กู้เจียวปิดประตูห้องลง “บอกมา วันนี้ทั้งวันเกิดอะไรขึ้น”

กู้เสี่ยวซุ่นเล่าสิ่งที่ตนเองประสบพบเจอยามที่คอยเฝ้านางออกมาจนหมดเปลือก

แท้จริงแล้วหญิงชราจำอะไรไม่ได้เลย ยามนางตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในบ้านของกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังแล้ว ทั้งยังคิดว่าตัวเองเป็นคนในบ้านอีก ก่อนจะคว้าตัวกู้เสี่ยวซุ่นแล้วถามซักไซ้ ‘เจ้าไม่รักดีสองคนนั่นคือหลานแท้ๆ ของข้าหรือ’

กู้เสี่ยวซุ่นจำคำพูดของพี่สาวตัวเองกำชับไว้ได้ขึ้นใจ จึงไม่กล้าบอกกับหญิงชรา ว่าความจริงแล้วนางเป็นโรคเรื้อน แต่เขาเองก็ไม่กล้าบอกว่าพี่สาวและพี่เขยของตัวเองเป็นหลานแท้ๆ ของนาง ด้วยความรีบร้อนเขาจึงบอกไปว่าพี่เขยคือหลานย่าของนาง นางเดินทางมาแสนใกล้เพื่อขอพึ่งพิงเขา

กู้เจียวคงคิดไม่ถึงว่านางจะไม่ใช่คนแก่เลอะเลือนทั่วไป จึงไม่ได้ตระเตรียมคำตอบไว้ให้กับกู้เสี่ยวซุ่น

“แล้วนางก็บอกว่า เหตุใดท่านพี่ถึงได้ทำตัวเหมือนผู้นำของบ้านเสียมากกว่า ข้าเลยบอกไปว่า ไม่ได้หรือ เพราะว่าพี่เขยเป็นคนแต่งเข้าบ้าน! นางก็ถามต่ออีกว่า แต่งเข้าบ้านแล้วเหตุใดถึงไม่มีคนอื่นในบ้านเลย ข้าก็เลยตอบไปว่าพวกท่านแยกเรือนออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว”

ได้ยินถึงตรงนี้ กู้เจียวก็กุมขมับ นางเป็นผู้นำครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นางกับเซียวลิ่วหลังต่างวุ่นกับเรื่องของตัวเอง นานทีปีหนถึงจะมานั่งกินข้าวด้วยกันสักมื้อ

เจ้าทึ่มเสี่ยวซุ่นเอ๋ย โดนแม่เฒ่าหลอกเข้าแล้ว

มิน่าล่ะหญิงชราถึงได้ซักไซ้ที่มาที่ไปของตระกูลกู้ไม่หยุด ที่แท้เป็นเพราะกู้เสี่ยวซุ่นเล่าให้นางฟังแทบหมดเปลือก

“แล้วทำไมก่อนหน้านี้ข้าถามอะไรนาง นางถึงได้เมินเฉยข้าเช่นนั้น” จนกู้เจียวคิดว่านางเป็นคนแก่สติเลาะเลือนเสียอีก

กู้เสี่ยวซุ่นตอบ “นางบอกว่าท่านเนรคุณ ไม่อยากเสวนากับท่าน!”

กู้เจียว “…”

หรือว่าเป็นเพราะให้นางกินผลไม้แช่อิ่มน้อยเกินไป

กู้เจียวเดินเข้ามาในโถง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเซียวลิ่วหลังคงได้พูดคุยกับหญิงชราบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังพูดอะไรไปบ้าง หญิงชราถึงไม่ได้วางมาดเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อครู่ ก็กลับดูแง่งอนเสียมากกว่า

“ทะเลาะกับเจ้าจนข้าเพลียไปหมด ข้าไปนอนก่อนละ ข้าวเสร็จแล้วปลุกข้าก็แล้วกัน!” หญิงชราส่งเสียงฮึดฮัด เดินสะบัดก้นให้กับทุกคน ก่อนจะกลับเข้าห้องไปเพื่อนอนคลายง่วง

กู้เจียวหันไปมองเซียวลิ่วหลัง

เซียวลิ่วหลังชะงักไปแล้วพูดขึ้นว่า “เดิมทีหมอยาคนนั้นบอกว่าต้องกินยาตำรับนี้ไปอีกหนึ่งปี แต่หากฟื้นตัวเร็วหนึ่งเดือนก็คงไม่แพร่เชื้อแล้ว”

