ตอนที่ 67 ข้ออ้างบอกปัด ตอนที่ 68 แล้งน้ำใจ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 67 ข้ออ้างบอกปัด / ตอนที่ 68 แล้งน้ำใจ

ตอนที่ 67 ข้ออ้างบอกปัด

“ฮูหยินใหญ่ขอรับ?”

เสียงอุทานเรียกของหลี่ต้ากุ้ยทำให้สะใภ้หวังได้สติกลับมาจากภวังค์ความคิด นางหันไปมองด้วยสีหน้าสงบ ยิ้มน้อยๆ “ใจลอยไปหน่อย”

หลี่ต้ากุ้ยโค้งคำนับ

“พ่อบ้านหลี่ เจ้าเองก็ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลฉินเรา โชคดีที่หลายปีมานี้ได้ครอบครัวของเจ้าช่วยกันดูแลบ้านเก่าหลังนี้และปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ โชคดีจริงๆ”

หลี่ต้ากุ้ยค้อมตัวลงอีกเล็กน้อย ประสานมือเอ่ย “ฮูหยินใหญ่จะทำให้บ่าวอายุสั้นแล้ว ล้วนเป็นเรื่องที่บ่าวควรทำทั้งนั้น”

สะใภ้หวังพยักหน้า “เจ้าเองก็รู้ว่าตระกูลฉินชองเราไม่ได้เป็นตระกูลขุนนางขั้นสามเหมือนแต่ก่อน บ่าวรับใช้ที่อยู่ในเมืองหลวงก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว โบราณว่าคนเดินขึ้นที่สูง ย่อมแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า พ่อบ้านหลี่พวกเจ้า…”

หลี่ต้ากุ้ยรีบคุกเข่าลงทันที “ฮูหยินใหญ่ ครอบครัวของบ่าวอยู่ที่บ้านเก่านี้มานาน ทั้งยังปรนนิบัติรับใช้คุณหนูใหญ่มานานแล้ว ข้าเห็นคุณหนูใหญ่เป็นนายจากใจจริง ไม่ว่ารวยหรือจน อยู่หรือตาย บ่าวขอจะติดตามคุณหนูใหญ่ ปรนนิบัติรับใช้นางขอรับ”

สะใภ้หวังเลิกคิ้วทันที

ติดตามคุณหนูใหญ่ หาใช่ตระกูลฉินไม่

ในขณะที่หลี่ต้ากุ้ยแสดงความจงรักภักดี เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของพวกเขาทั้งครอบครัว

ฉินหลิวซีซื้อใจคนทั้งครอบครัวหลี่ต้ากุ้ยไว้ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ป้าหลี่และคนอื่นๆ คอยปกป้องฉินหลิวซีไปหมดทุกอย่าง และให้นางมาเป็นอันดับหนึ่งในทุกเรื่อง

สะใภ้หวังกลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ฉินหลิวซีทำให้พวกเขาทั้งครอบครัวยอมรับได้ก็เป็นความสามารถของนาง หากคนอื่นคิดจะแย่งชิงไปก็ต้องดูว่ามีความสามารถนั้นหรือไม่

สะใภ้หวังเหลือบมองของที่วางอยู่เต็มเรือน “เจ้าลุกขึ้นเถิด ซีเอ๋อร์ย่อมรู้ว่าพวกเจ้าจงรักภักดี จึงได้มอบหมายเรื่องพวกนี้ให้พวกเจ้าจัดการ”

หลี่ต้ากุ้ยยิ้มและลุกขึ้นจากพื้น

“แต่โบราณว่าไว้ นั่งกินนอนกินไม่ทำอะไรก็หมดได้ ถึงซีเอ๋อร์จะมีน้ำใจเช่นนี้ แต่พวกเราทั้งหมดก็ไม่ควรที่จะคอยหวังพึ่งแต่นาง หลี่ต้ากุ้ย ข้าและฮูหยินผู้เฒ่าได้พูดคุยกันแล้ว วางแผนที่จะซื้อที่นาอุดมสมบูรณ์สักสองสามหมู่ในชื่อของเจ้า หากปล่อยเช่าก็ยังสามารถชักแบ่งข้าวมาได้บ้าง ไม่ต้องใช้เงินซื้อไปเสียหมดทุกอย่าง เจ้าเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่”

หลี่ต้ากุ้ยครุ่นคิดพิจารณาสักพัก “ฉีหวงเองก็เคยพูดเรื่องนี้กับบ่าวแล้ว ต้องบอกว่าที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ใกล้ๆ เมืองหลีนี้ล้วนมีเจ้าของกันหมดแล้ว คงไม่ขายต่อกันง่ายๆ และเพราะมันอยู่ใกล้กับเมืองหลี ราคาจึงแพงไปด้วย ตอนนี้หมู่หนึ่งราคาสูงถึงสิบเอ็ดสิบสองตำลึงแล้วขอรับ”

