“แล้วหลังจากนั้นเธอก็รีบวิ่งเข้าเมืองจนมาชนกับฉันที่หน้าทางเข้านั่นสินะ?”
“ค่ะ…”
แมรี่ที่กำลังนั่งกอดทารกคนนั้นเอาไว้ได้เงยหน้าขึ้นมาตอบนากากลับไปเบาๆ ก่อนที่จะก้มลงไปมองเด็กทารกตัวน้อยในอ้อมแขนของเธอต่อ ในขณะที่อารอนซึ่งกำลังนั่งทำแผลให้กับนากาอยู่นั้นก็ยกมือขึ้นมากุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าแมรี่นั้นเล่าทุกอย่างออกมาให้ทุกคนฟังจนหมด ทั้งเรื่องที่ควรเล่าและไม่ควรเล่า
และเมื่อเอริกะเห็นแบบนั้นเข้า เธอก็เลิกคิ้วมองเขาก่อนที่จะเอ่ยปากถามขึ้นมา
“นี่อารอน—”
“เฮ้อ… ฉันรู้อยู่แล้ว… ยังจะต้องถามอีกหรอ…?”
เขาชิงพูดตัดเอริกะด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ละความสนใจไปจากเขาและหันไปลูบหัวของแมรี่ไปมาแทน
“นี่คุณเวก้าเขาเคยทำอะไรแบบนั้นด้วยหรอครับเนี่ย…”
“อืม… ตอนแรกฉันแค่ไม่ชอบเขาเฉยๆ เพราะว่าเขาเป็นขุนนางแล้วทำตัวน่าหมั่นไส้ แต่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่าจะเลวร้ายขนาดนั้นน่ะ…”
หลังจากที่ทุกคนเงียบไปสักพักคอนแนลก็พูดขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่นัก และเมื่อนากาได้ยินเข้าเขาก็พูดขึ้นมาบ้างเพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้าเวก้าสักเท่าไหร่แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกฝ่ายนั้นจะเคยฆ่าปิดปากพ่อแม่ของแมรี่เพื่อชิงตัวเธอมา
“เสียใจขึ้นมาแล้วหรือไงล่ะ…”
เสียงของอลิซดังขึ้นมาเบาๆ ให้นากาได้ยิน ทำให้เขาซึ่งเป็นคนไว้ชีวิตเวก้าที่คฤหาสน์นั้นหันไปมองเธอในทันที แต่เขาก็กลับพบว่าอลิซนั้นเหมือนจะสลบเหมือดหมดสภาพไปแล้วหลังจากเจอฝีมือการรักษาของอารอนเข้าไป
“ว่าแต่แมรี่ แล้วแบบนี้หนูจะเอายังไงต่อไปละ?”
เอริกะเอ่ยปากถามเด็กสาวออกมาก่อนจะเอานิ้วไปแหย่ทารกที่แมรี่อุ้มอยู่เล่น ซึ่งทารกคนนั้นก็ยกมือเล็กๆ ขึ้นมากำนิ้วของเธอเอาไว้อย่างไร้เดียงสา
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ… แต่หนูตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้จนกว่าเขาจะโตพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองได้ค่ะ…”
“แล้วเธอคิดว่าจะเลี้ยงดูเขาไหวหรือไง…? เธอก็น่าจะรู้ใช่มั้ยว่าการเลี้ยงเด็กทารกคนหนึ่งมันมีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยเลยนะ… ทั้งค่าอาหาร ค่าผ้าอ้อม ค่ายารักษา… แล้วนี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าเธอไม่มีบ้านอยู่แล้วอีก ถ้าเกิดเธอคิดจะเร่ร่อนอยู่ข้างนอกละก็ไม่นานก็คงอดตายไ—-”
“ด…เดี๋ยวก่อนสิอารอน นี่ไม่พูดตรงเกินไปหน่อยหรอ?”
“น…นั่นสิครับ แมรี่เขายังเด็กอยู่เลยนะครับ…”
เมื่อนากากับคอนแนลได้ยินอารอนพูดถึงความเป็นจริงที่โหดร้ายให้แมรี่ฟังพวกเขาก็ถึงกับต้องรีบช่วยกันพูดห้ามอารอนเอาไว้ก่อน
“มันเป็นเรื่องที่เธอจำเป็นต้องรู้เอาไว้… หรือว่าพวกนายจะให้ฉันปิดเอาไว้จนทั้งสองคนเป็นอะไรไปซะก่อนล่ะ…?”
