ตอนที่ 16 กิจการรุ่งเรือง
ตกบ่ายรถม้าจอดตรงหน้าจวนโอ่อ่าแต่เรียบง่ายหลังหนึ่ง ป้ายเหนือประตูใหญ่มีตัวอักษรขนาดใหญ่สีทองที่ดูพลิ้วไหวเขียนไว้ว่า “จวนตระกูลจี”

ที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคนมากมายพยายามเบียดกันจนหัวแตกเพื่อเดินเข้าไป นางก็เช่นกัน ฐานะในตอนนี้ของนางยังเดินเข้าประตูหน้าไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร อีกไม่นานนางก็จะทำได้

หญิงสาวเดินเข้าไปในจวนตระกูลจีผ่านทางประตูข้างพร้อมกับสาวใช้

ภายในจวนเรียบง่ายสงบเงียบ หญิงสาวเห็นจีเหล่าฮูหยินกำลังชมดอกเหมย

จีเหล่าฮูหยินสวมเสื้อคลุมสีม่วงแดงกับกระโปรงรัดอกสีรากบัว บนศีรษะคาดสายคาดหน้าผากไข่มุก สุขุมสูงศักดิ์ ท่าทางไม่ธรรมดา

“ซีเอ๋อร์คารวะเหล่าฮูหยิน ขอให้เหล่าฮูหยินสุขภาพแข็งแรง” หญิงสาวโขกศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม ท่วงท่าชดช้อยและนุ่มนวล

จีเหล่าฮูหยินเผยรอยยิ้มจาง “นั่งเถิด ดอกเหมยที่หมิงซิวปลูกออกดอกแล้ว เจ้ามาชมเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวขานรับแล้วหันไปมองดอกเหมยสดสวยเหล่านั้น ราวกับจะมองทะลุบุปผาไปให้เห็นผู้ที่ปลูกพวกมัน ดวงตาฉายแววเขินอายออกมาวูบหนึ่ง

หญิงรับใช้ย้ายม้านั่งกลมที่วาดลวดลายสวยงามตัวหนึ่งมาไว้ข้างเก้าอี้สานของจีเหล่าฮูหยิน หญิงสาวนั่งลงด้วยท่วงท่านุ่มนวล จากนั้นส่งปิ่นโตทำจากไม้ต้นท้อในมือให้แก่หญิงรับใช้ “ซีเอ๋อร์เพิ่งกลับมาจากวัดผูถี ไม่ได้นำของดีใดติดมาจึงซื้อขนมเล็กน้อยมาฝากเหล่าฮูหยิน”

หญิงรับใช้เปิดกล่องออกแล้วส่งให้จีเหล่าฮูหยิน

จีเหล่าฮูหยินผ่านโลกมามาก ลูกเล่นเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ถึงขนาดทำให้นางทึ่งได้ นางเพียงมองหน้าของหญิงสาวแล้วชิมเล็กน้อยคำหนึ่ง ทว่าเพียงกัดเข้าไปคำเดียว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที

หญิงสาวเห็นปฏิกิริยาของเหล่าฮูหยินจึงหัวเราะแผ่วเบา “เหล่าฮูหยินพอทานได้หรือไม่เจ้าคะ”

จีเหล่าฮูหยินกินขนมเหนียวถั่วแดงจนหมดชิ้นแล้วหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาอย่างติดอกติดใจ “ซื้อที่ไหนหรือ”

หญิงสาวแย้มรอยยิ้มจางๆ “ซื้อจากเมืองซีหนิวเจ้าค่ะ”

“เมืองซีหนิวหรือ” มือที่กำลังหยิบขนมหวานของจีเหล่าฮูหยินชะงัก แล้วหันไปมองหญิงรับใช้ด้านข้าง “เมืองนั้นที่พวกเราผ่านทางครั้งก่อนสินะ”

หญิงรับใช้เอ่ยตอบ “เจ้าค่ะ”

หญิงสาวงุนงงเล็กน้อย “เหล่าฮูหยิน ท่านเคยไปเยือนเมืองซีหนิวด้วยหรือ”

“แค่เคยไปเยือนเสียที่ไหน ข้าน่ะ พบโชคดีครั้งใหญ่ที่นั่นด้วย!” จีเหล่าฮูหยินยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยถามว่านางพบพานโชคดีอันใดเข้า นางก็เปลี่ยนเรื่อง “ข้าถามเจ้า หากข้าสำลักอาหารติดอยู่ในหลอดลมจะรักษาเช่นไร”

หญิงสาวคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “หากมั่นใจว่าเป็นหลอดลมแล้วล่ะก็ ต้องกรีดเปิดลำคอนำสิ่งแปลกปลอมออกมา”

จีเหล่าฮูหยินพึมพำ “ตอนแรกนางก็กล่าวเช่นนี้”

“เขา[1]หรือเจ้าคะ” หญิงสาวมองจีเหล่าฮูหยินอย่างไม่เข้าใจ

จีเหล่าฮูหยินจึงเล่าเรื่องที่ตนสำลักอาหารติดคอเกือบตายให้หญิงสาวฟัง “…โชคดีได้พบผู้มากฝีมือคนหนึ่ง มิเช่นนั้นน่ากลัวว่าเจ้าคงมิอาจพบหน้าข้าแล้ว”

หญิงสาวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบลุกขึ้นมองลำคอของจีเหล่าฮูหยินทันที จีเหล่าฮูหยินหัวเราะ “ไม่ต้องดูแล้ว ไม่ได้กรีด มิเช่นนั้นไหนเลยข้าจะยังนั่งคุยกับเจ้าอยู่ตรงนี้ได้”

หญิงสาวกลับไปนั่งที่เดิมอย่างเขินอาย “ซีเอ๋อร์โง่เขลาแล้ว แต่…ในเมื่อเขาไม่ได้กรีดเปิดลำคอ แล้วเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาได้เช่นไรเล่า”

จีเหล่าฮูหยินเล่าว่า “นางกดให้ข้าสองสามครั้ง ข้าก็พ่นออกมา”

“กดสองสามครั้ง ใช้ลมปราณหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างฉงน

จีเหล่าฮูหยินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ”

หญิงสาวหลุบตาลงแล้วแย้มรอยยิ้มน้อยๆ “ไม่ว่าอย่างไร ท่านปลอดภัยย่อมเป็นเรื่องดี”

จีเหล่าฮูหยินมองกระต่ายน้อยในมือ “ขนมนี่ไม่เลว หากหมิงซิวอยู่ก็คงดี เขาจะต้องชอบเป็นแน่”

หญิงสาวหลุบตาลงเพื่อซ่อนแววตาผิดหวัง ใต้เท้า…ยังไม่กลับมาสินะ

เฉียวเวยถือเงินเดินออกจากป่า

กรงถูกซ่อนไว้ในพุ่มไม้ คนทั่วไปยากจะหาพบ มีแต่สัตว์ที่ออกหาอาหารถึงจะอาศัยประสาทรับรู้กลิ่นอันแข็งแกร่งตามหาพบ คนที่ให้เงินผู้นั้นหาพบได้เช่นไร

คงมิใช่สวีต้าจ้วงกระมัง

สวีต้าจ้วงล่าสัตว์มาหลายปี อาศัยแกะร่องรอยจนตามหากับดักอันสองอันพบน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่…เขาเองก็ล่าสัตว์อยู่ ทำไมจะต้องซื้อสิ่งที่อยู่ในกรงดักของผู้อื่น แล้วยังให้ราคาสูงเทียมฟ้าตั้งหนึ่งตำลึงเงินด้วย

สิ่งที่อยู่ในกรงดักกรงนั้นคือเหยื่อล่อกระต่ายป่ากับไก่ป่า พวกที่มาติดกับก็คงมีแต่พวกมัน

กระต่ายป่าตัวหนึ่งในตลาดขายได้หนึ่งร้อยอีแปะ ไก่ป่าตัวหนึ่งขายได้แปดสิบอีแปะ หนึ่งตำลึงเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ ซื้อกระต่ายป่าได้สิบตัว ซื้อไก่ป่าได้สิบสองตัว

ราคาพวกนี้ สวีต้าจ้วงเป็นคนบอกกับนางเอง หากเขาเป็นคนซื้อ ไม่มีทางให้เงินมากเช่นนี้แน่

แต่หากไม่ใช่สวีต้าจ้วง แล้วจะมีผู้ใดเข้ามาในป่าอีกเล่า

จนกระทั่งกลับมาถึงลานบ้านเฉียวเวยก็ยังคิดไม่ตก นางจึงเลิกคิด

ป้าหลัวกำลังทำบัญชี คิดคำนวณจนหน้านิ่วคิ้วขมวด จนไม่ได้สนใจว่านางกลับมามือเปล่า “…ขายได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบอีแปะ ขายอย่างไรไปบ้างแล้วนะ”

เฉียวเวยหยิบแผ่นไม้กับดินสอถ่านมาวาดพลางอธิบาย “ให้ลองชิมสามชิ้น ขายชิ้นเดียวไปสิบห้าชิ้น ทั้งหมดสี่สิบห้าอีแปะ ขายคู่ไปสิบคู่ ทั้งหมดห้าสิบอีแปะ มีคนซื้อไปสิบชิ้นจึงแถมนางชิ้นหนึ่ง ทั้งหมดยี่สิบห้าอีแปะ เท่ากับสี่สิบเก้าชิ้น”

ป้าหลัวมองภาพก็เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นอีกหนึ่งชิ้นเล่า ไม่ใช่ว่าทำมาห้าสิบชิ้นหรือ”

เฉียวเวยอธิบาย “ตอนที่เหลือห้าชิ้นสุดท้าย ข้าคิดเงินนางแค่สี่ชิ้น นับว่าแถมให้นางชิ้นหนึ่ง”

“อ้อ ใช่แล้วๆ” ป้าหลัวพยักหน้าสองสามหน แต่เมื่อนึกอันใดขึ้นได้ก็มองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ “ทำไมเจ้าจำได้แม่นเช่นนี้เล่า”

เมื่อก่อนนางมักถูกคนอื่นเรียกว่าคอมพิวเตอร์เดินได้อยู่บ่อยๆ การจดจำข้อมูลทางการแพทย์อันละเอียดยิบเหล่านั้นไม่เคยเป็นปัญหา ตัวเลขเท่านี้ย่อมไม่คณามือ

นางยิ้มแล้วบอกว่า “เกิดมาความจำดีกระมัง”

ป้าหลัวเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ลูกสาวข้าช่างเก่งกาจ!”

