บทที่ 23 อนาคตภายภาคหน้า (ต้น)
ฉู่จงเทียนเงียบไปเมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นภรรยา ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โจว จักรพรรดิไท่จู่ ได้สูญเสียบุตรชายของพระองค์ไปในสงครามเมื่อครั้งก่อตั้งอาณาจักร ดังนั้นพระอนุชาของพระองค์จึงมอบบุตรชายคนที่สองของตน ซึ่งก็คือราชันลมปราณในปัจจุบัน ให้พระองค์ทรงรับเป็นบุตรบุญธรรม
ทว่าในการต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญของคนเผ่าอื่น ๆ องค์จักรพรรดิได้ทรงสละพระชนม์ชีพของตนเพื่อสังหารศัตรูของพระองค์ให้ตายตกไปตามกัน และเนื่องด้วยพระชนมายุที่ยังน้อยของบุตรบุญธรรม รวมถึงความไม่มั่นคงของอาณาจักรที่เพิ่งถูกก่อตั้งขั้นมา
องค์จักรพรรดิไท่จู่จึงแต่งตั้งให้พระอนุชาของตนให้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ในขณะลมหายใจสุดท้ายของตนและนำไปสู่การขึ้นครองราชของจักรพรรดิไท่จง
เพื่อสืบทอดเจตจำนงของอดีตจักรพรรดิไท่จู่ จักรพรรดิไท่จงได้กวาดล้างดินแดนเป็นวงกว้าง ทำให้อาณาเขตของราชวงศ์โจวนั้นขยายออกไปมากกว่าเดิม และในระหว่างนั้น ร่างกายของเขาก็สะสมบาดแผลทางร่างกายจำนวนมาก ส่งผลให้ต้องถึงขีดจำกัดก่อนวัยอันควร เมื่อถึงเวลาที่เขาจะต้องเลือกผู้สืบบัลลังก์ เขาก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในจุดที่ยากลำบากเสียแล้ว
ตามกฎแล้ว ผู้ขึ้นครองบัลลังก์จำเป็นจะต้องเป็นสายเลือดของอดีตจักรพรรดิไท่จู่ และที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชก็เป็นเพราะว่าราชันลมปราณในตอนนั้นยังมีพระชนมพรรษาน้อยเกิดไป ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับพระองค์ที่จะส่งต่อบัลลังก์ให้กับราชันลมปราณที่โตเต็มวัยแล้ว
แต่ความโลภนั้นแฝงอยู่ภายในใจของมนุษย์ทุกคน แม้ว่าราชันลมปราณจะมีสายเลือดของพระองค์ แต่เขาก็ได้ไปเป็นบุตรชายของผู้อื่น กลายเป็นบุตรบุญธรรมของอดีตจักรพรรดิไท่จู่ไปเสียแล้ว และเนื่องด้วยเหตุนั้น จักรพรรดิไท่จง จึงวางแผนส่งต่อราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรสองค์โตของพระองค์ องค์ชายหลี่จื้อ แทน
เล่ห์อุบายที่พระองค์ใช้ก็คือทรงมีพระบรมราชโองการว่าจะทรงแต่งตั้งให้ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนก้าวสู่ขั้นเซียนปฐพีได้เป็นคนแรกเป็นผู้สืบราชบัลลังก์
องค์ชายหลี่จื้อ ในฐานะของพระราชโอรสองค์โต ย่อมมีอายุมากกว่าราชันลมปราณ และความจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีองค์จักรพรรดิเป็นผู้หนุนหลังนั้นหมายความว่าพระองค์ทรงได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะมากเป็นพิเศษ ดังนั้นมันจึงสามารถเห็นได้ชัดเลยว่าองค์ชายหลี่จื้อน่าจะเป็นฝ่ายที่ก้าวขึ้นสู้ขั้นเซียนปฐพีได้เป็นคนแรกและได้ขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะของจักรพรรดิไท่จง
และนั่นได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในตอนนั้นเนื่องจากมีขุนนางหลายคนในราชสำนักที่ยังคงจงรักภักดีต่อสายเลือดของอดีตจักรพรรดิไท่จู่ และเลือกที่จะให้การสนับสนุนราชันลมปราณขึ้นครองราชสมบัติหลังจากที่จักรพรรดิไท่จงสิ้นพระชนม์
100 ปีผ่านไปนับจากนั้น เข้าสู่บั้นปลายชีวิตของจักรพรรดิไท่จง ปัญหาเรื่องการสืบราชบัลลังก์ก็ถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง และจักรพรรดิไท่จงก็ทรงเลือกพระราชโอรสของพระองค์เป็นผู้สืบบัลลังก์ และการกระทำดังกล่าวก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ของผู้ที่อยู่ฝ่ายของราชันลมปราณ
