บทที่ 13 องค์รัชทายาทโดนลงโทษ
นางไม่ได้กลัวตาย นางแค่กลัวว่าตอนดื่มเหล้าจอกนี้เข้าแล้วจะปวดท้องตอนพิษออกฤทธิ์
ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยกวาดสายตามเด็กสาวที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า ท่าทางของนางดูเหมือนจะไม่ค่อยหวาดหวั่นเท่าไรนัก แม้ว่าสายตาที่มองจอกเหล้าอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยความ…รังเกียจแฝงไปด้วยความเศร้าสลด
“นับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าขอแต่งตั้งฉินปู้เข่อเป็นชายาเอกแห่งตำหนักอ๋องหลี่ชิน หลังจากบ่ายนี้จงนำหนังสือแต่งตั้งของชายาเอกไปที่ตำหนักอ๋องหลี่ชิน”
ในขณะที่ฉินปู้เข่อยกจอกเหล้าขึ้นจ่อปากและเตรียมดื่มเข้าไปรวดเดียว หากแต่เสียงสวรรค์หนึ่งดังกึงก้องไปทั่วทุกสารทิศ
เกิดอะไรขึ้น?
ฉินปู้เข่อขยับจอกเหล้าออกเล็กน้อย และเงยหน้าถามตามสัญชาตญาณ “ฝ่าบาท สุราจอกนี้หม่อมฉันยังต้องดื่มอยู่หรือไม่เพคะ”
องค์ฮ่องเต้เหลือบมองเด็กสาว ก่อนจะตวัดสายตาไปยังหมี่เซวียนที่ยืนอยู่อีกด้านด้วยท่าทีสบายใจ พร้อมกล่าวเสียงเข้มว่า “นับแต่วันนี้ไป องค์รัชทายาทจะถูกกักบริเวณสำนึกผิดในตำหนักบูรพาเป็นเวลาห้าวัน”
หมี่เซวียนตะลึงงัน สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปรีบคุกเข่าลงพื้นอย่างตื่นตระหนก “เสด็จพ่อ ลูกกระทำสิ่งใดที่ทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ…”
ปึ้ง!
ฮ่องเต้โยนสาส์นเล่มหนึ่งกระแทกหลังองค์รัชทายาท
เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของฟางรั่วเมื่อครู่ก็ยิ่งโมโห หากเป็นเพราะอ๋องหลี่ชินหมายตาฉินปู้เข่อผู้นี้จริง ๆ จะได้โยนความผิดทุกอย่างไปที่อ๋องเจ็ดที่เกะกะลูกหูลูกตาของเขา
แต่คิดไม่ถึงว่าหมี่เซวียนจะกล้าขัดพระราชดำริและถอนหมั้นโดยพลการเพียงเพื่อหญิงสาวที่ใช้วสันตโอสถกับตนเอง
ฉินเฉิงหย่งผู้นี้ทะเยอทะยานยิ่งนัก ทายาทสายตรงก็เป็นคนร้ายกาจ อายุเพียงแค่นี้ทว่าฝีมือโหดเหี้ยม หมายตาเพ่งเล็งตำแหน่งชายาองค์รัชทายาท และกระเสือกกระสนจะคลานขึ้นมาเสียได้
ยังดีที่วันนี้ฮองเฮาจัดการเด็กในท้องของหญิงผู้นั้นไปแล้ว มิฉะนั้นวันใดที่หญิงเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้าไปในตำหนักบูรพา หมี่เซวียนจักจะต้องตกอยู่ในกำมือฉินเฉิงหย่งอย่างแน่นอน
นี่คือเหตุผลหลักที่ฮ่องเต้เชื่อในคำพูดของฟางรั่ว ฉินเสวี่ยเหลียนไม่ได้น่ากลัวเท่าไรหรอก แต่คนที่น่ากลัวคือคนที่ออกอุบายบงการให้ฉินเสวี่ยเหลียนท้องก่อนแต่งมากกว่า
ฉินเฉิงหย่งเตรียมการพร้อมกันพลาดไว้ได้ดีจริง ๆ ถึงขั้นส่งบุตรสาวไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทถึงสองคนเพียงเพื่อตำแหน่งชายาองค์รัชทายาท ดูท่าฉินปู้เข่อผู้นี้จะเชื่องช้าไปเสียหน่อย ถึงคิดวิธีอย่างท้องก่อนแต่งไม่ออก ปล่อยให้ลูกสายตรงคนนั้นชิงลงมือก่อน
ฮ่องเต้หมุนกายจากไปด้วยความโมโห องค์รัชทายาทถูกส่งกลับตำหนักบูรพา พระตำหนักหยางซินที่เมื่อครู่คึกคักบัดนี้สงบลงแล้ว
ฉินปู้เข่อบีบจอกเหล้าพิษในมือ เอียงคอมองหมี่โม่หรู่พร้อมกะพริบตาและร้องเรียกเสียงเบา “ท่านอ๋องเพคะ คือว่า เหล้านี้หม่อมฉันยังต้องดื่มอยู่หรือไม่ ไม่มีใครสนใจพวกเราแล้ว ตอนนี้เราจะเอาอย่างไรกันดี”
หมี่โม่หรู่มองนางอย่างไร้ซึ่งคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “พยุงข้าลุกขึ้นก่อน หากเจ้ายังอยากดื่มมันอยู่ก็ดื่มเข้าไปเถอะ”
ตามหลักแล้วเสด็จพ่อไม่น่าจะหายโกรธง่ายได้ถึงเพียงนี้
ถึงขั้นทำให้เสด็จพ่อลงโทษองค์รัชทายาทได้ ระหว่างที่เขาอยู่ในพระตำหนักหยางซินจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่
พอนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ได้ว่าฟางรั่วนางกำนัลข้างกายฮองเฮาเป็นคนมากราบทูล และวันนี้ฉินปู้เข่อไปถวายบังคมที่ตำหนักเฟิ่งเสียงของฮองเฮาในตอนเช้า…
หรือว่าฉินปู้เข่อจะพูดอะไรกับฮองเฮา?