“ม…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะที่พี่อารอนพูดมันก็เป็นความจริงนั่นแหละค่ะ…”
“แต่เรื่องพวกนั้นน่ะไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ ปัญหาของพวกเราตอนนี้ก็คือพวกวังหลวงเหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าวันนี้มันมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นน่ะสิ”
เอริกะที่เห็นว่าแมรี่เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองแล้วนั้น เธอก็รีบใช้โอกาสนี้พูดถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่พวกเธอจำเป็นต้องรีบจัดการกันก่อนขึ้นมาทันที ซึ่งคำพูดของเธอนั้นก็ทำให้นากาอดที่จะแขวะออกมาไม่ได้
“แหม่ ก็เล่นระเบิดปราสาทซะเละแบบนั้น ถ้ายังไม่รู้ว่าผิดปกติก็น่าเป็นห่วงแล้วละ”
“ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ… เพราะว่าพวกนั้นเพิ่งจะแค่เริ่มรู้ตัวว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใครเนี่ยน่ะสิ แล้วดูเหมือนว่าตอนอยู่ข้างในนั้นเวก้าเขาจะใส่ผ้าคลุมเอาไว้ตลอดเวลาก็เลยไม่มีใครระบุตัวได้ว่าคนร้ายที่วางระเบิดนั่นคือเวก้าจริงๆ หรือเปล่าน่ะ”
“…ถ้าใส่ผ้าคลุมเอาไว้แล้วเขาเข้าไปข้างในได้ยังไงล่ะนั่น?”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ถามออกมาอย่างสงสัย เพราะว่าตามความคิดของเขานั้นวังหลวงควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมือง ไม่น่าจะปล่อยให้มีคนสวมผ้าคลุมท่าทางน่าสงสัยเข้าไปเดินเล่นข้างในนั้นกันได้ง่ายๆ
“ถ้าอยากเข้าไปในนั้นเธอก็แค่แสดงตราประจำตัวให้อัศวินเฝ้าประตูดูก็พอแล้ว จะใส่ผ้าคลุมหรือแต่งตัวประหลาดเข้าไปเขาก็ไม่กล้าห้ามหรอก… ถ้าเธอไม่กลัวโดนคนข้างในนั้นเขาดูถูกเอาอะนะ”
“หา? แค่มีตราก็เข้าไปข้างในวังได้ง่ายๆ แล้วหรอ?”
“เรื่องนี้เป็นความจริงครับ เพราะปกติแล้วตราพวกนี้มันทำเลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ น่ะครับ มันจำเป็นต้องมีตราประทับอีกอันที่ออกโดยวังหลวงประทับไว้บนตราพวกนี้อีกทีด้วย อย่างผมเองเวลาจำเป็นต้องเข้าไปข้างในแค่แสดงตราประจำตัวอันนี้ให้ดูพวกเขาก็ปล่อยผ่านเข้าไปเลยเหมือนกัน”
คอนแนลหันมายืนยันและอธิบายให้นากาฟัง ก่อนที่เขาจะล้วงเอาตราประจำตัวอัศวินของตนเองออกมาให้นากาดู ซึ่งนากาก็เลิกคิ้วมองเขาเหมือนกับไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริงและถามซ้ำออกมาอีกที
“ต่อให้นายจะใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาท่าทางเหมือนจะมาปล้นปราสาทน่ะนะ…?”
“ใช่ครับ ถึงจริงๆ แล้วตามระเบียบจะต้องมีการบันทึกการเข้าออกก็เถอะ แต่ว่าพวกขุนนางเขาเห็นว่ามันเสียเวลาก็เลยไม่ยอมรอกัน พวกอัศวินเฝ้าประตูเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ปล่อยผ่านกันไปน่ะครับ”
“ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ~ เห็นเขาว่าสมัยก่อนมันมีตราแบบนี้ไม่ได้เยอะกันสักเท่าไหร่ ใครเป็นใครจะเข้าออกเวลาไหนมันก็ไม่ต้องเสียเวลาตรวจสอบกันนานเหมือนสมัยนี้ล่ะนะ~ แต่ตอนนี้ไม่รู้พวกเบื้องบนคิดอะไรกันอยู่ ขนาดอัศวินหน้าใหม่อย่างคอนแนลยังได้ตรามาใช้เลย แถมยังผ่านเข้าออกวังได้สบายๆ อีก”
แต่เมื่อคอนแนลได้ยินเอริกะพูดออกมาเหมือนกับว่าเธอรู้เรื่องอะไรบางอย่างนั้น เขาก็หันไปมองเธอด้วยสีหน้าแปลกใจในทันที
“เอ๊ะ? ปกติแล้วอัศวินอย่างผมไม่ได้ตราประจำตัวมาใช้กันหรอครับ?”
“อื้ม ฉันเคยไปแอบอ่านหนังสือประวัติเมืองรีมินัสที่ทางวังหลวงเขาเก็บเอาไว้น่ะ ก็เลยพอจะรู้มาบ้างว่าสมัยก่อนคนที่จะมีตราประจำตัวใช้จะต้องเป็นขุนนางตำแหน่งสูงๆ ไม่ก็พวกอัศวินชื่อดังๆ ที่สร้างคุณงามความดีให้กับเมืองน่ะ ไม่เหมือนตอนนี้ที่แม้แต่สาวใช้ในวังก็มีตราใช้กันแล้วซะด้วยซ้ำละมั้ง”
“ย…อย่างนั้นเองหรอครับ…”
“อ๋อ เป็นแบบนั้นเองสินะ…”
เมื่อเอริกะเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะเข้าใจเรื่องปัญหาของตราประจำตัวที่ยุคนี้มีใช้กันเกลื่อนแล้ว เธอจึงพูดขึ้นมาเพื่อพาพวกเขากลับเข้าหัวข้อเดิมที่คุยกันค้างเอาไว้
“แล้วทีนี้ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้นี่ละ พอพวกเขาผ่านประตูเข้าไปได้ง่ายๆ โดยไม่มีการบันทึกเอาไว้ เบื้องบนก็เลยตรวจสอบกันไม่ได้ว่ามีใครเข้าวังไปบ้าง พวกนั้นก็เลยเริ่มจับตัวอัศวินเฝ้าประตูไปในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็เค้นถามเอาว่ามีใครเข้าวังไปบ้างน่ะ”
“หะ!? ทำไมถึงจับตัวอัศวินไปละ? ไม่ใช่ว่าพวกนั้นไม่ยอมรอการตรวจสอบเองไม่ใช่หรือไงน่ะ”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ถามขึ้นมาอีกรอบเหมือนกับว่าเขาไม่เข้าใจพวกคนในวังมากขึ้นไปทุกที ทำให้เอริกะต้องพูดอธิบายออกมาอีกครั้งและรีบกลับเข้าเรื่องก่อนที่นากาจะได้ถามอะไรขัดจังหวะเธออีก
“ก็นะ… เรื่องอะไรพวกนั้นจะยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเองล่ะ… แล้วทีนี้พออัศวินเฝ้าประตูบอกไปว่ามีใครเข้าวังไปบ้าง พวกเบื้องบนก็รีบเรียกให้มารายงานตัวกันทีละคน จนกระทั่งขาดแค่เวก้าไปนี่ละ ถึงได้รู้กันว่าเขาหายตัวไปน่ะ”
“แต่นั่นมันก็เป็นปัญหาของคุณเวก้าเขาไม่ใช่หรอครับ? มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราหรือคุณหนูแมรี่เลยนี่ครับ?”