สะใภ้หวังรู้สึกประหลาดใจที่รู้ได้ว่าที่ดินแพงเช่นนั้น

“แต่ที่อำเภอชิงเหอติดกัน แม้ว่าจะเดินทางไกลไปหน่อย แต่เนื่องจากมีแม่น้ำไหลลงสู่แม่น้ำสายใหญ่ ทุ่งนาแถบนั้นจึงอุดมสมบูรณ์ ราคาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่แปดหรือเก้าตำลึงเท่านั้น หากไกลออกไปมากกว่านี้อีกหน่อย ก็สามารถซื้อได้ในราคาหกเจ็ดตำลึง หมู่บ้านเล็กๆ ขนาดสิบกว่าหมู่ที่มีทั้งบึงน้ำ สวน และที่นาอุดมสมบูรณ์สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินไม่กี่ร้อยตำลึง” หลี่ต้ากุ้ยพูดอย่างระมัดระวัง “ถ้าซื้อที่ชิงเหอจริงๆ ก็ไม่โดดเด่นสะดุดตาคนเท่ากับที่เมืองหลีนี้ด้วยขอรับ”

สะใภ้หวังใจเต้นกระตุกทันที

กล่าวคือถ้าตระกูลฉินซื้อหมู่บ้านเล็กๆ ในชื่อของคนอื่น ทั้งยังไม่ใช่ในเมืองหลีที่ถูกทุกคนจับตามองอยู่เช่นนี้ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร

“เจ้าคิดอ่านได้รอบคอบมาก เช่นนั้นแล้วเจ้าลองหาโอกาสไปที่ชิงเหอดูหน่อยว่ามีหมู่บ้านไหนที่พอซื้อได้ หากมีแล้วพบว่าราคาเหมาะสมก็ให้ซื้อไว้” สะใภ้หวังตัดสินใจทันที

“ขอรับ”

หลี่ต้ากุ้ยรับคำ มีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องขอรับ”

“หืม? เรื่องอันใด”

หลี่ต้ากุ้ยตอบ “ท่านสั่งให้บ่าวส่งเทียบเชิญขอเยี่ยมตระกูลติงที่ตรอกปาหลี่ คนเฝ้าประตูแจ้งว่า บังเอิญจริงๆ ที่เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามา ใต้เท้าเจ้าเมืองหนิงโจวคิดถึงฮูหยินติงผู้เฒ่า จึงได้รับตัวฮูหยินติงผู้เฒ่าไปอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าที่หนิงโจว ยังไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อใดขอรับ”

สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นก็วางถ้วยชาที่ยกขึ้นมาลงไปอีกครั้ง นิ้วมืองอเข้าเล็กน้อย เรื่องบังเอิญที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงข้ออ้างบอกปัดเท่านั้น

ตอนที่ 68 แล้งน้ำใจ

“เมื่อกำแพงจะล้ม คนก็ช่วยกันผลัก คิดถึงเมื่อตอนที่ตระกูลฉินของเรายังเป็นขุนนางขั้นสาม ตระกูลติงจะต้องส่งของขวัญมาให้ทุกปี ปากพร่ำพูดแต่ว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน คิดถึงตอนที่ติงโส่วซิ่นนั่นจากขุนนางต่ำต้อยขั้นเก้าจนกลายเป็นเจ้าเมืองขุนนางขั้นสี่ในวันนี้ได้อาศัยแรงกำลังของเราไปมากเพียงใด บัดนี้ตระกูลฉินล้มลงแล้ว พวกเขากลับหลบลี้หนีหน้า หึๆ ที่เรียกว่าคนบ้านเดียวกัน มันก็เท่านี้เอง…แค่กๆ”

ฮูหยินฉินผู้เฒ่าโกรธจัดจนไอออกมาอย่างรุนแรง นางรับผ้าเช็ดหน้าจากติงหมัวหมัวมาปิดปากไว้ทันที บนผ้าเช็ดหน้ากลับมีรอยแดงเปื้อน

“ท่านแม่!”

สะใภ้หวังหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว นางเทน้ำอุ่นด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นจึงสั่งให้ติงหมัวหมัวที่ก็หน้าซีดอยู่เช่นกันไปเอายามา

“ท่านแม่ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย” สะใภ้หวังวางน้ำลงบนโต๊ะตัวเล็กก่อนจะเอามือลูบหลังและปลอบโยน “ท่านแม่ เมื่อแขกจากไป น้ำชาก็เย็นชืด คนเราเฉยชาต่อกันก็เป็นเรื่องปกติ ท่านทำร้ายตัวเองด้วยเรื่องเช่นนี้ กลับจะเป็นการทำให้คนชั่วช้าพวกนั้นสมใจน่ะสิเจ้าคะ”