ความจริงที่ว่าผู้ที่ถูกแต่งตังให้เป็นผู้สืบบัลลังก์นั้นมีความสามารถด้อยกว่าราชันลมปราณผู้ยิ่งใหญ่นั้นยิ่งสร้างความไม่พอใจกับผู้คนในราชสำนักมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนตระกูลฉู่ ด้วยความโดดเด่นทางกิจการไม่ว่าจะเป็นการค้าเกลือหรือการค้าอาวุธ จึงมีความมั่งคั่งที่สามารถเทียบได้กับทั้งประเทศ และด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องการดึงตระกูลฉู่ไปอยู่ฝั่งเดียวกับตน
ทว่าฉู่จงเทียนกลับไม่ได้มีความปรารถนาที่จะนำตระกูลฉู่ของตนเข้าไปร่วมต่อสู้ในศึกชิงบัลลังก์นี้เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเขาจึงพยายามรักษาจุดยืนที่เป็นกลางมาตลอดจนถึงบัดนี้ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก ทางฝ่ายขององค์จักรพรรดิก็ดูเหมือนตั้งใจจะผลักดันให้เกิดการแต่งงานระหว่างตระกูลขึ้นเพื่อที่จะลากตระกูลฉู่ขึ้นไปบนรถไฟขบวนเดียวกันกับพวกเขา
นายใหญ่ฉู่และภรรยาของเขามีปัญหาอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่เหมือนกับตระกูลอื่น ๆ ตระกูลฉู่ของพวกเขามีความลับอันใหญ่หลวงที่ไม่สามารถให้บุคคลภายนอกรับรู้ได้ นอกจากนี้ ฉู่ชูเหยียนเองก็เป็นคนที่ดูแลกิจการครึ่งหนึ่งของตระกูลในตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากนางแต่งงานกับอีกฝ่าย ตระกูลฉู่จะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกกลืนกินจนหมดสิ้น
ฉู่ชูเหยียนเองก็ตระหนักถึงสิ่งนี้ ดังนั้นนางจึงเสนอความคิดทำการเลือกคู่สมรสของตัวเองอย่างเปิดเผยและได้เลือกชายที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในเมืองและได้จัดงานแต่งงานกับชายหนุ่มเพื่อทำลายแผนการที่ฝ่ายราชสำนักหรือราชันลมปราณวางเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ ฉินหว่างลู่จึงสงสัยว่าคนร้ายที่ทำลายบ่อน้ำแห่งจิตวิญญาณน่าจะถูกส่งมาโดยองค์จักรพรรดิหรือไม่ก็ราชันลมปราณ
“ไม่ว่าคนร้ายจะเป็นใคร แต่เหมือนว่าอนาคตต่อจากนี้ของเราจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” ฉู่จงเทียนเอ่ยอย่างจริงจัง “ซ่างหง กำลังจะเข้ารับตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑณหลินชวนของเรา”
ฉินหว่างลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพระคลัง ซ่างหงน่ะหรือ!”
เสนาบดีกรมพระคลังคือหนึ่งในเสนาบดีทั้ง 9 ที่ดูแลรายได้ของอาณาจักร ซึ่ง ซ่างหง คือผู้ช่วยเสนาบดีกรมพระคลังที่ทำหน้าที่ดูแลการค้าเกลือและอาวุธภายในอาณาจักร ดังนั้นการที่เขาถูกแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการของมณฑลหลินชวนจึงเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิจงใจแต่งตั้งเขามาเพื่อที่จะจัดการกับตระกูลฉู่
“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าเขาคือคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยม หากจำเป็นต้องเขาสามารถสังหารคนในตระกูลของตัวเองได้โดยไร้ความลังเล มีตระกูลขุนนางมากมายที่ล่มสลายจากฝีมือของเขา ข้ากังวลจริง ๆ ว่าตระกูลของเราจะพบจุดจบไม่ต่างจากตระกูลขุนนางพวกนั้นที่ล่มสลายไป” ฉินว่านหรูเอ่ยอย่างเป็นกังวล
เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของภรรยาผู้ที่มักจะเอาแต่ใจของตน ฉู่จงเทียนก็ดึงร่างของอีกฝ่ายเข้าสู่วงแขนและเอ่ยว่า “พวกเราจะรับมือกับมันเมื่อมันมาถึง ตระกูลฉู่ของเรานั้นไม่ใช่ตระกูลธรรมดา ๆ ที่จะสามารถถูกข่มเหงได้ง่าย ๆ เช่นกัน! ซ่างหงเพิ่งอยู่แค่ระดับ 8 เท่านั้น มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะเป็นฝ่ายหัวเราะกันแน่!”
ฉินว่านหรูกลอกตาให้ผู้เป็นสามี “ท่านคิดว่าระดับการบ่มเพาะของเขาเป็นปัญหาเพียงอย่างเดียวของเราอย่างนั้นหรือ? ขนาดมหาโจรเฉินเสวียนแห่งภูเขามังกรหมอบที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ระดับ 6 เท่านั้น จนบัดนี้ท่านเองยังจัดการกับเขาไม่ได้เลย!”
ฉู่จงเทียนเมื่อได้ยินเช่นนี้เขาตอบกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “ทุกครั้งที่ข้ารีบมุ่งหน้าไปหามันหลังจากที่ได้รับข่าว มันก็มักจะหายไปโดยไร้ร่องรอยทุกครั้ง ข้าสงสัยว่าเจ้านั่นจะต้องมีคนของมันอยู่ภายในเมืองนี้เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจับตัวมันได้ตั้งนานแล้ว!”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผู้เป็นภรรยา นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “กลุ่มโจรพวกเหล่านั้นเที่ยวขายเกลืออย่างผิดกฎหมายและปล้นสะดมพวกพ่อค้าที่เดินทางผ่านไปมา สังหารพวกเขาอย่างเลือดเย็น เราควรส่งเรื่องนี้ให้ซ่างหงเป็นผู้รับผิดชอบ ในฐานะของหัวหน้าผู้ตรวจการ เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้แน่…”
ดวงตาของฉู่จงเทียนเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ช่างเป็นความคิดที่วิเศษจริง ๆ! จะว่าไป ข้าเองก็เพิ่งได้ยินข่าวมาว่าขบวนพ่อค้าของตระกูลอวี๋กำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองจันทร์กระจ่าง พวกเราจำเป็นจะต้องเอ่ยเตือนพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกกลุ่มของเฉินเสวียนซุ่มจู่โจม…โอ้ยย! โอ้ย โอ้ย อูยยยย…”
ทว่าก่อนที่ฉู่จงเทียนจะเอ่ยจบ มือของฉินว่านหรูก็คว้าเข้าที่หูของเขาแน่นและพูดว่า “ข้ารู้นะว่าที่ท่านกังวลกับขบวนของตระกูลอวี๋นั้นเป็นเพราะท่านสนใจในตัวนายหญิงของพวกเขา อวี๋เหยียนลั่ว ใช่ไหม? นางคือสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงในยามนั้น ข้ารู้ว่าก่อนหน้าที่ท่านจะได้มาเจอกับข้าท่านติดพันกับนางอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายนางก็ลงเอยด้วยการแต่งงานกับอ๋องอวิ๋นจง ท่านกำลังคิดที่จะจุดถ่านไฟเก่าขึ้นมาอีกรอบงั้นเหรอ?”
ฉู่จงเทียนจึงเอ่ยอย่างเอาใจว่า “โธ่…ฮูหยินที่รัก นางแต่งงานไปตั้งนานแล้ว ข้าจะไปคิดอกุศลแบบนั้นได้ยังไงกัน? เจ้าไม่ควรสงสัยอะไรแบบนี้!”
อย่างไรก็ตาม ฉินว่านหรูยังคงไม่ปล่อยมือของนางและเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ อ๋องอวิ๋นจงได้จากไปเพราะอุบัติเหตุ นั่นไม่ได้หมายความว่าอวี๋เหยียนลั่วกลายเป็นหม้ายแล้วหรือไง?”
แววตาของฉู่จงเทียนเป็นประกายขึ้น “เจ้าพูดจริงเหรอ?”