“นั่นสิเอริกะ?”
“ข…เขาหนีไปได้งั้นหรอคะ…?”
ดูเหมือนว่าคอนแนลกับนากาจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เอริกะพยายามจะสื่อจึงได้เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างสงสัย
ในขณะที่แมรี่นั้นกลับกอดทารกในอ้อมแขนของเธอแน่นขึ้นและเอ่ยปากถามเอริกะออกมาเบาๆ พร้อมทั้งหันไปมองทางหน้าต่างราวกับกลัวว่าเวก้าจะพุ่งทะลุหน้าต่างบานนั้นและเข้ามาแย่งตัวทารกน้อยในอ้อมกอดของเธอไป
“…ฉลาดดีนะเธอนี่ …ไม่เหมือนเจ้าบื้อสองคนนี้เลย”
เสียงของอลิซดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้นาการีบหันกลับไปมองทางเธออีกทีหนึ่งแต่เขาก็พบว่าอลิซนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่และไม่มีท่าทีเหมือนกับว่าจะตื่นขึ้นมา เขาจึงกระซิบถามคอนแนลขึ้นมาเบาๆ
“นายคิดว่ายัยนั่นแกล้งหลับอยู่หรือเปล่าน่ะ…”
แต่ว่ายังไม่ทันที่คอนแนลจะได้ตอบอะไรกลับมา เอริกะที่เห็นว่าท่าทางของพวกเขานั้นเหมือนจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อก็ได้พูดบอกใบ้ขึ้นมาอีกครั้งซะก่อน
“นายได้เห็นเอกสารเกี่ยวกับการทดลองในคฤหาสน์นั่นก็น่าจะรู้ใช่มั้ยละว่าคำสั่งมันมาจากวังหลวงโดยตรงน่ะ แล้วคิดว่าเหตุผลที่พวกนั้นออกตามหาเวก้ามันคืออะไรล่ะ? ฉันใบ้ให้ละกันว่าไม่ใช่เพราะเรื่องหอคอยระเบิดนั่นหรอก”
“—!? / —!!”
ซึ่งพอเอริกะบอกใบ้ออกมาแบบนั้น ก็ทำให้ทั้งนากาและคอนแนลถึงกับหันขวับไปหาแมรี่เป็นทางเดียวกันในทันที
“นั่นแหละ เพราะว่าพวกเขาอยากรู้เรื่องผลการทดลองเมื่อคืนต่างหากล่ะ แล้วนี่เวก้าเล่นหายตัวไปหลังจากเข้ามาในวังหลวง พวกนั้นก็เลยกลัวว่าเวก้าอาจจะทรยศแอบเข้ามาเอาเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวกับการทดลองไปส่งมอบให้เมืองอื่นน่ะสิ”
“เอาจริงดิ ทั้งๆ ที่เวก้าเขาเป็นคนของทางวังแท้ๆ เนี่ยนะ? …”
“พ…พวกเขาอาจจะเห็นว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นแล้วคุณเวก้าหายตัวไปก็เลยรีบออกคำสั่งให้ตามหาก็ได้นะครับ!”
“ไม่เอาน่าคอนแนลคุง… เธอเคยเข้าไปในวังมาบ้างแล้วก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าพวกคนข้างในนั้นเขาเป็นคนยังไงกันน่ะ? เธอกล้าพูดได้เต็มปากหรอว่าพวกนั้นเป็นห่วงเวก้าจริงๆ น่ะ?”
แต่คอนแนลซึ่งพยายามพูดปกป้องวังหลวงที่เขาเคยเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมก็ได้แต่เงียบลงไปเมื่อเขาถูกเอริกะย้อนถามกลับมาตรงๆ แบบนั้น
เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาจะเป็นเพียงอัศวินหน้าใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาไม่นาน แต่เขาก็พอจะสังเกตได้ว่าเหล่าขุนนางส่วนใหญ่ในวังนั้นต่างจากเวก้าที่เป็นเจ้านายของเขามาก
“งั้นพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ? คอนแนลนายพอจะรู้ระบบการทำงานของพวกในวังใช่หรือเปล่า? พวกเรามีเวลากันอีกเยอะมั้ย?”
“ถ้าเกิดว่าเป็นตามที่คุณเอริกะพูดจริงๆ ทางวังคงจะจัดลำดับความสำคัญไว้สูงมากเลยล่ะครับ… ผมคิดว่าไม่เกินสองอาทิตย์พวกเขาก็น่าจะสืบรู้ถึงเรื่องที่พวกเราไปสู้กับคุณเวก้าที่คฤหาสน์ แล้วก็เรื่องที่ว่านายเป็นหนึ่งในทีมของคุณเอริกะแล้วละครับนากา”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็มองไปทางเอริกะด้วยความลำบากใจในทันทีเพราะว่าดูเหมือนว่าเขาจะทำให้เธอลำบากเข้าซะแล้ว ซึ่งเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาและพูดติดตลกกลับไป
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนากาคุง~ ยังไงซะพวกนั้นก็เพ่งเล็งฉันไว้เป็นพิเศษอยู่แล้ว แถมฉันยังเป็นคนส่งนายไปที่คฤหาสน์เองด้วยอีกแน่ะ”
“ถ… ถ้างั้นเดี๋ยวหนูจะพาเด็กคนนี้หนีออกไปจากเมืองให้ไกลเองค่ะ… พวกพี่ๆ จะได้ไม่เดือดร้อ–”
“เรื่องนั้นฉันคงยอมไม่ได้หรอกนะ…”
แต่ยังไม่ทันที่แมรี่จะได้พูดเสนอความคิดของเธอจนจบ อารอนก็รีบตัดบทออกมาซะก่อน พร้อมกับส่งสายตาตำหนิใส่เด็กสาวที่หันมามองเขาอย่างตกใจ
“ฉันไม่ปล่อยให้พวกเธอออกไปเร่ร่อนไม่มีที่พักอยู่ข้างนอกแบบนั้นแน่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สภาพที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้กันแบบนี้น่ะ…”
“ต…แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่! นับตั้งแต่วินาทีที่เธอไปที่คลินิก พวกเธอทั้งคู่เป็นคนไข้ของฉันแล้ว… เพราะงั้นถ้าเกิดพวกวังหลวงคิดจะพาตัวเธอไปจริงๆ ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน”
“พ…พี่อารอน…”
แมรี่ที่ได้ยินอารอนประกาศจุดยืนของตนออกมาอย่างชัดเจนแบบนั้นก็ทำให้เธอพูดอะไรไม่ถูกไป ในขณะที่นากาก็ยิ้มออกมาและพยักหน้าให้กับอารอนที่เหลือบตามองมาทางเขาอยู่ แล้วเขาจึงหันไปพูดกับแมรี่ที่ทำท่าทางเหมือนจะทำตัวไม่ถูกอยู่
“ก็ตามที่อารอนเขาว่ามานั่นแหละ ถ้าเกิดพวกนั้นจะมาพาตัวเธอไปก็ต้องผ่านพวกฉันกับอารอนไปก่อน ใช่มั้ยล่ะเอริกะ?”
“…..”
“…เอริกะ?”
นากาเอ่ยเรียกเอริกะซ้ำขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันไปมองเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา และเขาก็พบว่าเธอกำลังขมวดคิ้วจ้องอารอนอยู่เงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ในขณะที่อารอนนั้นก็จ้องหน้าเอริกะกลับมาด้วยสีหน้านิ่งเฉยโดยที่ไม่ได้พูดอะไร และหลังจากที่ทั้งสองคนจ้องหน้ากันได้สักพักเอริกะก็ร้องโวยวายออกมา
“ให้ตายสิ! ฉันกะจะเก็บคำพูดเท่ๆ แบบนั้นไว้พูดเองซะหน่อย แต่กลับโดนหมอนี่แย่งไปก่อนซะได้เนี่ยสิ!”
“อ…เอ๋? พ…พี่สาว…?”
“อื้อ ฉันเองก็คิดแบบเดียวกับอารอนเขาเหมือนกัน แมรี่จังเธอไม่จำเป็นต้องหนีไปไหนทั้งนั้นแหละเดี๋ยวเรื่องนี้พี่สาวคนนี้จะจัดการให้เอง~”
เธอยิ้มตอบแมรี่กลับพร้อมยกนิ้วโป้งขึ้นมาชูให้เด็กสาวไป จนทำให้แมรี่ที่ยังคงรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเอริกะเท่าไหร่นักถึงกับเลิ่กลั่กสับสนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดีไปอยู่สักครู่หนึ่ง
“แล้วนี่คุณเอริกะเตรียมแผนอะไรไว้แล้วหรอครับ?”
คอนแนลที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าท่าทางของเอริกะนั้นดูเหมือนเธอจะมั่นใจว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
“ไม่มีหรอก แต่ถ้าถึงเวลาจริงๆ เดี๋ยวก็คิดออกเองล่ะ!”
“เดี๋ยวสิครับ! อย่างงี้มันจะไม่มีปัญหาเอาหรอครับ!?”
“แหม~ หรือว่าจะให้ฉันปล่อยหนูน้อยแมรี่ที่น่าสงสารคนนี้หนีไปเลี้ยงดูเด็กทารกตัวน้อยอยู่ในป่านอกเมืองด้วยตัวคนเดียวหรอ ใจร้ายจังเลยนะคอนแนลคุงเนี่ย~”
“ใช่แบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะครับ!!”
คอนแนลที่โดนเอริกะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางกวนๆ ก็รีบตอบกลับไปทันที แต่ว่าเอริกะก็ไม่สนใจเขาและหันไปพูดกับอลิซที่กำลังแกล้งนอนหลับอยู่แทน
“แล้วเธอจะเอาไงละอลิซ? จะร่วมวงด้วยหรือเปล่า?”
“เฮ้อ…ถ้าเกิดได้แผนอะไรก็มาว่ากันอีกทีก็ละกัน…”
อลิซที่ถูกเอริกะถามขึ้นมาแบบนั้นก็เลิกแกล้งนอนหลับและยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งโดยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่นากาที่หันมามอง ซึ่งเมื่อเอริกะได้ยินแบบนั้นเธอจึงพูดแผนของเธอที่เพิ่งคิดขึ้นเมื่อสักครู่ออกมา
“ถ้าถามว่ามีแผนอะไรมั้ย… อันดับแรกเราก็รีบชิงไปแจ้งวังหลวงก่อนว่าคฤหาสน์ของเวก้ามีเรื่อง แล้วก็พาแมรี่กับเด็กคนนี้ไปบอกว่าเป็นสาวใช้กับลูกของเธอที่รอดชีวิตมาจากคฤหาสน์ เท่านี้พวกวังหลวงก็น่าจะเบนเป้าไปทางอื่นแทนแล้วล่ะ”
“ถ้าได้แบบนั้นก็ดีเลยไม่ใช่หรอครับ?”
คอนแนลที่ได้ยินเอริกะอธิบายแผนการออกมาแบบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง แต่ว่าเอริกะก็กลับส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาให้เขา
“มันก็แค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้นล่ะ เพราะว่ามันยังมีอีกปัญหานึงที่อาจจะทำพวกเราซวยกันหมดได้อยู่”
“เธอกำลังหมายถึงตัวเวก้าเขาเองงั้นสินะ…”
“อ่าว? เวก้าเขาทำไมอีกล่ะ?”
เอริกะหันกลับมาพยักหน้าตอบคำถามของอลิซ ทำให้นากาที่ได้ยินชื่อโจทก์เก่าอีกครั้งแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกมา
“ก็พวกนายบอกว่าคนที่โจมตีปราสาทกับคนที่หมายหัวแมรี่ก่อนหน้านี้คือเวก้าใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็ใช่นั่นแหละครับ”
“แล้วฉันขอเดาว่าพวกนายไม่ได้ลงมือจัดการเขาไปใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็แน่อยู่แล้วสิ! ในเมื่อเวก้าเขาไม่คิดจะสู้ต่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องจัดการเขาไม่ใช่หรือไง!?”
แน่นอนว่านากาก็รีบถามกลับไปเสียงดังในทันทีที่เขาได้ยินคำถามของเอริกะ แต่นั่นก็กลับยิ่งทำให้เธอทำหน้าลำบากใจเข้าไปอีก
“ก็เพราะว่าเขายังมีชีวิตอยู่แบบนั้นเราก็เลยไม่รู้ว่าเขาจะเอายังไงต่อนี่น่ะสิ… ถ้าเกิดว่าเขายังไม่คิดจะจบแค่นี้แล้วไปแจ้งเรื่องจริงให้วังหลวงรู้ขึ้นมา พวกนั้นก็ได้บุกมาจับพวกเราไปทั้งหมดนี่ล่ะ”
“เอ๊ะ—”
“อืม… ถ้าเป็นแบบนั้นพวกวังหลวงก็คงจะเชื่อเวก้าที่เป็นผู้รับผิดชอบการทดลองมากกว่าพวกเราอยู่แล้วงั้นสินะ…”
อารอนที่นั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่เอ่ยปากพูดขึ้นมาพลางหันไปมองแมรี่ที่กำลังนั่งกอดทารกน้อยอยู่ข้างๆ เขา ซึ่งเอริกะนั้นก็ได้พยักหน้าเป็นคำตอบและพูดยืนยันขึ้นมาอีกที
“ก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะ~ ฉันก็เลยคิดว่าพวกเราควรจะรีบไปแจ้งเรื่องนี้กับทางวังหลวงก่อนที่เวก้าจะมีโอกาสได้ทำน่าจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดทางวังส่งคนออกมาไล่ตามล่าเขา เวก้าก็น่าจะระแวงว่าเป็นการส่งคนมาปิดปากหรือเปล่าจนไม่กล้ากลับเข้าไปแจ้งเรื่องในวังหรอก แล้วระหว่างนั้นเราก็ค่อยคิดวิธีจัดการเรื่องนี้อีกทีนึงละกัน”
“ถ้างั้นฉันขอไปกับเธอด้วยสิเอริกะ… ยังไงเธอก็กะจะพาแมรี่กับเด็กคนนั้นไปพร้อมกันอยู่แล้วใช่มั้ยละ…?”
เมื่ออารอนได้ยินแบบนั้นเขาก็เอ่ยปากขอตามเอริกะเข้าไปในวังหลวงด้วยในทันที
“อื้มมม~ ก็ดีนะ จะได้มีคนช่วยดูแลเด็กคนนั้นด้วยเลย เพราะจะให้ฉันคอยดูแลเด็กคนนั้นระหว่างที่แมรี่ไปให้ปากคำก็คงไม่ไหวเหมือนกันละ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว…”
“อ่ะ— ถ้างั้นฉันขอไปกับอารอนด้วยได้มั้ยคะ~?”
ทางด้านนางพยาบาลผมบลอนด์ซึ่งเพิ่งจัดการซักผ้าที่เอามาซับเลือดของอลิซเสร็จและเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นได้ยินเอริกะบอกอนุญาตให้อารอนตามไปด้วยแบบนั้น เธอก็พูดขึ้นมาเพื่อขอตามไปอีกคนเช่นกัน
“เธอจะไปด้วยหรอ…? แล้วแบบนี้ใครจะคอยอยู่ดูแลอลิซล่ะ…?”
เมื่ออารอนได้ยินแบบนั้นเขาก็พูดออกมาพลางเหลือบหันไปมองทางอลิซ ทำให้เธอร้องออกมาอย่างไม่พอใจในทันที
“นี่! ฉันดูแลตัวเองได้นะ!!”
