ตอนที่ 17 ผู้หลบเร้นบนเขา
วันนี้ทำมามากกว่าเมื่อวานตั้งหนึ่งร้อยชิ้นแท้ๆ ก็ยังขายหมดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ปรากฏการณ์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่านี่ พูดกันตามตรง แม้แต่เฉียวเวยก็ยังประหลาดใจ
ไม่ใช่ไม่เคยคิดว่าจะชายดี แต่ไม่รู้ว่าจะขายดีเช่นนี้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผ่านไปอีกไม่นานนางก็คงหาเงินเช่าที่นาของปีหน้าได้แล้ว
เฉียวเวยอารมณ์ดีมาก
เด็กๆ ก็อารมณ์ดีเช่นกัน แม้พวกเขาไม่เข้าใจการค้าขาย แต่เห็นแผงร้านค้าของผู้อื่นเงียบเหงา แต่ร้านของตนทำแทบไม่ทันก็เกิดความรู้สึกครึกครื้นและสนุกสนานขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เฉียวเวยซื้อถังหูลู่ให้พวกเด็กๆ สามไม้เช่นเดิม หลังจากนั้นจึงเริ่มเก็บร้านด้วยกันกับป้าหลัว
เพิ่งเก็บไปได้ครึ่งหนึ่ง รถม้าอย่างดีคันหนึ่งก็หยุดจอดหน้าร้าน สาวใช้เสื้อกั๊กแขนกุดสีเขียวอ่อนนางหนึ่งก้าวลงมาจากบนนั้น นางคือคนที่มาด้วยกันกับฝังมามานั่นเอง
นางเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “ฮูหยิน ข้าเอาขนมเหนียวถั่วแดงยี่สิบชิ้น!”
เฉียวเวยยิ้มให้ “ขออภัยแม่นาง เจ้ามาสายไป ขายหมดเสียแล้ว”
สาวใช้ขมวดคิ้วอย่างผิดหวัง “เอ๋ ขายหมดแล้วหรือ เหตุใดจึงเร็วเช่นนี้เล่า ข้าเดินทางจากเมืองหลวงมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อรีบมาซื้อขนมของเจ้าโดยเฉพาะเชียวนะ!”
แม้เฉียวเวยมิชอบฝังมามากับคุณหนูสูงศักดิ์ผู้นั้น ทว่าความรู้สึกที่มีต่อสาวใช้ผู้ใสซื่อตรงไปตรงมาผู้นี้กลับไม่เลว “หากรู้ว่าเจ้าจะมา ข้าคงเก็บไว้ให้เจ้าสักหน่อย”
สาวใช้ครุ่นคิด จากนั้นล้วงเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากกระเป๋าเงิน “ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ วันพรุ่งนี้เจ้าเก็บไว้ข้าเถอะ ข้าจ่ายเงินจองเอาไว้ก่อน”
พวกนางเพิ่งพบหน้ากันครั้งเดียว แล้วตนยังขัดแย้งกับคุณหนูผู้สูงส่งนายของนางอีก แต่นางกลับกล้าจ่ายเงินจอง…
เฉียวเวยกลั้นหัวเราะไม่ไหว “พวกข้าตั้งแผงขายของ ไม่ใช่ร้านมีห้องหับ เจ้าไม่กลัวข้าเก็บเงินเจ้าแล้วหนีไปหรือ”
“เอ๋ เจ้าจะทำหรือ” สาวใช้เบิกตาโต
เฉียวเวยไม่รู้สมควรพูดอันใดดี นางหัวเราะอย่างจนปัญญา “ไม่หรอก”
สาวใช้ตบหน้าอกประหนึ่งปลดภาระหนักอึ้งลงได้
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้าจะสั่งขนมอะไร กี่ชิ้นเล่า”
“เจ้าไม่ได้ทำแต่ขนมเหนียวถั่วแดงหรือ ยังมีอย่างอื่นด้วยหรือ” สาวใช้ถาม
เฉียวเวยมัดม้านั่งเก็บจนเสร็จจึงเอ่ยว่า “วันนี้ทำขนมเผือกทอดเกล็ดหิมะมาเล็กน้อย ขายได้ไม่เลวเช่นกัน”
สาวใช้ไม่เสียเวลาคิด “ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างละยี่สิบชิ้น!”
“เจ้าคนเดียวกินมากมายปานนั้นเชียวหรือ” เฉียวเวยถามอย่างประหลาดใจ
สาวใช้จึงตอบว่า “ไม่ใช่ให้ข้ากิน ให้จีเหล่าฮูหยิน เจ้าไม่รู้สินะ ครั้งก่อนขนมที่ข้าซื้อจากเจ้า ถูกคุณหนูของข้าเอาไปมอบให้จีเหล่าฮูหยิน ท่านแม่เฒ่าชอบนัก คุณหนูจึงสั่งให้ข้าซื้อกลับไปอีกให้ได้ แต่วันนี้ดูท่าจะซื้อไม่ได้แล้ว วันพรุ่งนี้เจ้าต้องมาให้ได้นะ!”
