ตอนที่ 33 ความคิดพิสดารของพ่างจื่อ

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 33 ความคิดพิสดารของพ่างจื่อ

ระหว่างทางมีแต่ผู้คนถกกันถึงข้อสอบวันนี้

“ยาก!”

“โคตรยากเลย!”

“ครึ่งชั่วโมงฉันทำข้อกาเสร็จไปสามข้อเอง แถมยังเดาคำตอบสุดท้ายด้วย”

“ฉันหมดหวังละ!”

ถ้าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ไม่บ่นว่าข้อสอบยาก พวกเขาก็คงเป็นพวกเดียวกันกับพ่างจื่อ เป้าหมายในการมาแข่งของพวกเขานั้นก็แค่เน้นเข้าร่วมไม่เน้นเข้ารอบเท่านั้น! พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำถามถามเรื่องอะไร!

แม้แต่ห้องสอบที่หนึ่งซึ่งเป็นห้องของไป๋เยี่ยที่ในนั้นมีแต่ผู้เข้าแข่งขันท็อปสามสิบสาม แต่ถึงกระนั้นต่างคนก็ต่างเดินถอนหายใจเอามือก่ายหน้าผากออกมา

ซุนเฉียวเย่ว์ หลิวเจิ้นซี และสวี่จงเหล่ยเดินออกมาพร้อมกันก็เห็นพวกไป๋เยี่ยกับพ่างจื่อกำลังหัวเราะคิกคัก

สวี่จงเหล่ยแค่นหัวเราะและเดินนำหน้าไป ทว่าจู่ๆ กลับได้ยินพ่างจื่อพูดขึ้นมา

“เฮ้ย เยี่ยจื่อ ข้อสอบวันนี้ง่ายจังวะ นี่เหรอข้อสอบรอบระดับมณฑล เหมิงจื่อนายใช้เวลาทำข้อกาไปเท่าไหร่”

หวังเหมิ่งเป็นคนอ้วนผิวคล้ำ เขายิ้มแหยให้ “เฮ้อ…ครั้งนี้สู้ครั้งก่อนไม่ได้ว่ะ ทำเกือบยี่สิบนาทีแน่ะ นายล่ะ”

พ่างจื่อหัวเราะลั่น “นายแพ้แล้ว ฉันทำแค่สิบห้านาทีเอง ฮ่าๆ ฉันมันอัจฉริยะ!”

สวี่จงเหล่ยชะงักไปพร้อมกับกระตุกมุมปาก เขาใช้เวลาทำข้อกานานเท่าไหร่น่ะหรือ ก็ตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งยังไงล่ะ! ทำไม่เสร็จอีกต่างหาก!

สามชั่วโมงยังทำข้อเขียนหนึ่งข้อไม่เสร็จ

พวกนั้นใช้เวลาทำข้อกาแค่ยี่สิบนาทีจริงๆ เหรอ เป็นไม่ได้หรอกน่า! เว้นแต่ว่าจะมั่วเอาเท่านั้นแหละ

พ่างจื่อหัวเราะพลางหันไปมองไป๋เยี่ย “เยี่ยจื่อ นายล่ะเป็นไงบ้าง ข้อสอบรอบนี้ยากไหม ฉันมั่วลูกเดียวเลย โจทย์ก็ไม่ได้อ่าน”

ไป๋เยี่ยแทบจะสำลัก “นาย…สุดยอด! ก็ได้อยู่ ไม่ได้ยากขนาดนั้น นายเลือกตอบอะไรไปล่ะ”

พ่างจื่อหัวเราะ “ครั้งนี้ฉันเลือกซีหมดเลย! คิดว่าไงบ้าง จะทำถูกสักกี่ข้อกันนะ ส่วนข้อเลือกตอบหลายคำตอบฉันก็ตอบเอบีซีดีหมด ฮ่าๆ ฉันว่าวันนี้ฉันทำได้ไม่เลวเลยละ”

ไป๋เยี่ยนึกคำตอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไป เจ้าหมอนี่มันใช้ดวงอะไรของมัน

“ยอมก็ได้ รอบนี้ฉันเลือกซีไปยี่สิบห้าข้อ ข้อหลายคำตอบเลือกเอบีซีดีไปสิบข้อ นายคิดว่านายจะโชคดีขนาดนั้นเลยหรือไง!”

พ่างจื่อยิ้มร่า “เหมิงจื่อ ได้ยินไหม ลูกพี่คนนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์ ถึงได้ทำถูกเยอะขนาดนี้ไงล่ะ!”

เพราะสวี่จงเหล่ยทำข้อสอบออกมาได้ไม่ดีนัก และยิ่งมาได้ยินคนคุยกันเรื่องนี้ ก็อดทนฟังต่อไปไม่ไหว “เด็กโง่พวกนี้นี่! ตอบซียี่สิบห้าข้อเหรอ เหอะๆ คงจะตอบซีละนะ เหอะๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีคนยึดมันเป็นคำตอบจริงๆ อยู่อีก น่าขำชะมัด!”

