บทที่ 7 การ์กอยล์

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 7 : การ์กอยล์

“นี่มัน…การ์กอยล์?”

หลินเจี๋ยหยิบรูปปั้นขึ้นมาตรวจสอบ

ประติมากรรมหินสูงประมาณสามสิบเซนติเมตร และกว้างสิบเซนติเมตร หนึ่งในสามของมันเป็นฐาน ส่วนที่เหลือเป็นร่างของการ์กอยล์ สัตว์ประหลาดที่ผสมผสานระหว่างมนุษย์และสัตว์ มันมีเขาสองเขาอยู่บนหัว หางมีปลายแหลม มีปีกเหมือนค้างคาว ราวกับเป็นลูกหลานของจอมปีศาจ

“ผู้เฒ่าไวลด์เก็บมันเอาไว้ในเสื้อได้ไงเนี่ย?” หลินเจี๋ยรำพึงกับตัวเอง

ชายหนุ่มสามารถประเมินได้ในแวบแรกว่าประติมากรรมชิ้นนี้มีราคาสูง เมื่อพิจารณาจากฝีมือการสลักอันประณีตบรรจง ประกอบกับแสงสีแดงอันน่าขนลุกจากดวงตาของมันที่ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

ความรู้สึกผิดปกติบางอย่างทำให้หัวใจของหลินเจี๋ยเต้นแรงไปครู่หนึ่ง

น่ากลัวจริง ๆ!!

โชคดีที่พื้นผิวขรุขระของหินทำให้ชายหนุ่ม นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นเพียงแค่ประติมากรรมรูปสลัก

“ใช่” ไวลด์พยักหน้า

“ผมรู้ว่ามันไม่ได้มีค่ามากเท่าไหร่นัก และเทียบอะไรไม่ได้กับความช่วยเหลือที่คุณให้ผมมาตลอดจนถึงตอนนี้ แต่ได้โปรดรับมันไว้แทนคำขอบคุณ ผมจะนำของขวัญล้ำค่ามาให้ในครั้งต่อไปที่แวะมาแน่”

ทีแรกหลินเจี๋ยคิดที่จะปฏิเสธของกำนัล แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนสุภาพเรียบร้อยในแบบเอเชียนั้นไม่เหมาะสมในกรณีนี้ เฒ่าไวลด์ต้องการให้ของขวัญนี้อย่างจริงใจ ดังนั้นการปฏิเสธมันจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาไม่ชอบมันหรือพวกเขายังไม่ได้สนิทกันมากพอได้

นอกจากนี้ การ์กอยล์ยังคล้ายกับรูปปั้นหินที่ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายกันในจีน ซึ่งถือเป็นตัวแทนความปรารถนาดีของเฒ่าไวลด์

ไม่มีเหตุผลใดที่ควรจะปฏิเสธมัน ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงตัดสินใจยอมรับ ‘ของขึ้นชื่อในท้องถิ่น’ ชิ้นนี้

หลินเจี๋ยวางมันลงบนเคาน์เตอร์แล้วยิ้มตอบ…

“ช่างเป็นงานประติมากรรมที่งดงามจริง ๆ ผมชอบมันมาก และตั้งตารอเลยว่าครั้งหน้าคุณจะเอาอะไรมาให้อีก!”

ไวลด์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ชายชราเก็บการ์กอยล์ตัวนี้ไว้มานานหลายปีแล้ว มันเป็นผลงานสำเร็จการศึกษาของเขาในสมัยที่เพิ่งสำเร็จวิชา ในบรรดาผลงานทั้งหมดของไวลด์ การ์กอยล์หินชิ้นนี้เป็นผลงานที่ดีที่สุด มันถูกสร้างขึ้นจากซากวัตถุโบราณของนิกายที่สาบสูญไปแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ ผสมด้วยเลือด วิญญาณ และพลังชีวิตของผู้คนกว่าเก้าร้อยเก้าสิบคน

ผิวหนังอันแข็งแกร่งระดับที่ดาบ หอก ฟันไม่เข้า กรงเล็บที่ฉีกกระชากทะลุทะลวงคนจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ ปีกอันทรงพลังที่ให้ความเร็วและความยืดหยุ่น ทำให้การ์กอยล์ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประมาทไม่ได้ มันสมบูรณ์ระดับที่ว่าสามารถสัมผัสถึงจิตสังหารได้ด้วยตัวเอง

