ตอนที่ 65 เหตุผลของนักพรตยากจน ตอนที่ 66 ความรอบคอบ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 65 เหตุผลของนักพรตยากจน / ตอนที่ 66 ความรอบคอบของคุณหนูใหญ่

ตอนที่ 65 เหตุผลของนักพรตยากจน

ฉีเชียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่ฉินหลิวซีไม่ต้องการสีเจิง เพราะอย่างไรแล้วสิ่งที่ฉินหลิวซีทำนั้นก็ทำให้สีเจิงผู้นั้นนับถือและซาบซึ้งในบุญคุณได้แล้ว หากเป็นบ่าวรับใช้ นางต้องไม่กล้าทรยศแน่

ฉินหลิวซีกลับไม่ต้องการเก็บนางไว้ กระทั่งชี้ทางออกให้นางโดยที่ไม่รับเงินสักอีแปะด้วย

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ข้าช่วยรักษาคนมาตั้งไม่รู้เท่าใดแล้ว หากทุกคนต่างก็อุทิศตัวเป็นบ่าวกันหมด แล้วข้างกายข้าจะไม่มีบ่าวเป็นโขยงหรือ นักพรตยากจนอย่างข้าจะเอาเงินมากมายจากไหนมาเลี้ยงดูบ่าวรับใช้ คิดว่าข้าเปิดโรงทานหรือไร”

“ท่านหมอฉินไม่ได้มีหมายความเช่นนั้นแน่นอน” ฉีเชียนกลับไม่เชื่อคำพูดของนาง

“นั่นก็ถูก ที่สำคัญก็คือนางเองยังประสบปัญหา ถ้าข้ารับนางไว้ข้างกาย แล้วเกิดเรียกความวุ่นวายเข้ามา คนอ่อนแออย่างข้าจะไม่เท่ากับกวักมือเรียกปัญหามาเสียเปล่าๆ หรือ” ฉินหลิวซีท่าทางราวคนที่กลัวตาย

ฉีเชียน “…วิชาแพทย์ของท่านไม่ธรรมดา ทั้งยังรู้หลบหลีกเรื่องร้ายแสวงหาเรื่องดีๆ ได้ กระทั่งว่ามีความสามารถลึกลับแปลกประหลาด ต่อให้มีปัญหาเข้ามา ก็คงจะเป็นปัญหาของอีกฝ่ายมากกว่า”

ดังนั้นหยุดเสแสร้งได้แล้ว ข้ามองเห็นทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว!

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วเล็กน้อย “นึกไม่ถึงเลยว่าในสายตาของคุณชายฉีแล้ว ข้าจะมีความสามารถถึงเพียงนั้น ทำให้ข้ารู้สึกขัดเขินอยู่บ้างจริงๆ”

ฉีเชียนหัวเราะหึๆ สักพักกว่าจะเอ่ย “บิดาของนางชื่อว่าสีเผิงไห่ เคยเป็นแม่ทัพเจิ้นเวยขุนนางขั้นสี่ แต่ในปีที่ 22 รัชศกคังอู่เขาพ่ายแพ้ในสงครามทะเลตะวันตกและหนีทัพ เป็นผลให้ทหารห้าหมื่นนายถูกจับสังหาร เขากลายเป็นคนทรยศ สร้างความอับอายให้แก่ชาติบ้านเมือง ถึงขนาดยักยอกเงินเดือนทหารด้วยซ้ำ ฮ่องเต้ทรงพิโรธ สั่งถอดยศทางทหารและตำแหน่งขุนนางทั้งหมด ปลดเป็นสามัญชน สีเผิงไห่ทนคำซุบซิบนินทาไม่ได้จึงจบชีวิตตนเอง มารดาของสีเจิงปลิดชีพตายตามสามีไป ทิ้งบุตรชายและบุตรสาวไว้”

ฉินหลิวซีเอนพิงรถม้ากึ่งๆ เล่นกับเครื่องรางหยกในมือโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธ

“ท่านหมอฉินคิดว่าสีเผิงไห่ผู้นี้เป็นแม่ทัพทรยศหนีทัพจริงๆ หรือ” ฉีเชียนจ้องมองเขม็ง

ฉินหลิวซีจึงมองเขาพลางเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “คุณชายฉีท่านก็จริงๆ เลยนะ หากท่านคิดจะถกกับข้าเรื่องคัมภีร์เต๋า ข้าก็สามารถจุดเทียนสนทนากับท่านได้ทั้งคืน แต่นี่ท่านถามข้าเรื่องการเมือง ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า ข้ายังไม่เคยพบเจอแม่ทัพสีผู้นั้นเสียหน่อย จะไปรู้ว่าเขาจงรักภักดีหรือทรยศได้เช่นไร”

ฉีเชียนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง “ท่านเรียกเขาว่าแม่ทัพสี ท่านยังถึงกับช่วยสวดส่งวิญญาณคนในตระกูลเขา ท่านหมอฉินเป็นผู้ศึกษาเต๋า ไม่มีทางไม่แยกแยะถูกผิด ดังนั้น…”