ยามบ่ายเตียงที่เฉียวเวยสั่งไว้มาส่ง อีกฝ่ายถามว่าต้องการให้ประกอบหรือไม่ เฉียวเวยจึงถามว่า “ต้องเพิ่มเงินหรือไม่”

“ต้อง” อีกฝ่ายพยักหน้า

เฉียวเวยจึงส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้อง ข้าทำเอง”

คนเหล่านั้นไม่เชื่อว่าหญิงสาวคนเดียวจะทำงานไม้ได้ จึงอยู่ที่นั่นรอให้เฉียวเวยทำไม่ได้แล้วออกเงินเชิญพวกเขา ใครจะคิดว่าเฉียวเวยเดินเข้าไปในห้อง ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ประกอบเตียงหลังหนึ่งเสร็จแล้ว

ทุกคนตาโตอ้าปากค้าง

ตกกลางคืนเด็กๆ ได้นอนบนเตียงหลังใหม่ก็ไม่ยอมกลับไปนอนบนเตียงเตา

เฉียวเวยซื้อเตียงมาให้ตนเอง มันจึงไม่ใหญ่นักแล้วยังเย็นอีกด้วย ทว่าเด็กทั้งสองก็ยังจะเบียดกันขึ้นไปจนได้ พอนางบอกว่านางจะกลับไปนอนบนเตียงเตา ลูกๆ ก็ปีนดุ๊กดิ๊กขึ้นเตียงเตา

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว เจ้าตัวน้อยอยากนอนกับแม่นี่เอง

สุดท้ายทั้งสามคนจึงนอนบนเตียงเตาอันอบอุ่นเช่นเดิม…

วันต่อมาเฉียวเวยตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อวานทำห้าสิบชิ้น หนึ่งเค่อก็ขายหมด วันนี้นางจึงทำหนึ่งร้อยห้าสิบชิ้น ขนมเหนียวถั่วแดงหนึ่งร้อยชิ้น ขนมเผือกทอดเกล็ดหิมะห้าสิบชิ้น

ราคาเหมือนกับเมื่อวาน หนึ่งชิ้นสามอีแปะ สองชิ้นห้าอีแปะ สิบชิ้นแถมหนึ่งชิ้น

หลังจากทานอาหารเช้า นางกับป้าหลัวก็พาเด็กๆ นั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไปยังตัวเมือง ออกเงินยี่สิบอีแปะเช่าที่ตั้งร้านเหมือนเมื่อวาน

ทันทีที่นางหยิบขนมออกมาจากในตะกร้าก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมล้อม

“ทำไมเพิ่งมาเล่า”

“ใช่ๆ รอตั้งนานแล้ว”

“วันนี้ยังสองชิ้นห้าอีแปะเหมือนเดิมหรือไม่”

เฉียวเวยอมยิ้ม ไล่ตอบทีละคำถาม

“ข้าเอาสี่ชิ้น”

“ข้าก็เอาสี่ชิ้น”

“สิบชิ้นแถมหนึ่งชิ้นสินะ”

เมื่อวานยังมีคนซื้อทีละชิ้นอยู่ไม่น้อย แต่วันนี้มาคนหนึ่งก็ซื้อสี่ชิ้นแทบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมเหนียวถั่วแดง เพราะลูกค้าเก่ากลับมาซื้อจึงขายออกอย่างรวดเร็ว

ขนมเผือกทอดเกล็ดหิมะเป็นสินค้าใหม่ เฉียวเวยตัดแบ่งสองสามชิ้นให้ทุกคนได้ลองชิมตามเดิม ผู้ที่ลองชิมเข้าไปสุดท้ายก็ซื้อทั้งสิ้น คนที่ไม่ได้ลองชิมเมื่อเห็นผู้อื่นซื้อมากมายปานนั้นก็ทยอยควักถุงข้างเอวขึ้นมาด้วย

สถานการณ์ตรงนั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนเถ้าแก่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้ามก็คิดไม่ถึง “อร่อยปานนั้นจริงหรือ เสี่ยวลิ่วเจ้าไปซื้อมาสักสองชิ้นซิ”

เสี่ยวลิ่วรีบวิ่งไปซื้อ แต่สุดท้ายเมื่อถึงตาเขากลับขายหมดเสียแล้ว

[1] เขา สรรพนามบุรุษที่สามที่ใช้เรียกผู้ชายกับผู้หญิงในภาษาจีนออกเสียงว่า “ทา” เหมือนกัน ซีเอ๋อร์จึงเข้าใจว่าเป็นผู้ชาย