“ได้” แม้ไม่ทราบว่าจีเหล่าฮูหยินผู้นั้นคือผู้ใด แต่คนที่คุณหนูผู้สูงศักดิ์เพียรประจบ มิใช่ผู้มั่งคั่งก็คงเป็นผู้สูงศักดิ์ เฉียวเวยยื่นเงินคืนให้สาวใช้ “หนึ่งร้อยอีแปะก็พอแล้ว มีเศษเบี้ยหรือไม่”
“มีๆ!” สาวใช้รับเงินมา จากนั้นเปิดถุงเงินล้วงเงินพวงน้อยพวงหนึ่งออกมา หนึ่งร้อยอีแปะพอดี
วันนี้ไม่พบตาเฒ่าซวนจื่อ เฉียวเวยกับป้าหลัวจึงเช่ารถม้าจากในเมือง ยามนี้ค้าขายดีย่อมมิต้องตระหนี่เงินค่ารถเท่านี้
เมื่อหักค่าเดินทางไปกลับ เงินที่หาได้วันนี้ก็ยังเหลืออีกสามร้อยอีแปะ จำนวนเท่านี้ซื้อข้าวสารได้หนึ่งร้อยชั่ง
เพิ่งครึ่งเดือนก่อนเท่านั้นเองที่ครอบครัวสามคนมิกล้าวาดหวังจะได้กินข้าวขาวทุกมื้อ แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงข้าว แม้แต่เนื้อก็มีให้กินทุกมื้อ สีหน้าของเด็กๆ ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ยังผอมอยู่มาก ต้องกินมากขึ้น บำรุงให้มากหน่อย
เฉียวเวยหั่นหมูสามชั้นออกมานิดหน่อย นางคิดจะซื้อกุ้งมาเสริมแคลเซียมให้ลูกๆ แต่เพราะหน้าหนาวไม่ใช่ฤดูกาลที่พวกกุ้งแพร่พันธุ์ ต้องขนมาไกลหมื่นลี้จากทางใต้ ราคาของพวกมันมิอาจใช้คำว่าแพงมาพรรณนาได้แล้ว
ซื้อสักเจ็ดแปดชั่ง นางก็ล้มละลายได้เลย
สุดท้ายนางจึงซื้อปลามาตัวหนึ่ง
ใช้ปลาตุ๋นน้ำแกงแล้วเอาหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งมาผัดซอสน้ำแดงใส่หูหลัวปัว ครอบครัวห้าคน (นับเพียงพอนหิมะตัวน้อยเป็นสมาชิกด้วย) ก็ทานอาหารกันอย่างสุขสันต์
หลังมื้ออาหาร เฉียวเวยก็เข้าป่า งานสำคัญคือการตรวจดูว่ามีสัตว์ตัวน้อยมาติดกับดักบ้างหรือไม่ แล้วก็ถือโอกาสเปลี่ยนเหยื่อล่อสดใหม่
สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงอย่างยิ่งก็คือวันนี้ประตูกรงทั้งสองล้วนปิดอยู่ เหยื่อด้านในหายไป แต่ในกรงหนึ่งมีไก่ป่าอยู่หนึ่งตัว แต่อีกกรงหนึ่งกลับไม่มีสิ่งใดอยู่ มีเพียงเงินหนึ่งตำลึง
นี่…มีคนซื้อสัตว์ที่นางจับได้ไปอีกแล้วหรือ!
ผู้ใดกันแน่นะ
เมื่อวานเฉียวเวยลองขบคิดดูแล้ว นางตัดสมาชิกในหมู่บ้านออกทีละคน ทุกคนล้วนเป็นคนยากจน ไม่มีทางจ่ายเงินหนึ่งตำลึงซื้อสัตว์ป่า ต่อให้ต้องการซื้อก็ไปหาสวีต้าจ้วงตรงๆ ได้ ไม่มีทาง ‘หยิบฉวย’ ไปจากในกรงโดยตรงแน่นอน
หรือว่า…ในป่าผืนนี้มีคนอาศัยอยู่หรือ
เฉียวเวยนึกสงสัยคนนั้นนึกสงสัยคนนี้ระหว่างกลับเรือน
ป้าหลัวเพิ่งสระผมให้เด็กๆ เสร็จ แต่ละคนหัวเปียกยุ่งเหยิงเหมือนมีรังนกแปะอยู่ด้านบน ดวงตาฉ่ำวาว น่ารักแทบขาดใจ
เฉียวเวยอดใจไม่ไหวขยี้ผมของทั้งคู่เสียหนึ่งที
ป้าหลัวมองไก่ป่าในมือนางแล้วเอ่ยว่า “จับได้แล้วหรือ ไก่ตัวนี้อย่างน้อยก็คงมีสักสามชั่งห้าชั่ง คงขายได้เงินไม่น้อย”
“ไม่ขายเจ้าค่ะ” เฉียวเวยใส่ไก่ลงในถุงผ้าแล้วส่งให้ป้าหลัว “หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว ท่านเอาไปบำรุงร่างกายเถิด”
ป้าหลัวไม่รับ
เฉียวเวยจึงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าท่านช่วยข้าโดยมิได้หวังสิ่งใดจากข้า แต่ข้าต้องการกตัญญูต่อผู้อาวุโสในครอบครัวตนเอง ท่านคงจะยอมรับความตั้งใจนี้ของข้ากระมัง”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว ป้าหลัวจึงไม่สะดวกไม่รับ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะบอกเจ้าเอาไว้ก่อน”
“เรื่องอันใดหรือ” เฉียวเวยเอ่ยถาม
ป้าหลัวเอ่ยว่า “งานฉลองน้องชายของพี่สะใภ้เจ้า เจ้าไปด้วยกันกับข้าเถอะ ข้ามองออกว่าพี่ใหญ่ของเจ้าอยากชวนเจ้า แต่กลัวเจ้าลำบากใจจึงอดใจไม่พูด”
ก่อนหน้านี้ ‘นาง’ มีชื่อเสียงในหมู่บ้านว่าชอบเก็บตัว หลัวหย่งจื้อกลัวว่าเชิญนางแล้ว นางจะไม่อยากไป แต่ติดที่ต้องไว้หน้าจะไม่ไปก็มิได้ หากเป็นเช่นนั้นย่อมกระอักกระอ่วน
นางกำลังกลัดกลุ้มที่ไม่มีโอกาสตอบแทนป้าหลัวอยู่พอดี ต่อให้ป้าหลัวไม่เอ่ยขึ้นมา นางก็เตรียมจะเอ่ยเองอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงตอบรับอย่างยินดี
หลังจากป้าหลัวจากไปแล้ว นางจึงเข้าครัวตระเตรียมวัตถุดิบที่เช้ามืดวันพรุ่งนี้ต้องใช้ นางไม่ขายของค้างคืน ขนมทั้งหมดล้วนลุกขึ้นมาทำตอนเช้ามืด
เมื่อขบคิดได้ว่าวันมะรืนที่จะไปบ้านน้องชายของชุ่ยอวิ๋นจำเป็นต้องหยุดขายหนึ่งวัน นางจึงตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะทำมากขึ้นหน่อย
ตระเตรียมพร้อมสรรพแล้วนางจึงเดินเข้าห้อง ไม่รู้เป็นอะไร นางจึงนึกถึงเรื่องสัตว์ที่จับได้ขึ้นมา
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้คนผู้นั้นจะมาอีกหรือไม่
รับเงินเขามาวันละหนึ่งตำลึงจะไม่ดีนักหรือเปล่า
กระต่ายป่าหนึ่งตัวหนึ่งราคาร้อยอีแปะ แต่นางกลับขายให้ผู้อื่นหนึ่งพันอีแปะ นี่มันคดีกุ้งชิงเต่า[1]โก่งราคาชัดๆ!
มโนธรรมในหัวใจสั่นคลอนเล็กน้อย
เฉียวเวยลูบคางแล้วตัดสินใจทำป้ายราคาขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
นางเคยเห็นตัวอักษรในยุคนี้ในตัวเมือง พวกมันคล้ายกับตัวอักษรเสี่ยวจ้วน[2] ถ้าเป็นตัวอักษรไข่ซู[3]แบบตัวเต็มนางยังพอเขียนได้ แต่ตัวอักษรเสี่ยวจ้วนยากเกินไปจริงๆ
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจใช้ดินสอถ่านวาดรูป
วาดกระต่ายตัวหนึ่งบนแผ่นไม้แผ่นบางก่อน แล้ววาดรูปยุงสีขาวตัวหนึ่งไว้ข้างกระต่าย ให้พ้องเสียงกับคำว่า “หนึ่งร้อยอีแปะ”[4]
พอวาดราคาไก่ป่า นางก็วาดยุงสีดำหนึ่งตัว แล้วเติมก้อนหินน้อยแปดก้อนข้างใต้ยุงสีดำ นี่น่าจะชัดเจนมากแล้วกระมัง
หลังจากวาดเสร็จนางก็วางแผ่นไม้ไว้ในกรงบนภูเขา
[1] คดีกุ้งชิงเต่า คดีที่ร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่งในเขตชิงเต่าแจ้งราคาลูกค้าว่ากุ้งจานละ 38 หยวนแต่พอคิดเงินกลับกลายเป็นว่ากุ้งตัวละ 38 หยวน
[2] เสี่ยวจ้วน ตัวอักษรจีนแบบที่ใช้ในสมัยฉิน หลังจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง
[3] ไข่ซู ตัวอักษรจีนแบบที่ใช้ในปัจจุบัน
[4] ยุงสีขาวหนึ่งตัวอ่านออกเสียงว่า อี้จือไป๋เหวินจื่อ (一只白蚊子) พ้องเสียงกับคำว่าหนึ่งร้อยอีแปะที่อ่านออกเสียงว่า อี้ไป่เหวิน (一百文)