันก็จะเลี้ยงดูเธอต่อไปอยู่ดี

หวังว่าท่านเวก้าคงจะเข้าใจถึงสิ่งที่ฉันทำลงไปนะ…’

 

‘ท่าทางว่าเมื่อคืนนี้แมรี่จะเข้าไปในห้องทำงานของท่านเวก้าทันทีหลังจากที่ฉันออกมา…

เหมือนว่าเธอจะพยายามเข้ามาถามยืนยันกับฉันอีกครั้งแต่ก็ร้องไห้ออกมาซะก่อน…

หวังว่าหนูจะยอมยกโทษให้กับแม่นะที่ปิดปังเรื่องนี้มาตั้งหลายปี’

 

‘แมรี่โกรธฉัน…เธอไม่ยอมพูดกับฉันทั้งวันเลย…หวังว่าเธอจะหายโกรธฉันเร็วๆ นะ’

 

‘ดูเหมือนว่าแมรี่จะโกรธท่านเวก้ามากกว่าฉันอีก…

เธอไม่ยอมมองหน้าท่านเวก้าเลยด้วยซ้ำ ตอนที่เธอกำลังทานข้าวอยู่แล้วท่านเวก้าเดินเข้ามา เธอก็หยุดทานแล้ววิ่งออกจากห้องไปเลย

แต่เหมือนว่าท่านเวก้าจะไม่ได้สังเกตอะไรเลย ยังจะมาถามฉันอีกว่าแมรี่เป็นอะไรไป’

 

‘แมรี่ขึ้นเสียงใส่ฉันเป็นครั้งแรก…

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบใจที่ฉันยังทำตัวเป็นแม่ของเธออยู่

แต่ว่าผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเธอก็เดินกลับมาแอบมองดูฉันด้วยท่าทางสำนึกผิดแล้ว

ลูกสาวของฉันก็เติบโตขึ้นมาแล้วนะเนี่ย

แต่ก็ยังเป็นเด็กตัวน้อยของฉันอยู่เหมือนเดิมนั่นล่ะ…’

 

“คุณแม่คะ…”

 

ในทุกหน้ากระดาษนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวของแมรี่ที่เจนได้เขียนลงไปด้วยความรักและห่วงใย ก็ทำให้น้ำตาของเธอเริ่มที่จะไหลออกมาอีกครั้ง

 

‘ท่านเวก้าใจแข็งเกินไป…

ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมท่านตั้งหลายรอบแล้ว แต่ว่าท่านก็ไม่ยอมคิดทบทวนดูใหม่…

เขาบอกกับฉันว่าถ้าเกิดว่าแมรี่หายตัวไปกะทันหันหรือว่าเขาขัดคำสั่งของวังหลวง พวกนั้นจะส่งคนมาจัดการทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ทิ้ง…

ถึงฉันจะได้ยินมาจากคุณเอริกะว่าให้ระวังพวกคนในนั้นให้ดี แต่พวกเขาคงไม่ใจร้ายขนาดฆ่าคนของตัวเองเพื่อปิดปากหรอกใช่มั้ย…’

 

‘ท่านเวก้าลงมือแล้ว… แถมยังรัดกุมจนฉันหาทางหนีให้กับแมรี่ไม่ได้… ฉันได้แต่บอกลาเธอไปสั้นๆ เท่านั้นเอง

ถึงท่านเวก้าจะบอกไว้ว่ามีโอกาสสำเร็จน้อยมากก็เถอะ แต่ฉันเชื่อว่าถ้าเป็นแมรี่ละก็เธอต้องรอดมาได้แน่นอน เพราะว่าเธอเป็นลูกสาวของฉันยังไงล่ะ

ถ้าเกิดว่าเธอรอดมาได้จริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะบอกท่านเวก้าว่าจะพาเธอไปฉลองที่ร้านแพนเค้กร้านนั้นแล้วพาตัวเธอไปหาคุณเอริกะแทน…

ให้คุณเอริกะพาแมรี่หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไปให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกวังหลวงบ้าบอนี่

แต่ว่าจะพาตัวแมรี่ผ่านประตูเฝ้าเมืองชั้นในไปได้ยังไงกัน…

อาจจะต้องพาไปซ่อนที่คลินิกของคุณอารอนในเขตเมืองชั้นนอกก่อน ค่อยไปตามคุณเอริกะมาอีกทีนึง’

 

ข้อความในหน้าสุดท้ายนั้นเหมือนจะถูกเขียนเมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่เธอแยกจากแมรี่ที่ห้องอาหาร ซึ่งมันถูกเขียนไว้ด้วยลายมือที่ยุ่งเหยิงรวมทั้งยังเปื้อนเป็นด่างเป็นดวงราวกับว่าเธอนั้นกำลังร้องไห้ไปเขียนไปอย่างไรอย่างนั้น

 

“หนูขอโทษค่ะ… คุณแม่… หนูขอโทษ…”

 

แมรี่วางสมุดบันทึกนั้นไว้บนเตียงก่อนที่จะร้องไห้ออกมาและก้มลงไปกอดร่างของเจนบนเตียงอีกครั้งหนึ่ง

 

หลังจากที่เธอร้องไห้ออกมาเป็นเวลานานจนน้ำตาของเธอไม่มีให้ไหลออกมาอีกแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นมาและเหลือบไปเห็นกรรไกรอันโปรดของเจนเข้า ทำให้เธอมีความคิดที่จะเอามันมาใช้เพื่อจัดการจบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง

 

ตุ๊บ

 

แต่ว่ามือของเธอที่เอื้อมออกไปนั้นกลับปัดไปโดนสมุดบันทึกที่วางไว้ข้างๆ กันเข้าจนทำให้มันตกลงไปบนพื้นและเปิดอ้าออกมา เผยให้เห็นด้านในของปกหลังที่เธอไม่ได้เปิดไปดู

 

“ใครก็ตามที่ได้เห็นข้อความนี้ ได้โปรดไปดูที่ด้านหลังตู้หนังสือในห้องของฉัน และช่วยรับเขาไปดูแลด้วย”

 

“ด้านหลังตู้หนังสือ…?”

 

ข้อความนั้นระบุถึงตู้หนังสือภายในห้องของเจนรวมถึงมีภาพอธิบายสำหรับเปิดกลไกประตูลับที่ติดอยู่ด้านข้างของตัวตู้หนังสือนั้นเอาไว้ ทำให้แมรี่รีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปเปิดมันดูในทันที

 

ซึ่งด้านหลังตู้หนังสือนั้นเธอก็พบกับห้องลับที่ถูกปูไว้ด้วยพรมนิ่มๆ และผ้าม่านผืนหนาที่ถูกแขวนเอาไว้ที่ผนังรอบด้าน

 

และที่ตรงกลางห้องนั้นก็มีเตียงขนาดเล็กสำหรับเด็กทารกถูกตั้งเอาไว้

 

“นี่มัน…ลูกของคุณแม่…?”

 

เมื่อแมรี่เดินเข้าไปดูเตียงนั้นใกล้ๆ เธอก็พบกับร่างของเด็กทารกคนหนึ่งที่กำลังหลับสนิทเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่น้อย

 

เธอค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปหาร่างของทารกน้อยคนนั้นและอุ้มขึ้นมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างเล็กๆ ในมือนั้น ก่อนที่แววตาที่สิ้นหวังของเธอจะค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความแน่วแน่ขึ้นมา

 

เธออุ้มร่างเด็กทารกคนนั้นไปวางไว้บนเตียงข้างๆ ร่างของเจน ก่อนที่จะค้นหาเสื้อผ้าในตู้ของเจนขึ้นมาสวมใส่แทนชุดคนไข้เด็กของเธอซึ่งคับแน่นจนแทบจะฉีกขาดเพราะร่างกายของเธอที่เติบโตขึ้นมาจากเด็กอายุแปดขวบกลายเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าปี

 

เธออุ้มร่างของทารกน้อยขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะคิดถึงสถานที่ที่เธอจำเป็นต้องไป

 

“คุณแม่ชอบพูดถึงเรื่องของคุณเอริกะอยู่บ่อยๆ แต่ว่าคุณเอริกะที่ว่านั่นอยู่ส่วนไหนของเขตเมืองชั้นในก็ไม่รู้… แล้วในไดอารี่ของคุณแม่มีพูดถึงคนที่ชื่ออารอนเอาไ—- เอ๊ะ!?”

 

แต่ทันทีที่เธอนึกถึงชื่อของอารอนขึ้นมาในหัวของเธอก็ปรากฏภาพความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วช่วยบอกใบ้ให้เด็กสาวได้รับรู้ว่าเธอควรจะเริ่มไปที่ไหน

 

เธอนิ่งไปเพื่อทบทวนภาพในหัวของเธออยู่สักพักก่อนที่จะเดินเข้าไปเพื่อบอกลาคุณแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงก้าวขาออกไปจากห้องด้วยความเด็ดเดี่ยว

 

“วางใจได้เลยค่ะคุณแม่… หนูจะปกป้องเขาเอง…”