พื้นเพของหญิงคนนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่?
“ไม่อยากดื่ม ไม่อยากดื่ม”
ฉินปู้เข่อวางจอกเหล้ากลับไปในถาด และวิ่งลงบันไดด้วยความเร็วแสงก่อนจะพยุงหมี่โม่หรู่ให้ลุกขึ้น
ร่างกายของเขาผอมแห้ง นางจึงสัมผัสได้ถึงกระดูกแข็ง ๆ ได้ผ่านเสื้อด้วยซ้ำ หากลองคิดดูดี ๆ แล้วการที่คนคนหนึ่งมีชีวิตด้วยร่างกายอ่อนแอเต็มไปด้วยโรคได้ต้องใช้ความกล้าและความยึดติดอย่างมาก
มิหนำซ้ำเขาไม่เพียงแต่ต้องอดทนกับความทรมานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังต้องอดทนกับการปรักปรำจากพี่น้อง รวมถึงความไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ
ในตอนที่นางหันมองหมี่โม่หรู่อีกครั้ง สายตาฉินปู้เข่อฉายแววสงสารและเห็นใจโดยไม่รู้ตัว
หมี่โม่หรู่เงยหน้าสบเข้ากับสายตาของนางพอดี ย่อมเห็นอารมณ์ทุกอย่างในดวงตาของนาง
ฉินปู้เข่อหัวเราะออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร “ท่านอ๋อง ต้องไปถวายบังคมกับพระสนมเสียนผินอยู่หรือไม่เพคะ”
ตอนอยู่ที่ตำหนักถังหลี สีหน้าของพระสนมเสียนผินเต็มไปด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง ตามหลักแล้วต้องมาขอความเมตตาจากฮ่องเต้เพื่อหมี่โม่หรู่สิถึงจะถูก เหตุใดเรื่องทางนี้จบลงไปแล้วยังไม่เห็นวี่แววเลยล่ะ
“ไม่ต้องหรอก กลับตำหนักเถิด ในเมื่อเจ้าได้พบแล้วข้าค่อยมาวันหลังก็ย่อมได้” หมี่โม่หรู่มีสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้โดนลงโทษก็มิปาน
บนรถม้า ฉินปู้เข่อนั่งวางท่าด้วยท่าทีกุลสตรีสุด ๆ
เมื่อคืนนางโดนจับขังอยู่ในคุกใต้ดินจึงไม่ได้แสดงตนให้ดี จากนี้เป็นต้นไปนางจะต้องใช้มาตรฐานกุลสตรีในการฝึกฝนตนเอง เพื่อให้ได้ใจของชายในฝันในเร็ววัน
“เหตุใดเมื่อครู่เจ้าต้องบุกเข้ามาในพระตำหนักด้วย”
“ในเมื่อหม่อมฉันแต่งเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชินแล้ว ย่อมต้องกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสามี ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ไม่มีทางให้ท่านอ๋องต้องโดนลงโทษแต่เพียงผู้เดียวหรอก” ฉินปู้เข่อตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ได้ข่าวว่าชายในยุคโบราณชอบให้ผู้หญิงปฏิบัติตามหลัก ‘สามคล้อยตาม สี่คุณธรรม’ อ๋องหลี่ชินผู้นี้น่าจะชอบคำตอบเช่นนี้
“เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสามี? ร่วมทุกข์ร่วมสุข?” หมี่โม่หรู่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “พระชายาถูกอบรมมาดีจริง ๆ”
ฉินปู้เข่อก้มหน้าต่ำและเอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้วเพคะ”
“เมื่อคืนเจ้าเข้าตำหนักมาอย่างฉุกละหุก ไม่มีใครคอยปรนนิบัติข้างกาย เมื่อเช้าก่อนออกมาข้าได้เลือกนางกำนัลคนหนึ่งคอยรับใช้เคียงกายเจ้าด้วยตนเอง”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
“เจ้าไม่มีสิ่งอื่นจะพูดหรือ” หมี่โม่หรู่ยิ้มบาง ๆ ถึงแม้เรื่องอื่นเขาจะไม่มั่นใจ แต่ดูเหมือนคุณหนูฉินรองผู้นี้จะชอบรูปโฉมของเขามาก
ไม่ว่าความบ้าผู้ชายนี้นางจะเสแสร้งหรือมีเหตุผลอื่นใด แต่การอ่อนโยนกับนางย่อมลดความระแวงของเขาได้
ฉินปู้เข่อเห็นรอยยิ้มของหมี่โม่หรู่แล้วเกือบจะน้ำลายหกเสียให้ได้ นางแอบกรีดร้องอยู่ในใจ หมอนี่ชอบผู้หญิงประเภทสุภาพสตรีจริงด้วย ท่าทางผู้ดีที่สุดแสนจะเมื่อยหลังนี้คงจะไม่เสียเปล่าจริง ๆ
“หม่อมฉันไม่มีอะไรจะพูดเพคะ หรือท่านอ๋องอยากฟังอะไร เดี๋ยวหม่อมฉันจะพูดให้ท่านฟังเพคะ”
หมี่โม่หรู่กระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาพูดอย่างอดกลั้น “มะรืนเป็นวันคืนเหย้าของเจ้า เจ้าไม่มีสิ่งใดจะนำกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีเลยหรือ”