ความจริงแล้วหญิงชราผู้นั้นมาถึงตั้งแต่สิบวันก่อน แต่ช่วงแรกนั้นนางยังไม่ทันได้สติ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามาถึงนานขนาดนั้น เพราะอย่างนั้นกว่ากู้เจียวและเซียวลิ่วหลังจะพาหญิงชรามาที่นี่ก็เป็นหลายวันให้หลังแล้ว
ซึ่งเป็นคนละวันกับวันที่หญิงชราหายตัวไปจากหมู่บ้านชิงเฉวียน
แต่สิ่งที่กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังไม่รู้ก็คือ ตอนที่หญิงชราเป็นลมอยู่ที่หน้าประตูเรือนของกู้เจียวนั้น เซวียหนิงเซียงก็ได้ยินความเคลื่อนไหวเช่นกัน
ตอนนั้นนางรู้สึกว่าหญิงชราท่าทางไม่ชอบมาพากลนัก…
“อาเซียง” เสียงของแม่สามีดังออกมาจากห้องข้างกัน
เซวียหนิงเซียงรวบรวมสติแล้วเดินไปยังห้องของแม่สามี “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้วหรือ”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเหมือนมีคนเข้ามาในบ้าน เจ้ารองไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” ลูกชายสองคนก็จากไปแล้วคนหนึ่ง ทุกวันนี้คนแก่อย่างนางก็ได้แต่เป็นกังวลกับลูกชายคนเล็กที่เป็นทหาร
เซวียหนิงเซียงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “น้องรองไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ แค่มีคนป่วยโรคเรื้อนหนีลงเขามา พวกทหารเลยมาตามหา ตอนนี้กลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นชายหรือหญิง อายุเท่าไหร่”
“ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” เซวียหนิงเซียงตอบ
“คนป่วยโรคเรื้อนที่ไหนจะหนีมาถึงหมู่บ้านเราได้…. แค่ก แค่ก…” แม่สามีของเซวียหนิงเซียงไอโขลกอย่างรุนแรง ปากก็ยังเอ่ยพึมพำไม่หยุด ก่อนจะผล็อยหลับไป
เซวียหนิงเซียงหลับตาลง
ถึงแม้นางจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่กู้เจียวก็เคยช่วยชีวิตนางไว้
เหตุการณ์ที่เหล่าทหารตามหาคนในหมู่บ้านชิงเฉวียนมิได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายใด ทุกคนยังใช้ชีวิตกันตามปกติ
กู้เจียวแอบรู้สึกว่า หญิงชราคนนี้คงเป็นคนมีศักดิ์ใหญ่โต ไม่อย่างนั้นจะมีทหารมากมายออกตามหาขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งยังไม่บอกรูปพรรณสัณฐานของนางเลยแม้แต่นิด
ทว่าพอกู้เจียวหันไปมองหญิงชราที่กอดโหลเมล็ดทานตะวันแถมยังแทะไม่หยุดราวกับกระรอก วินาทีนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองคงคิดมากไป
กู้เจียวว่างไม่มีอะไรทำ จึงนำเสื้อผ้าทั้งหมดของเซียวลิ่วหลังออกมาเย็บปะ
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ถ้าคิดเสียว่าผ้าก็เหมือนผิวหนังคนแค่นี้ก็เย็บง่ายแล้ว!
เมื่อเซียวลิ่วหลังกลับมาถึงบ้านก็พบว่าเสื้อผ้าของตัวเองถูกเย็บซ่อมจนเสร็จแล้วทั้งหมด ไม่ต้องเดาก็รู้เป็นฝีมือของกู้เจียว
กู้เจียวไม่เคยเย็บผ้ามาก่อน เอาเป็นว่าเขาไม่เคยเห็นแม้แต่ครั้งเดียว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือฝีมือไม่เลวอีกด้วย ฝีเย็บละเอียด เสมอกันทั้งหมด แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ คนอื่นเขาซ่อนฝีเย็บไว้ข้างใน แต่เหตุใดนางถึงกลับเอาฝีเย็บมาไว้ด้านนอก
หญิงชราฟื้นตัวเร็วกว่าพี่ชายของเซียวลิ่วหลังในยามนั้นมาก เซียวลิ่วหลังเคยถามหมอคนนั้นว่าหากประมาณการจากความเร็วในการฟื้นตัวของพี่ชายเขา อีกนานเท่าไหร่จึงจะไม่แพร่เชื้อ หมอตอบว่าหนึ่งเดือน เพียงแต่หญิงชรากินยาได้ไม่ถึงเดือน อาการกลับดีเสียยิ่งกว่าคนที่รักษามาแล้วหนึ่งเดือนเสียด้วยซ้ำ จนตอนนี้สามารถร่วมโต๊ะกินข้าวได้แล้ว
เซียวลิ่วหลังคิดไม่ถึงเลยว่า หญิงชราจะทำเขาเกือบสำลักข้าวตายตั้งแต่ครั้งแรกที่ร่วมโต๊ะอาหาร
“ข้ามาคิดดูแล้ว” หญิงชรายกซดน้ำแกงข้าวโพดกระดูกหมู่ด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่อย่างใด “เกิดเรื่องอะไรกับพวกเจ้าสองคนกันหรือ ข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงไม่เห็นพวกเจ้านอนห้องเดียวกัน”
เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวพากันสำลัก
“สามีข้าอายุยังน้อย” กู้เจียวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หญิงชรามองเซียวลิ่วหลังหัวจรดเท้าก่อนจะพยักหน้า “นั่นสินะ อายุน้อยเกินไป คงยังไม่มีกำลังวังชา”
เซียวลิ่วหลัง “…”
…
หลังจากที่แม่นางอู๋และลูกสะใภ้พ่ายแพ้ให้กับหญิงชรา คนในหมู่บ้านก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานากันว่านางจะหาโอกาสกู้ศักดิ์ศรีคืนมาอย่างไร แต่ใครจะไปคิดว่านางจะไม่ก้าวออกจากเรือนมาหลายวันแล้ว
อันที่จริงใช่ว่านางไม่อยากออกมา เพียงแต่นายใหญ่กู้ไม่ยอมให้พวกนางออกมาต่างหาก
เพราะเรื่องราวก่อนวุ่นวายใหญ่โตจนรู้ถึงหูนายใหญ่กู้เข้า
ก่อนที่ลูกชายคนเล็กจะจากโลกนี้ไป เขาได้รับปากไว้ว่าจะดูแลกู้เจียวอย่างดี แม้จะไม่ได้พูดออกมาจากปาก แต่นั่นหมายถึงต้องเลี้ยงดูกู้เจียวอย่างใกล้ชิดไปตลอดชีวิต และหาลูกเขยให้นาง
ในวันหน้า
แต่เหตุที่ทำให้เขาผิดคำสัญญาก็เพราะเชื่อว่ากู้เจียวคือตัวกาลกิณี ที่ทำให้ลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ตายจาก จึงจะปล่อยให้นางอยู่ที่นี่แล้วพาความซวยมาเยือนพวกต้าซุ่นไม่ได้
แต่นายใหญ่กู้ก็ไม่ยอมให้แม่นางอู๋เรียกร้องกู้เจียวและสามีรับผิดชอบงานใดในเรือน แม่นางอู๋บอกกับนายใหญ่กู้ว่านั่นเป็นเงินที่เซียวลิ่วหลังมอบให้นายใหญ่กู้เพื่อแสดงความกตัญญู และช่วยค่าเล่าเรียนของต้าซุ่น
นายใหญ่กู้จึงเชื่อตามนั้น
ตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ความจริง นายใหญ่กู้อับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “วันหน้าลิ่วหลังก็ต้องเรียนหนังสือเช่นกัน ห้ามไปขอเงินจากเขาอีกเด็ดขาด!”
แม่นางอู๋ไม่ยอม
แม่นางอู๋เอ่ยขึ้นมา “เจ้าเป๋นั่นจะมีปัญญาร่ำเรียนไปได้สักกี่น้ำกันเชียว ก็แค่เงินไม่เท่าไหร่
ข้าได้ยินมาว่าคราวนี้เขาสอบได้คะแนนไม่ดี! สู้เอาเงินมาส่งต้าซุนเรียนไม่ดีกว่าหรือ วันหน้าต้าซุ่น
ได้เป็นใหญ่เป็นโต ก็คงสงเคราะห์เขาบ้าง!”
วันหน้าต้าซุ่นของนางจะไปเป็นถึงบัณฑิตจวี่เหริน บัณฑิตจวี่เหรินเจียดเศษเงินมาให้ ก็พอเลี้ยงเจ้าเป๋นั่นไปตลอดชีวิตแล้ว
นายใหญ่กู้ต้องการรักษาหน้าตาของตัวเอง ยามนี้ญาติพี่น้องที่บ้านเกิดก็ดูถูกดูแคลนเขามากพอแล้ว หากจะให้เขาไปขอเงินจากหลานเขยอีก เขาคงทำไม่ได้
นายใหญ่กู้ขู่ห้ามไม่ให้แม่นางอู๋พาลูกสะใภ้ออกไปก่อเรื่องให้กับตระกูลอีก
หลายวันมานี้คนที่พบเจอเรื่องร้ายไม่ได้มีเพียงแม่นางอู๋และลูกสะใภ้ กู้ต้าซุ่นเองก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งแรกในชีวิต
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าใครคือตัวเลือกในใจของเจ้าสำนัก ถึงจะตีเขาให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าจะเป็นเซียวลิ่วหลัง
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความพิการของเจ้าเซียวลิ่วหลังนั่น แต่แค่สติปัญญาก็แสนตื้นเขิน ทั้งตัวมีแค่ใบหน้าที่พอดูได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
เขาไม่เข้าใจว่าคนขี้แพ้หัวขี้เลื่อยแบบนั้นเข้าตาท่านเจ้าสำนักได้อย่างไร
กู้ต้าซุ่นนึกย้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของท่านเจ้าสำนัก ตอนแรกเจ้าสำนักชมเขาไม่หยุดปาก แถมยังเรียกเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวอีกด้วย แต่พอหลังจากที่เซียวลิ่วหลังเข้าพบเจ้าสำนัก เจ้าสำนักก็ไม่สนใจใยดีเขาอีกต่อไป
เขาทบทวนตัวเองดูแล้ว สติปัญญาของเขาก็ไม่มีจุดใดที่จะทำให้เจ้าสำนักไม่พอใจ
หรือว่าเซียวลิ่วหลังพูดให้ร้ายบางอย่างเกี่ยวกับเขาต่อหน้าเจ้าสำนัก ทำให้เจ้าสำนักคิดว่าคุณธรรมของเขาบกพร่องและเกลียดชังเขา
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ!
ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักจะเพิกเฉยเขา แต่กลับคอยให้ท้ายเซียวลิ่วหลังไม่รู้กี่หนต่อกี่หนได้เช่นไร
พอนึกว่าเซียวลิ่วหลังแย่งของที่ควรเป็นของเขาไป กู้ต้าซุ่นก็รู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังชักจะเลวทรามเกินไปแล้ว
“เซียวลิ่วหลัง ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
…
ในคืนนี้กู้เจียวได้ฝันอีกครั้ง
เป็นไปตามคาด นางฝันเห็นเซียวลิ่วหลังอีกแล้ว
เซียวลิ่วหลังเพิ่งจะคัดหนังสือเสร็จ ใช้จังหวะช่วงเที่ยงนำหนังสือไปส่งที่หอสมุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุลักขโมยขึ้นในหอสมุด เซียวลิ่วหลังจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
ความจริงแล้วในตอนนั้นมีพยานเห็นเหตุการณ์ ทั้งยังยืนยันว่ามีเพียงเซียวลิ่วหลังที่ขึ้นชั้นสองไป แม้จะไม่ได้ชี้ชัดว่าเซียวลิ่วหลังเป็นโจรขโมย แต่กลับเป็นการตัดผู้ต้องสงสัยอื่นออกทั้งหมด
แน่นอนว่าเซียวลิ่วหลังไม่ยอมจำนน สืบสาวร่องรอยเบื้องหลังทั้งหมดจนไขคดีได้สำเร็จ
ตามหลักแล้วหากเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ก็เท่ากับว่าสิ้นสุดแล้ว แต่เพราะการสืบสวนคดีนั้นใช้เวลาไม่น้อย ยามเซียวลิ่วหลังกลับมาถึงหมู่บ้านก็พบกับหิมะตกหนัก
ระหว่างทางเกวียนไถลลื่นตกลงไปในคลอง ทำให้ใบหน้าของเซียวลิ่วหลังเสียโฉม
บาดแผลฉกรรจ์ติดตรึงเซียวลิ่วหลังไปตลอดชีวิต กลายเป็นเงามืดในจิตใจที่ไม่อาจลืมเลือนไปตลอดกาล