แต่ว่าเมื่อได้ยินคำพูดที่อลิซเถียงกลับมา เขาก็หันไปหรี่ตามองก่อนจะพูดดุเธอออกมา
“ฉันหมายถึงคอยดูแลไม่ให้เธอออกไปซนที่ไหนอีกต่างหาก… เพิ่งเจอกันแค่สามวันแต่ฉันเย็บแผลให้เธอไปตั้งสี่รอบแล้วนะ…”
แน่นอนว่าพออลิซได้ยินเธอก็รีบหันหน้าหนีอารอนไปทางอื่น จนทำให้นากาอดที่จะหัวเราะแห้งๆ ให้กับท่าทีของอลิซออกมานิดหน่อยเป็นไม่ได้
“ฮะฮะ ถ้าเรื่องนั้นเดี๋ยวพวกฉันคอยเฝ้าอลิซเอาไว้ให้ก็ได้นะ เนอะคอนแนล?”
“ฉันไม่ได้ต้องการคนอย่างนายมาดูแลสักหน่อย!”
“ได้สิครับ แล้วยังไงก็ขอฝากให้คุณเอริกะจัดการแจ้งเรื่องของผมให้ด้วยนะครับ ไม่งั้นผมคงจะทำเรื่องย้ายไปหน่วยอื่นไม่ได้เหมือนกัน …แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ขอผมอยู่ที่นี่สักพักได้หรือเปล่าครับ เพราะว่าท่าทางคงจะกลับไปพักที่คฤหาสน์ไม่ได้แล้วน่ะครับ”
“อื้อ ได้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ~ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันฝากคอนแนลคุงช่วยพวกนากาเขาซ้อมมือหน่อยละกัน เพราะถึงจะมีหนังสือรับรองจากวังหลวงแต่ว่าทางโรงเรียนคงไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ อยู่ดีล่ะ”
“โอ้ มีการทดสอบแบบนี้ก็ยิ่งดีสิ เพราะยังไงฉันก็ไม่อยากให้คนอื่นมานินทาว่าเกาะชื่อของเธอเพื่อเข้าเรียนอยู่แล้ว!”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบกลับมาอย่างแข็งขัน พร้อมๆ กับที่คอนแนลนั้นได้ยิ้มและพยักหน้าเป็นคำตอบให้เอริกะกลับไป
“ในห้องเก็บของน่าจะยังมีอุปกรณ์สำหรับฝึกที่คอนแนลเขาเคยใช้เหลืออยู่นะ ยังไงก็ลองไปหาดูเอาก็ละกัน”
“ได้เลย! งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันฝากตัวด้วยนะคอนแนล!”
“ได้อยู่แล้วล่ะครับ! แต่ถ้าเกิดคิดว่าผมตั้งรับเป็นอย่างเดียวล่ะก็ระวังจะเสียใจทีหลังนะครับนากา!”
“หืม… พูดงี้เรามาลองกันตอนนี้เลยมั้ยล่ะ!”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นยืนและดึงตัวคอนแนลออกไปนอกบ้านในทันที แต่แล้วพวกเขาก็เดินกลับมานั่งจ๋อยอยู่ที่เดิมเมื่อพบว่าท้องฟ้าข้างนอกนั้นได้มืดลงไปจนมองอะไรแทบจะไม่เห็นซะแล้ว
“พ…พวกพี่ชายเขาจะไม่เป็นอะไรกันจริงๆ หรอคะพี่อารอน…?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก… พวกคนบ้าเขาก็ฟื้นตัวเร็วกันแบบนี้แหละ…”
“เฮ้อ…นั่นสิน๊า… ฉันละเหนื่อยใจกับพวกนี้จริงๆ ”
“เอาน่าๆ พวกเขาร่าเริงกันก็ดีแล้วละ~”
เอริกะที่เห็นท่าทางของทั้งสองคนนั้นก็ยิ้มออกมา ในขณะที่อารอนนั้นหันไปพยักหน้าให้กับพยาบาลสาวของเขาเป็นสัญญาณว่าได้เวลาที่พวกเขาจะกลับไปที่คลินิกกันแล้ว
“เอาเป็นว่าพวกฉันขอตัวกลับกันก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกันอีกทีตอนจะไปวังหลวง… แล้วถ้าเกิดอลิซออกไปหาเรื่องเจ็บตัวมาเพิ่มอีกก็ติดต่อมาหาฉันละกันนะ…”
“ว๊าย—!?”
ทันทีที่อารอนพูดจบเขาก็อุ้มแมรี่ที่เพิ่งส่งทารกน้อยไปให้นางพยาบาลขึ้นมาในอ้อมแขนจนทำให้เธอเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ
“อื้อ~ ถ้างั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะไปหาพวกนายแล้วตกลงแผนการกันอีกทีก็ละกันนะ~”
“อื้ม…ฝากเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ด้วยล่ะ…”
“พ—พี่อารอน หนูยังพอจะเดินไหวอยู่นะคะ!”