“เฮ้ย ข้ายังไม่ได้เอ่ยอะไรเลยนะ!” ฉินหลิวซีหยุดคำพูดเขาพลางส่ายนิ้ว “คุณชายฉีไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ย่อมไม่รู้ ไม่ใช่นักพรตทุกคนบนโลกใบนี้จะเป็นฝ่ายธรรมะ ยังมีฝ่ายอธรรมอีกด้วย ขอแค่เงินถึงค่าตอบแทนดี ก็สามารถทำเรื่องชั่วร้ายทำร้ายคนอื่นได้เช่นกัน ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ใช่ฝ่ายอธรรม”

“ถ้าท่านเป็นฝ่ายอธรรม ท่านก็คงไม่ยื่นมือไปช่วยเด็กตระกูลสีคนนั้นโดยที่ไม่ได้รับเงินมาจากพวกเขาเลย” ฉีเชียนแย้งกลับ

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้รับค่าตอบแทน?” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “พวกเขาให้ค่าตอบแทนข้ามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่คุณชายฉีไม่ทราบเท่านั้น”

บุญกุศลเหล่านั้นเป็นค่าตอบแทนที่ไม่อาจเอาเงินทองเท่าใดมาแลกได้

ฉีเชียนนิ่วหน้า

“คุณชายฉี บนโลกใบนี้มีเรื่องราวไม่ยุติธรรมมากมายนัก ท่านถามว่าสีเผิงไห่ผู้นั้นจงรักภักดีหรือทรยศหักหลังกันแน่ ท่านต้องการทราบความจริงหรือต้องการรื้อคดีพลิกคำตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดท่านก็ต้องสืบหาความจริงเองอยู่ดีมิใช่หรือ หากข้าบอกว่าเขาเป็นขุนนางภักดี ท่านเชื่อ แล้วฮ่องเต้จะเชื่อหรือ” ฉินหลิวซีเผยยิ้มหยัน “สิ่งเดียวที่ทำให้ฮ่องเต้เชื่อได้คือหลักฐาน แม้จะดูเหมือนจะจริงทั้งที่เป็นเท็จ แต่หลักฐานแห่งความผิดก็อยู่ตรงหน้า ก็ต้องถูกตัดสินว่าผิด ถ้าจะพูดให้อุกอาจหน่อยก็คือ หากฮ่องเต้ไม่เชื่อเขา แม้ไม่มีหลักฐาน เขาก็ไม่ใช่ขุนนางภักดีอยู่ดี จึงต้องโทษตาย”

นั่นคือหลักการระหว่างกษัตริย์และขุนนาง กษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย

สีหน้าของฉีเชียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูคล้ายจะดุดันขึ้นด้วย

ตอนที่ 66 ความรอบคอบของคุณหนูใหญ่

สำหรับการตัดสินโทษของโอรสสวรรค์นั้น ตระกูลของฉินหลิวซีเองก็เป็นหนึ่งในคดีที่ถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม จึงมีประสบการณ์ร่วม ถ้าจะให้พูดตามตรงก็คือหากฮ่องเต้ยินดีที่จะเชื่อท่าน แม้ท่านจะทำผิด ก็ยังสามารถอภัยโทษให้ได้ แต่หากไม่เชื่อแล้วไซร้ แม้แต่ท่านหายใจก็ยังผิด

นั่นคืออำนาจของกษัตริย์ผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุด

ฉีเชียนรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงดูหมิ่นในพระราชอำนาจฮ่องเต้ของอีกฝ่าย สีหน้าเขาเย็นชาลงไปทันที

“โหงวเฮ้งของสีเจิง เรือนบิดามารดาทั้งเว้าและนูน เป็นลักษณะของผู้ที่สูญเสียบิดามารดา คิ้วทางขวาสูงกว่าคิ้วซ้าย เสียบิดาก่อน แล้วตามด้วยมารดา ข้าจับชีพจรให้น้องชายของนางด้วยวิชาไท่ซู่ บิดาของพวกเขาตายอย่างไม่คาดคิด” น้ำเสียงของฉินหลิวซีเย็นชามาก

ลมหายใจฉีเชียนสะดุด “ท่านหมายความว่า สีเผิงไห่ไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกฆาตกรรมอย่างนั้นหรือ”

ฉินหลิวซีแบมือออกทันที กลับไปมีท่าทางเอ้อระเหยลอยชายดังเดิม “ข้าไม่รู้นะ คนที่ตายอย่างกะทันหันมีได้หลายแบบ แต่ถ้าข่าวลือว่าแม่ทัพขั้นสี่หนีทัพยังแพร่กระจายออกมาได้เช่นนี้ เกรงว่าที่ผ่านมาก็คงแย่งผลงานคนอื่นมาเพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งได้เหมือนกันกระมัง”

คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะดูหมิ่นสีเผิงไห่ แต่แท้จริงแล้วเป็นการแก้ต่างให้กับเขา จะเป็นไปได้อย่างที่สีเผิงไห่เป็นขุนนางขั้นสี่มาได้เพียงเพราะอาศัยการแย่งผลงานคนอื่น แล้วคนที่ใช้ความสามารถออกรบนำทัพด้วยตัวเองจริงๆ มีหรือจะหนีทัพได้?

ฉีเชียนจมอยู่กับความคิด

ฉินหลิวซีหาวและหลับตาลงครึ่งหนึ่ง

ฉีเชียนถามลองเชิงอีกครั้ง “วิชาจับชีพจรไท่ซู่ที่ท่านหมอฉินพูดถึงสามารถทำนายอนาคตได้จริงหรือ”

ฉินหลิวซีถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรือ คุณชายฉีอยากให้หมอดูต้มตุ๋นอย่างข้าทำนายดวงชะตาให้ท่านด้วยหรือ แปลกจริง คุณชายสูงส่งอย่างท่านน่าจะยืดถือคำสอนขงจื้อที่ไม่ให้เชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้มิใช่หรือ”

ฉีเชียนเอ่ย “ขงจื้อไม่เชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่ก็มีคนที่เชื่อในเต๋าและเชื่อในพุทธ ไม่เช่นนั้นต้าเฟิงจะมีวัดพุทธอารามเต๋าได้อย่างไร ถึงปากข้าไม่ได้เอ่ย แต่ก็รู้จักเคารพและศรัทธา”

ฉินหลิวซีพอใจกับคำตอบมาก เขาไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น จึงเอ่ยถามไปคนละเรื่อง “เช่นนั้นแล้วคุณชายมีความคิดเห็นอย่างไรกับโศกนาฏกรรมของมนุษย์เช่นบิดาของท่านฆ่าบิดาของท่าน?”

ฉีเชียน “?”

นั่นมันหมายความว่าอะไร

“ช่างเถอะ ข้าจะงีบสักหน่อย รีบเร่งเดินทางมาสองวันแล้ว ข้ายังไม่ได้นอนดีๆ เลย เหนื่อยมากจริงๆ” ฉินหลิวซีเอนกายลงแล้วหลับตาทันที

ฉีเชียนเห็นเช่นนั้นก็อึดอัดใจนัก คนผู้นี้ไม่เห็นคนอื่นในสายตาเลยเช่นนี้ได้อย่างไร

ฉินหลิวซีพลิกตะแคง ลอบพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ระหว่างไรฟัน ดีก็ดีอยู่หรอก แต่ชีวิตเช่นนี้ช่าง…

ห่างไกลออกไป ณ จวนตระกูลฉิน

สะใภ้หวังมองดูผ้าและฝ้ายที่หลี่ต้ากุ้ยนำกลับมา นางอดแปลกใจไม่ได้ “พ่อบ้านหลี่ ข้าดูเหมือนจะไม่ได้ให้เจ้าไปซื้อของพวกนี้นะ…”

หลี่ต้ากุ้ยค้อมตัวลงและแจ้งด้วยท่าทางเคารพ “ตอบฮูหยินใหญ่ ของพวกนี้เป็นของที่คุณหนูใหญ่สั่งให้บ่าวไปซื้อมาขอรับ ท่านอาจจะไม่รู้ ฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลีนั้นสั้นมาก ฤดูหนาวมาไว ตอนนี้ก็เข้าเดือนแปดแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง คุณหนูใหญ่กลัวว่าจะเตรียมการณ์ไม่ทัน จึงได้สั่งให้บ่าวไปซื้อของ เตรียมเสื้อผ้ากันหนาวและเครื่องนอนให้เร็วที่สุด”

สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นแล้วก็อดถอนหายใจกับความรอบคอบเอาใจใส่ของฉินหลิวซีไม่ได้ “ทำให้เด็กคนนั้นต้องกังวลแล้ว ของพวกนี้เป็นเงินเท่าใดหรือ ข้าจะได้จ่ายให้เจ้า”

“ฮูหยินโปรดวางใจ ของพวกนี้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วขอรับ บ่าวไปเบิกเงินมาจากฉีหวง นี่ก็เป็นคำสั่งของคุณหนูใหญ่ด้วย” หลี่ต้ากุ้ยด้วยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่สั่งไว้ก่อนที่จะเดินทาง ค่าใช้จ่ายในบ้านให้บ่าวไปเบิกมาจากฉีหวง ท่านแค่จัดการแบ่งสรรไปก็พอ หรือถ้าท่านมีของสิ่งใดต้องการซื้อหาก็สั่งให้บ่าวไปจัดการได้เลยขอรับ”

สะใภ้หวังเข้าใจแล้ว นางไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อหาของพวกนี้ แต่ให้รับผิดชอบเรื่องการแบ่งสรรปันส่วนเท่านั้นก็พอ

สะให้หวังมองดูของเต็มเรือนแล้วนิ่งคิด ฉินหลิวซีเอาเงินมาจากไหน