เขาไม่ได้รบเร้าให้กู้เจียวยอมให้นางอยู่ที่นี่ต่อ เพียงแต่บอกกู้เจียวว่าอีกไม่นานโรคของนางก็ไม่แพร่เชื้อแล้ว นั่นเป็นเพราะเขาหวังว่ากู้เจียวจะยอมให้นางอยู่ที่นี่

กู้เจียวไม่เคยรู้เลยว่าคนเย็นชาอย่างเขาจะเอื้ออาทรคนแปลกหน้าขนาดนี้

หรือบางทีหญิงชราอาจทำให้เขาหวนนึกถึงพี่ชายที่ล่วงลับไป

“เอาเถอะ เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ต่อไปเถิด” กู้เจียวเอ่ยพลางทอดถอนใจ

เดิมทีกู้เจียวก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไล่นางออกอยู่แล้ว

อย่างน้อยก็หาเพื่อนให้เขาสักคนก็ไม่เลวเหมือนกัน

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาตัดสินใจถูกต้อง เพราะกลางดึกคืนนั้น ทหารจากทางการขบวนหนึ่งได้บุกเข้ามาในหมู่บ้านชิงเฉวียน ไล่เคาะประตูบ้านทุกหลังเพื่อตามหาคนป่วยโรคเรื้อนคนหนึ่งที่หนีลงเขามา

คนต่างถิ่นเพียงคนเดียวที่มาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้คือหญิงชรา หลังจากรู้ว่านางเพิ่งมาถึงหมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้ เหล่าทหารก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังโดยไม่รีรอ

ยามที่เหล่าทหารมาถึงหน้าประตูเรือน หญิงชราก็กินข้าวแล้วกลับเข้าไปผิงไฟในห้องแล้ว

ส่วนสองสามีภรรยายังคงนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ

อาหารบนโต๊ะละลานตา มีเนื้อตากแห้งผัดผักกาดขาวหนึ่งจาน ต้นหอมชุบไข่ทอดจานใหญ่ น้ำแกงเห็ดป่าหนึ่งหม้อ ยำเห็ดหูหนูดำหนึ่งถ้วย และถ้วยลิสงแช่เหล้าอีกหนึ่งจาน

กลิ่นหอมของเนื้อตากแห้งผัดผักกาดขาวและต้นหอมชุบไข่ทอดลอยเตะจมูก ปลุกความหิวโหยของเหล่าทหารให้เกิดขึ้น

“ท่านทหารทั้งหลาย มีเรื่องอะไรหรือ” เซียวลิ่วหลังถาม

เหล่าทหารได้สติกลับคืนมา ก่อนจะบอกจุดมุ่งหมายของการมาเยือนของชัดเจน “ได้ยินมาว่ามีหญิงชราผู้หนึ่งมาที่บ้านเจ้า แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”

เซียวลิ่วหลังพาพวกเขาไปยังห้องของหญิงชรา “นางเป็นท่านย่าของข้า เพิ่งมาจากอำเภอซูเมื่อหลายวันก่อน

ขณะพูดก็เดินล่วงหน้าไปก่อนเพื่อหยิบชามของหญิงชราที่ตนเก็บซ่อนไม่ทัน “ท่านแอบกินผลไม้แช่อิ่มอีกแล้วหรือ บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าท่านอายุมากแล้ว กินของหวานมากไม่ได้”

“เชอะ” หญิงชราถูกจับได้คาหนังคาเขา ก่อนเดินหน้าปั้นปึ่งออกไป

เหล่าทหารไม่เคยเห็นภาพเหมือนของคนป่วยโรคเรื้อน แต่ผู้บังคับบัญชาได้บอกลักษณะพิเศษของนาง บอกว่าบนใบหน้าและหลังมือมีแผลขี้เรื้อนสีแดง ใบหน้าเหลืองซีด สติไม่ค่อยดี

แต่หญิงชราที่อยู่เบื้องหน้า นอกจากจะอายุมากเหมือนกันแล้ว ก็ไม่มีจุดใดที่เหมือนเลย

ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีแผลขี้เรื้อน แถมใบหน้ายังแดงระเรื่อ สติสตังก็ดูปกติเหลือเกิน

โรคเรื้อนนั้นรักษาไม่หาย มียาบางขนานที่ช่วยชะลอไม่ให้กำเริบได้ แต่ไม่มีทางฟื้นตัวจนหายดีภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบวันแน่นอน

ความสงสัยในใจของเหล่าทหารคลายไปกว่ากึ่งหนึ่ง บวกกับได้เห็นท่าทีที่เซียวหลิวหลังปฏิบัติต่อหญิงชราก็ไม่ได้หลบเลี่ยงหรือรังเกียจแต่อย่างใด ก็ยิ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นได้เข้าไปใหญ่

ทว่าผู้เป็นหัวหน้าไม่กล้าชะล่าใจนัก เขากลับเข้าไปดูในครัวอีกครั้ง ชี้ไปที่หม้อยาบนเตา “นี่ยาของผู้ใดกัน”

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ของข้าเอง ขาข้าบาดเจ็บ นี่เป็นยาที่ซื้อมาจากในตัวอำเภอ”

“ห่อยาอยู่ที่ไหน เอามาให้ข้าดู” อีกฝ่ายเอ่ย

กู้เจียวหยิบห่อยายื่นให้

คนผู้นั้นคลี่เปิดห่อยา ก่อนจะพบโสมซานชีอยู่ภายใน

โสมสานชีเป็นยาที่ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่แปลกตาสำหรับเหล่าทหารมากนัก นอกจากนั้นยังมีดอกคำฝอยซึ่งเป็นยาสมานแผลที่พบเห็นได้บ่อย

เมื่อมียาสองชนิดนี้ ก็พอจะมั่นใจได้แล้วว่าไม่ใช่ยารักษาโรคเรื้อน

“เจ้าชื่ออะไร” คนผู้นั้นถาม

“เซียวลิ่วหลังขอรับ” เซียวลิ่วหลังตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากท่านทหารทั้งหลายสงสัยในตัวตนของข้า จะไปสืบถามประวัติข้าจากเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียงก็ย่อมได้”

คนผู้นั้นขมวดคิ้ว “เจ้าสำนักของสำนักบัณฑิตเทียนเซียง เขาแซ่หลีใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว” เซียวลิ่วหลังตอบ

เหล่าทหารส่งสายตาให้กัน จากนั้นท่าทีที่มีต่อเซียวลิ่วหลังก็ดูนอบน้อมลง

โดยทั่วไปแล้ว หากจะสืบประวัติก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งโร่ไปหาเจ้าสำนักบัณฑิตให้เป็นเรื่องใหญ่โต แต่เซียวลิ่วหลังกลับตั้งใจเอ่ยถึงเขาเช่นนั้น เท่ากับกำลังบอกพวกเขาว่า เขาคือคนที่เจ้าสำนักหลีคุ้มครองอยู่

แม้เซียวลิ่วหลังไม่ได้อยากเป็นศิษย์ของเขานัก แต่ก็จะจำเป็นต้องเขียนเสือให้วัวกลัวเสียก่อน

หน้าหนาเสียหน่อย ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

ชื่อเสียงของเจ้าสำนักหลีใช้ได้ผล เหล่าทหารถามไถ่ไปตามพิธีอีกสองสามคำก่อนจะยกขบวนกลับไป

ทว่าเหล่าทหารยังไม่ทันได้ออกไปได้ไกล ก็แอบส่งคนกลับมาอีกคนหนึ่ง เข้าไปในบ้านของ

เซวียหนิงเซียงที่อยู่ข้างกัน

“หญิงชราข้างบ้านเป็นท่านย่าของเจ้าหนุ่มคนนั้นจริงหรือ”

“จริงสิ”

“นางมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”

“ไม่กี่วันก่อนนี่เอง” เซวียหนิงเซียงตอบ

“เหตุใดข้าถึงได้ข่าวมาว่าสิบวันก่อน” ทหารถามพลางจ้องเซวียหนิงเซียงตาเขม็ง

เซวียหนิงเซียงตอบสีหน้าเรียบเฉย “ใครบอกกัน ข้าอยู่ข้างบ้าน เหตุใดข้าจะไม่รู้”

ทหารมองเด็กน้อยในอ้อมกอดของเซวียหนิงเซียง นัยน์ตาฉายแววประกาย ทว่าสุดท้ายก็เดินจากไป

เหงื่อเย็นชืดผุดซึมไปทั่วทั้งแผ่นหลังของเซวียหนิงเซียง