“เห็นว่าใช้แรงไปเยอะไม่ใช่หรอไง…? เพราะงั้นแค่เป็นเด็กดีแล้วอย่าดิ้นมากก็พอแล้ว…”
แต่เพียงแค่อารอนหันลงมาพูดและยิ้มให้แมรี่บางๆ ก็ทำให้แมรี่ที่รีบหันหน้าหนีนั้นต้องยอมหยุดนิ่งและปล่อยให้เขาอุ้มพาเดินไปอย่างว่าง่าย
“ถ้างั้นพวกเราไปกันเถอะ…”
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ~”
นางพยาบาลผมบลอนด์หันมาอำลาคนอื่นๆ ทิ้งท้าย ก่อนที่เธอจะรีบเดินตามอารอนซึ่งอุ้มแมรี่ออกจากบ้านไป และเมื่อเอริกะที่ตามไปปิดล็อกประตูบ้านเดินกลับมาแล้วเธอก็หันมาพูดกับนากา
“เอาล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปเตรียมข้าวเย็นก่อนดีกว่า ฝากนากาคุงไปตามโมโกะกับพริมจังลงมาหน่อยสิ”
“อ่า จะว่าไปยัยตัวแสบนั่นขึ้นไปข้างบนแล้วก็หายไปเลยแฮะ… เดี๋ยวขอแป๊บนึงก็ละกัน”
และพอนากาที่กำลังตกลงเรื่องแผนการฝึกซ้อมกับคอนแนลได้ยินที่เอริกะบอกมานั้น เขาก็หันไปพยักหน้าให้ก่อนที่จะเดินขึ้นไปหาพวกพรีมูล่าที่ห้องนอนชั้นบน
ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่นานในการตามโมโกะและพรีมูล่าลงมาที่ห้องนั่งเล่น แต่ว่าทันทีที่เขาก้าวขาลงมาถึงชั้นล่าง เขาก็พบกับเอริกะที่กำลังเดินยกหม้อใบใหญ่ที่มีน้ำแกงสีเขียวอยู่เต็มหม้อออกมาจากห้องครัว โดยมีคอนแนลกำลังจัดวางจานไว้บนโต๊ะให้กับทุกคนอยู่
“เอาล่ะมากินกันได้แล้ว~”
“ห—หะ— เสร็จแล้วหรอ นี่ยังไม่ถึงห้านาทีเลยนะ?”
นากาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่มองอย่างสับสน เพราะเขามั่นใจว่าเอริกะเพิ่งจะเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารเมื่อสักครู่นี้เองซะด้วยซ้ำ ทำให้อลิซหันมาบ่นใส่เขาเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าวันนี้นากานั้นจะช่างสงสัยซะเหลือเกิน
“นายควรจะเลิกถามแล้วกินๆ มันลงไปดีกว่านะ…”
“ฮะฮะ นั่นสินะครับผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเอริกะแอบไปเตรียมของกินพวกนี้มาตอนไหนน่ะ”
คอนแนลที่เหมือนจะชินกับเรื่องแปลกๆ ในบ้านเอริกะไปแล้วนั้นก็หัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะยื่นจานข้าวให้กับทุกคนได้นั่งทานกัน
โดยที่ตัวเขากับนากานั้นจำเป็นต้องนั่งลงกับพื้นเนื่องจากว่าบนโซฟานั้น
ได้ถูกเหล่าสาวๆ จับจองที่นั่งกันไปหมดแล้ว
“แล้วนี่มันกินได้จริงหรือเปล่าเนี่ย…”
นากาเขี่ยอาหารบนจานในมืออย่างสงสัยเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นอาหารที่หน้าตาแบบนี้มาก่อน แล้วยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่ามันถูกเตรียมอย่างรวดเร็วจนน่ากังวลอีกต่างหาก แต่ว่าทันทีที่เขาเห็นอลิซซึ่งกำลังจ้องมองมาอยู่ เขาก็รีบตักมันเขาปากโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“เอาล่ะ เรื่องจานพวกนี้เดี๋ยวฉันจัดการทำความสะอาดเอง พวกเธอไปพักผ่อนกันได้แล้ว เธอก็ด้วยนะโมโกะ เพราะพรุ่งนี้คอนแนลเขาอาสาจะช่วยฝึกซ้อมเตรียมสอบให้น่ะ”
และเมื่อทุกคนกินอาหารเย็นกันเสร็จ เอริกะก็ลุกขึ้นและรีบไล่ให้ทุกคนไปพักผ่อนในทันที ก่อนที่เธอจะเก็บจานของทุกคนมาซ้อนกันไว้และเดินเข้าไปในห้องครัว
“ค่า~~”
“หะ ฉันด้วยหรอ?”
โมโกะที่นอนหลับยาวตั้งแต่ช่วงบ่ายก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างแปลกใจ เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าพวกเขาได้ตกลงอะไรกันไปบ้างในช่วงที่เธอกำลังหลับอยู่
ในขณะที่พรีมูล่านั้นก็ขานตอบออกมาแบบไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะหันไปพยุงอลิซที่บาดเจ็บอยู่ขึ้นบันไดไปนอนพักที่ห้องนอน
“ก็ใช่น่ะสิ เห็นเอริกะบอกว่าถึงจะมีเอกสารนั่นแต่ก็ยังอาจจะต้องสอบเข้าอยู่ดี เพราะงั้นฝึกๆ ไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไรหรอก… แต่ว่าสภาพของอลิซน่าจะฝึกไม่ไหวละมั้งนั่นนะ”
“อ่ะ— จริงด้วยสินากาคุง อลิซเขาไม่ได้ไปกับพวกเธอในวันที่สมัครเข้าหรอกนะ เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“อ–อ่าว ไหงเป็นงั้นล่ะ?”
ซึ่งพอนากาได้ยินที่เอริกะตะโกนบอกมาจากด้านในห้องครัวนั่น ก็ทำให้เขาร้องถามกลับไปด้วยความประหลาดใจในทันที
“ก็เท่าที่อารอนเล่าให้ฉันฟัง พวกเธอน่ะมาจากหมู่บ้านโมริโกะใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าอลิซเขาไม่ได้มาจากหมู่บ้านเดียวกับพวกเธอไม่ใช่หรอ ฉันก็เลยต้องตรวจสอบดูให้ดีก่อนว่าเธอมาจากที่ไหนกันแน่น่ะ”
“มันก็จริงแฮะ สรุปว่าอลิซเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ละนั่น? นากา นายพอจะรู้หรือเปล่า?”