ยังดีที่ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อรู้ว่าสวี่จงเหล่ยกำลังขึ้น ก็แค่ล้อเล่นกันเองนี่นา เกี่ยวอะไรกับเขา บ้าบอ!

ทั้งคู่ไม่ได้สนใจสวี่จงเหล่ย ทว่าเหมิงจื่อกลับโพล่งขึ้นมาแทน “พวกผมคุยกันแล้วคุณมายุ่งอะไร”

สวี่จงเหล่ยได้ยินก็โกรธจนตัวสั่น เดิมทีเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับการสอบอยู่แล้ว “พูดงี้ได้ไง! ที่นี่คือมหา’ลัยนะ ใช่ที่ควรมาทำตัวกำเริบเสิบสานไหม”

เหมิงจื่อได้ยินดังนั้นก็เดินตรงไปจ้องหน้าสวี่จงเหล่ย “นี่หาว่าผมทำตัวกำเริบเสิบสานเหรอ ขอโทษผมเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

หวังเหมิ่งสูงราวๆ หนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร น้ำหนักก็คงประมาณสองร้อยจินได้ ทั้งยังมีใบหน้าดุดัน ผิวคล้ำ ดูไม่เหมือนคนดีเลยสักนิด!

สวี่จงเหล่ยถูกเหมิงจื่อตะคอกใส่จนสะดุ้ง็โมโหขึ้นมา ที่นี่คือที่ไหนเหรอ ก็มหา’ลัยของเรายังไงล่ะ

ครั้งที่แล้วมันคือที่โรงพยาบาล ไม่ใช่ที่มหา’ลัย แต่กลับมีคนกล้าพูดจาไม่ดีใส่เราที่นี่

สวี่จงเหล่ยเอ่ยด้วยสีหน้าถมึงทึง “คุณอยู่ห้องไหน แล้วใครเป็นที่ปรึกษาของคุณ”

หวังเหมิ่งหัวเราะ “เหอะๆ ผมก็แค่เด็กเสเพลคนหนึ่ง ทำไมเหรอ คิดว่าเรียกอาจารย์มาแล้วจะไม่ต้องขอโทษงั้นเหรอ จะบอกอะไรให้ ส่งใครมาก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก อย่าบ่นให้มากเลย รีบขอโทษมาซะ!”

สวี่จงเหล่ยแค่นหัวเราะ “โอ๊ะ ทำตัวเสเพลอะนะ หาเรื่องทะเลาะเหรอ คุณรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน ที่นี่คือมหา’ลัยนะ คุณคิดว่าที่นี่เหมือนกับแหล่งกบดานหรือไง หึ!”

พูดจบ สวี่จงเหล่ยก็เดินไปหารปภ.ข้างๆ “รปภ. ช่วยมานี่หน่อยครับ มาดูว่าคนพวกนี้กำลังจะทำอะไร! ไม่ทำตามกฎ แถมยังอยากหาเรื่องคนอีก”

ทันใดนั้น รปภ.สี่คนก็ตรงเข้ามาด้วยท่าทีน่าเกรงขามพร้อมกับกระบองในมือ!

สวี่จงเหล่ยรู้จักพวกเขา เพราะเขาเป็นหัวหน้าไงล่ะ!

เดิมทีพวกเขามาจากหมู่บ้านละแวกใกล้ๆ ย่านมหาวิทยาลัย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเองก็ให้โอกาสด้านหน้าที่การงานกับพวกเขาดี

พวกเขากุมกระบองในมือแน่นด้วยท่าทางมุ่งมั่นไม่คิดชีวิต

แต่เมื่อพวกเขาทั้งสี่เดินมาใกล้และเห็นว่าเป็นเฮยพ่างจื่อ[1]ก็หยุดลงพร้อมกับจ้องไปที่หมอนั่นและคิดในใจว่า เวรเอ๊ย ทำไมเป็นเจ้าหมอนี่ล่ะ

สวี่จงเหล่ยเห็นพวกเขาเดินมาก็เริ่มมีความกล้าขึ้นมาหน่อย ทว่ากลับต้องชะงักไปเมื่อพวกเขาหยุดลง

“ทำอะไรกัน รีบไล่เจ้าเด็กเสเพลนี่ออกจากมหา’ลัยเร็ว!” สวี่จงเหล่ยตะคอก

หวังเหมิ่งกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะยกยิ้มขึ้น “หัวหน้าเหรอ หัวหน้าด่าคนอื่นไม่ต้องขอโทษเหรอ ได้! คุณคิดว่าคุณใหญ่สุดที่นี่สินะ ผมจะบอกอะไรให้ งั้นวันนี้ก็อย่าคิดออกจากมหา’ลัยเลย!”