โดยรวมแล้วความสามารถในการต่อสู้ของมันเทียบได้กับนักรบระดับสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว…

ไวลด์ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านการสร้างอุปกรณ์เวท ทีแรกชายชราดีใจมากที่มีโอกาสจะได้แสดงผลงานของตนต่อหลินเจี๋ย แต่เมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘งานประติมากรรม’ ความสุขของเขาก็หายไปในพริบตา และดึงชายชรากลับมาสู่ความเป็นจริง

จริงด้วย… นี่เป็นแค่การ์กอยล์ระดับสัตว์ประหลาด หนังสือที่วางอยู่บนชั้นในร้านแห่งนี้เพียงเล่มเดียวก็มีค่าเท่ากับพวกมันนับพัน!

ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของเราจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตาของตัวตนชั้นสูงสินะ ฮ่าฮ่า… หลินเจี๋ยช่างใจดีจริง ๆ ที่เอาใจใส่ความรู้สึกของเรา และยกย่องมันจากอีกมุมหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นไร!

ไวลด์ได้เตรียมของขวัญชิ้นต่อไปเอาไว้แล้ว และมันจะต้องเป็นของขวัญที่มีคุณค่ามากอย่างแน่นอน ระดับที่แม้แต่ตัวตนชั้นสูงก็ยังต้องคิดว่ามันเป็นของมีค่า!

“คุณจะต้องพอใจแน่”

ชายชราพูดด้วยแววตาเปล่งประกาย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้านหนังสือไป

หลินเจี๋ยโบกมือให้ชายชราพลางถอนหายใจ

นี่น่าจะเป็นลูกค้าทั้งหมดของวันนี้แล้วสินะ…

หลินเจี๋ยคิดกับตัวเองขณะมองดูฝนที่ตกโปรยปรายลงมาข้างนอก การได้ลูกค้าสองคนในสภาพอากาศอันเลวร้ายนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คาดหวังอะไรไปมากกว่านี้

“ทัศนคติที่ดีจะทำให้โชคดีไหลมาเทมา”

หลินเจี๋ยพึมพำพร้อมกับถอนหายใจและจิบชา เขาหยิบการ์กอยล์ขึ้นมาเล่นกับมันเล็กน้อย ก่อนจะวางมันบนเคาน์เตอร์เหมือนเดิม

ภายใต้แสงอันมืดครึ้ม รูปปั้นปีศาจบนฐานของมันเหมือนพร้อมที่จะกางปีกออกล่าได้ทุกเมื่อ…

น่าแปลกที่การ์กอยล์หินก้อนนี้ค่อนข้างเหมาะกับบรรยากาศของร้านหนังสือ หลินเจี๋ยจึงหมุนตัวการ์กอยล์ให้แสงสีแดงอันชั่วร้ายจากดวงตาของมันหันไปที่ทางเข้า ไม่ว่าใครก็ตามที่พยายามบุกเข้ามาในร้านจะต้องหวาดกลัวมันโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวันแสก ๆ ก็ตาม

เยี่ยมเลย ได้อุปกรณ์ป้องกันขโมยแล้ว!!

หลินเจี๋ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเริ่มจัดระเบียบเคาน์เตอร์

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเก็บถ้วยชา ดวงตาของเขาก็หรี่ลงในทันใด

เขาสังเกตเห็นว่าคราบน้ำบนโต๊ะค่อย ๆ ไหลไปตามจังหวะ รวมตัวกันเป็นคำว่า ‘ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ’

หลินเจี๋ยสะดุ้งด้วยความตกใจ ดวงตาจับจ้องไปที่โต๊ะ ขณะที่ความรู้สึกอันคุ้นเคยเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาถูกพามายังร้านหนังสือแห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว

ชายหนุ่มเข้าใจได้ในทันที หลังจากสามปีผ่านไป ในที่สุดคนที่ส่งตนมายังโลกนี้ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้งแล้ว!

“เป็นแกเองสินะ!”

หลินเจี๋ยสงบสติอารมณ์ด้วยการหายใจลึก ๆ แล้วนั่งลง

“ใช่… มันนานจริง ๆ …ในที่สุดแกก็ตัดสินใจเรื่องราคาที่ฉันจะต้องได้แล้วสินะ?”

หลังจากนั้นหลินเจี๋ยก็ระบายความคับข้องใจของเขาออกมา

“ไม่คิดหรือว่ามันมากไปหน่อยเหรอ ที่จู่ ๆ แกพาฉันมาส่งที่นี่ โดยที่ฉันยังไม่ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าไม่เพราะมีลูกค้าที่ร่ำรวยคอยแวะเข้ามาสนับสนุนร้านหนังสือนี้ล่ะก็… ฉันคงอดตายไปนานแล้ว!”