“…เธอมาถามฉันแล้วฉันจะรู้หรอ? ไม่ใช่ว่าพวกเราก็ไปเจออลิซพร้อมกันในป่านั่นไม่ใช่หรือไงล่ะ?”
นากาส่ายหน้าตอบกลับโมโกะที่ถามเหมือนกับว่าเขาอาจจะรู้เรื่องของอลิซมากกว่าเธอ ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนวิ่งนำเขาในป่าข้างหมู่บ้านเพื่อตามหาพรีมูล่าจนไปเจอกับอลิซที่นอนเจ็บอยู่ข้างในซะด้วยซ้ำ
ในจังหวะนั้นเองเสียงของจานที่กระทบกันในครัวก็เงียบไปก่อนที่เอริกะจะเดินออกมาจากห้องครัวจนทำให้เขามองเธออย่างสงสัยว่าเธอล้างจานเสร็จแล้วหรือว่าแค่เอาจานไปวางกองๆ กันเอาไว้ก่อนกันแน่
“งั้นถ้าตกลงกันได้แล้วก็ไปอาบน้ำเตรียมพักผ่อนกันได้แล้วล่ะ แต่ว่าช่วงตอนดึกอาจจะมีเสียงดังนิดหน่อยนะเพราะฉันกะจะเริ่มซ่อมของพวกนั้นเลยน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีที่เดินกันพอดี”
“อื้อ ตามสบายเลย จริงๆ เป็นพวกฉันสิที่ต้องเกรงใจเธอน่ะ…”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ปลุกเรียกผมได้เลยนะครับ”
ซึ่งพอเอริกะได้ยินที่คอนแนลอาสาแบบนั้น เธอก็หันมายิ้มพร้อมพยักหน้าให้เขาและนากากลับมาทีหนึ่ง ก่อนที่เอริกะนั้นจะเดินหายกลับเข้าออฟฟิศของเธอไป
“งั้นเดี๋ยวฉันขอ–อุ๊ฟ–”
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะฝึกยังไงค่อยว่ากันเนอะ~”
แต่ในขณะที่นากากำลังจะพูดว่าจะไปอาบน้ำนั้น โมโกะก็ยื่นมือมาปิดปากเขาและแย่งพูดออกมาซะก่อน แล้วเธอจึงรีบเดินหนีหายเข้าห้องอาบน้ำไปอย่างรวดเร็ว
“ยัยแมวผีนี่…”
“ไม่ว่ากันแรงไปหน่อยหรอครับนั่นน่ะ…”
“เฮ้อ… เอาเป็นว่าไว้นายรู้จักโมโกะไปนานๆ เดี๋ยวนายก็จะพูดแบบนั้นเหมือนกันนั่นล่ะ…”
เขาบ่นกระปอดกระแปดออกมานิดหน่อย ก่อนที่จะเดินไปหยิบฟูกนอนของเขาและคอนแนลที่ถูกพับเก็บไว้ตรงมุมห้องออกมาปูเตรียมเอาไว้
“ฮะฮะ ยังไงก็อย่าลืมอาบละกันนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะตัวเน่าเอาซะก่อนนะ”
“ไม่ลืมอยู่แล้วล่ะ! นี่เห็นฉันซกมกขนาดนั้นเลยหรอไง!?”
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยเล่นกันอีกสักพักเพื่อรอจนถึงคิวอาบน้ำของตน และพวกเขาก็แยกย้ายกันไปเข้านอนด้วยความเหนื่อยล้า
ถึงแม้ว่าจะกลางดึกจะมีเสียงระเบิดเล็กๆ น้อยๆ ดังออกมาจากห้องออฟฟิศของเอริกะอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้นากาและคอนแนลที่หลับเป็นตายนั้นรู้สึกตัวขึ้นมาได้แม้แต่นิดเดียว
ทางด้านอารอนที่เดินออกมาจากบ้านของเอริกะนั้นเอง พวกเขาก็กำลังคุยปรึกษากันอยู่ว่าจะจัดการเรื่องที่นอนกันยังไงดี เนื่องจากมีแมรี่มาอาศัยอยู่กับพวกเขาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
“ถ้างั้นแมรี่… เดี๋ยวเธอนอนบนเตียงของฉันละกันนะ… จะได้ให้คุณพยาบาลเขาช่วยดูแลเด็กคนนั้นให้ด้วยน่ะ”
“อ—เอ๋ะ– แต่แบบนั้นพี่อารอนจะนอนที่ไหนล่ะ?”
“เอาจริงๆ อารอนจะนอนเตียงเดียวกับฉันก็ได้นะ ฉันไม่ถือหรอก~”
“อืม… ถ้าเธอว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ… หืม…?”
แต่แล้วในขณะที่อารอนกำลังจะผลักประตูคลินิกเพื่อเข้าไปข้างในนั้นเอง เขาก็หันไปเห็นอะไรบางอย่างซึ่งถูกยัดใส่ไว้ในตู้รับจดหมายที่ถูกติดไว้บริเวณหน้าคลินิกเข้าซะก่อน ทำให้เขาเดินเข้าไปเปิดมันเพื่อดูของที่ถูกใส่เอาไว้ข้างใน
“นี่มัน…”