สวี่จงเหล่ยได้ฟังก็ยิ่งโมโห “รปภ. ไล่เขาออกไปซะ ทั้งก่อความไม่สงบในมหา’ลัย ทั้งข่มขู่บุคลากร ผมไม่แจ้งตำรวจก็ถือว่าปรานีแล้วนะ!”

ทว่ารปภ.ทั้งสี่คนกลับพากันมองไปรอบๆ ไม่สบตากับเหมิงจื่อ

เกิดอะไรขึ้น

หวังเหมิ่งมองรปภ.ที่ล้อมเขาไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปยิ้มให้ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อแล้วบอกลากัน

สวี่จงเหล่ยเห็นว่าหวังเหมิ่งกำลังเดินออกไปก็ยกยิ้มขึ้นบ้าง “ชิ คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญจริงๆ รึไง!”

ตอนบ่าย พ่างจื่อและไป๋เยี่ยไปกินข้าวด้วยกัน ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอก

“นายรู้เรื่องไหม มีคนขวางรถของอาจารย์สวี่ไว้ ไม่ยอมให้ไปไหนเลย!”

“เอ๋ อาจารย์สวี่คนไหนอะ”

“สวี่จงเหล่ยไง! ที่อยู่ฝ่ายกิจการนักศึกษาน่ะ!”

“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา รู้แค่ว่ามีกลุ่มคนล้อมเขาไว้ไม่ยอมให้ไปไหนในมหา’ลัยเราเนี่ยแหละ! ว่ากันว่าหัวโจกคือเจ้าเฮยพ่างจื่อล่ะ!”

ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อมองหน้ากัน แล้วจึงพากันลุกขึ้นวิ่งออกไปด้านนอก

วิ่งมาได้สักพัก พวกเขาก็ต้องตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

มีคนราวๆ ร้อยสองร้อยคนกำลังขับทั้งรถสามล้อ รถตู้ รถตักดิน รถขนอิฐ รถขนถ่าน มาล้อมกันเป็นวง โดยที่บนรถเต็มไปด้วยคนถือเคียว จอบ กระบอง และคราด กำลังตะโกนเสียงดัง

รถตักดินยกแขนขุดขึ้นสูง ในนั้นมีเฮยพ่างจื่อยืนอยู่!

ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์ไม่ได้สาดแสงจนแสบตาแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นฉากหลังให้เจ้าหมอนั่น

ตัวเขาเหมือนกับแม่ทัพ มีทั้งเพลงและเอฟเฟกต์เปิดตัวพร้อม

พ่างจื่อตัวสั่นพลางพึมพำ “เอาแล้วไง ทำตัวเป็นดาวดวงใหม่ไปซะแล้ว! ต้องจดไว้หน่อย”

จากนั้นพ่างจื่อก็คว้าปากกาและสมุดขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็ว ‘เจ้าหมอนี่ทำทรงอวดเก่งซะยิ่งใหญ่ ดูบริสุทธิ์และเป็นอิสระแต่ก็ดูดุดัน ใช้เทคนิคอันชาญฉลาดในการเอากลิ่นอายชนบทมาผสมผสานกับกลิ่นอายของเมืองใหญ่อย่างลงตัวและสวยงาม โคตรเจ๋งเลย!’

ระหว่างที่พ่างจื่อกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้น “ฉันพ่างจื่อ ถ้าฉันพูดว่าหนึ่ง นายก็ต้องพูดหนึ่ง ฉันพูดสอง นายก็ต้องพูดสอง ฉันบอกไม่ให้นายไปไหน นายจะไปไหนได้”

พ่างจื่อจ้องตาเขม็ง เชี่ย! นี่มันสุดยอดลำโพงซับวูฟเฟอร์ไร้สายเลยนี่หว่า! โคตรสุดยอด!

ต้องจด! ต้องจดแล้ว!

“สูตรอวดเก่งข้อที่หนึ่งร้อยสามสิบสอง ลำโพงซับวูฟเฟอร์ ผู้มีเสียงย่อมชนะผู้ไร้เสียง ไม่ใช่เพียงต้องมีเสียง แต่ต้องเสียงดังและต้องทำให้คนตกใจด้วย! ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียงเบา เพราะเรามีลำโพงซับวูฟเฟอร์!”

ไป๋เยี่ยมองพ่างจื่อทั้งสองด้วยสายตาเหม่อลอย ดูเหมือนว่าพ่างจื่อแต่ละคนจะมีความคิดพิสดารกันจริงๆ ไม่ใช่คนพวกเดียวกัน ก็อย่าได้ไปสุมหัวกันเลย!

[1] เฮยพ่างจื่อ ภาษาจีนแปลว่า นายอ้วนดำ