“แกเป็นปีศาจ ประเภทที่ผู้คนมักจะยอมขายวิญญาณให้ใช่ไหม?”

คราบน้ำรวมตัวกันกลายเป็นคำว่า ‘ไม่’

“ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ปีศาจไม่ขี้เกียจขนาดนี้แน่”

หลินเจี๋ยบ่น

ตามตำนาน ปีศาจมักจะพยายามอย่างเต็มที่ในการเอารัดเอาเปรียบผู้ทำสัญญา… เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุด

“ช่างมันเถอะ เข้าประเด็นเลย แกต้องการให้ฉันทำอะไร?”

เจ้าของร้านหนุ่มถาม พลางนั่งตัวตรงกอดอกมองดูคราบน้ำบนเคาน์เตอร์อย่างจริงจัง

เขาไม่รังเกียจที่จะจ่ายชดใช้ในสิ่งที่ตนควรจะต้องจ่าย แม้ว่ามันจะล่าช้าไปสามปีแล้วก็ตาม…

ประการแรก หลินเจี๋ยถือว่าการปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญามีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้กำหนดเงื่อนไขสำหรับข้อตกลงไว้อย่างชัดเจนก็ตาม แต่ตอนนี้ความฝันของเขาก็ได้กลายเป็นจริงแล้ว

การได้ใช้ชีวิตตามฝันเป็นเวลาสามปีก่อนจ่ายชดใช้ ถือเป็นชัยชนะสำหรับเขาแล้ว นอกจากนี้ตัวตนที่ถูกเรียกมาโดยพิธีนี้ยังมีนิสัยค่อนข้างอ่อนโยน หลินเจี๋ยจึงคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็น ‘ตัวตนที่มีความเมตตา’ เช่น ยักษ์จากตะเกียงวิเศษของอาละดิน

หลังจากนั้น หลินเจี๋ยก็เฝ้าดูคราบน้ำที่ก่อตัวขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าทำสำเร็จแล้ว ข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว”

ประโยคนั้นทำให้ความคิดมากมายรุมเร้าจิตใจของหลินเจี๋ย

“หลังจากที่ทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริงแล้ว แกก็หลับไปนานสามปี จนกระทั่งฉันทำบางอย่างสำเร็จ ทำให้… แกได้พลังงาน หรือเงื่อนไขบางอย่างจนฟื้นขึ้นมาสินะ?”

“ใช่”

“…” หลินเจี๋ยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ

“เป็นเพราะฉันขอให้เฒ่าไวลด์ แนะนำหนังสือของฉันให้คนอื่น ๆ งั้นเหรอ?”

“ใช่”

“งั้น… แนะนำและเผยแพร่หนังสือของฉันออกไปก็คือราคาที่ฉันต้องจ่ายสินะ?”

“ใช่”

“สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับแกด้วยเหรอ?”

“ใช่”

ดี…อีกฝ่ายตรงไปตรงมามาก…

“ได้…ไม่มีปัญหา! ฉันจะตั้งใจทำงาน”

หลินเจี๋ยให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงจัง

หลังจากนั้นคราบน้ำบนโต๊ะก็หายไป ลบร่องรอยของการพูดคุยแลกเปลี่ยนที่เคยเกิดขึ้นจนหมดสิ้น

ไม่นานหลังจากที่ไวลด์หายไปในสายฝน ร่างสวมหน้ากากก็มองตามออกมาจากตรอกมืด ดวงตาคมกริบราวกับนกอินทรีจับจ้องไปในทิศทางที่ไวลด์หายตัวไป ก่อนจะดึงโทรศัพท์มือถือออกมา

พลังเวทปะทุออกมาก่อตัวสร้างบาเรียป้องกันเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกไป

“แจ็ครายงาน พบ ‘บุรุษหน้ากากดำ’ ไวลด์ ในซอยที่ 23 ของเมืองหลวงนอร์ซิน ฉันสงสัยว่าเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในกลุ่มนักล่า”

“นอกจากนี้ เขาหยุดลงที่ร้านหนังสือเก่า ๆ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง บางทีร้านหนังสือนี้อาจจะเป็นฐานลับของผู้ใช้มนตร์ดำ”