ติงหมัวหมัวเอายามาและประคองให้นางกินยาลงไป ทั้งยังโน้มน้าวด้วยเช่นกัน “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านจะต้องดูแลตัวเองดีๆ สิเจ้าคะ ท่านยังจะต้องคอยเห็นนายท่านผู้เฒ่าและนายท่านคนอื่นๆ กลับมาอีกนะ”

นางฉินผู้เฒ่ากินยา ดื่มน้ำตาม หายใจหอบเหนื่อยอย่างหนักก่อนจะเอนตัวลงบนหมอนอย่างอ่อนแรง ใบหน้าเผยรอยยิ้มขื่น “ถึงแม้ข้าจะเดาไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ข้ายังคงมีความหวังเล็กๆ ใครจะไปคิดว่าพวกเขาไม่ยินดีที่จะพบหน้าด้วยซ้ำ”

ขณะนี้นางรู้สึกได้ถึงความทุกข์และโศกเศร้าจริงๆ แล้ว

สะใภ้หวังถอนใจเล็กน้อยในใจ มนุษย์เราย่อมมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่คนเหล่านั้นจะหลบหลีกตระกูลฉินของพวกนางราวกับตัวหายนะ พวกเขาก็แค่กลัวว่าอนาคตของตนจะได้รับผลกระทบไปด้วยเท่านั้น

ลองดูบ้านป้าใหญ่ฉินเหมยเหนียงสิ ขนาดว่าเกี่ยวดองกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ตระกูลซ่งนั่นกลับหย่านางทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้แต่บุตรสาวทั้งสองคนก็ยังไล่ออกมาด้วย แล้งน้ำใจแค่ไหน

แต่งงานเกี่ยวดองกันแล้วยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอันใดกับคำว่าคนบ้านเดียวกันกับคนวัยเดียวกันเล่า

นางฉินผู้เฒ่าปรับลมหายใจ “หวังพึ่งพาอะไรกับตระกูลติงนี้ไม่ได้แล้ว แต่เมืองหลีนี้ก็ไม่ได้มีแต่ตระกูลติงเพียงตระกูลเดียว ยังมี…”

“ท่านแม่!” สะใภ้หวังกลับขัดคำพูดนาง

นางฉินผู้เฒ่าหันไปมอง ไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่ขัดจังหวะนางด้วยเหตุใด

“ท่านแม่ พวกเราเองก็เพิ่งจะกลับมาเมืองหลีได้ไม่นาน ท่านเองก็รู้ว่าตระกูลฉินของเรายังอยู่ท่ามกลางลมพายุ ต่อให้บางคนมีใจคิดจะช่วยเราก็คงไม่มีใครกล้าเอาอนาคตมาวางเดิมพันหรอก ข้าจำได้ว่าจ้าวผิงรองนายอำเภอเมืองหลีเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านย่าสามตระกูลเหมิง” สะใภ้หวังเอ่ยเรียบๆ “ตระกูลฉินของเราก็เท่ากับอยู่ในสายตาของตระกูลเหมิง การไปมาหาสู่เช่นนี้ หากกระโตกกระตากไป จนเขาทนไม่ไหวและรายงานไปที่ตระกูลเหมิง เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอีก”

นางฉินผู้เฒ่าเม้มริมฝีปาก จากคำพูดของสะใภ้คนโต นางก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลฉินนั้นยากลำบากกว่าที่คิด

“ดังนั้นท่านแม่ หากเราบุ่มบ่ามไปเยี่ยมใครในตอนนี้ เกรงว่าคงจะมีบางคนวิตกกังวลเกี่ยวกับตระกูลจ้าวและตระกูลเหมิงนี้ ต่อให้พวกเขาอยากจะช่วยก็คงไม่กล้า ท้ายที่สุดแล้วคนเราก็มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีใครที่จะเห็นแก่มิตรภาพโดยไม่สนใจอนาคตของตนเองหรอกเจ้าค่ะ” หากเปลี่ยนเป็นฮูหยินฉินผู้เฒ่าเองก็คงไม่ทำเช่นกัน

สะใภ้หวังเอ่ยต่อ “ท่านแม่ ไม่สู้พวกเราลงหลักปักฐานให้เรียบร้อยก่อนค่อยคิดการอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ”

“พวกเรารอได้ แต่ข้ากลัวว่าพวกปั๋วหงจะรอไม่ได้ อากาศที่นี่ก็เริ่มหนาวแล้ว นับประสาอันใดกับที่ซีเป่ยเล่า” นางฉินผู้เฒ่าคิดถึงลูกหลานและสามีแล้วก็ให้ปวดใจนัก

สะใภ้หวังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ เราไม่ใช่คนเดียวที่สามารถช่วยได้ เรามีซีเอ๋อร์ด้วย ซีเอ๋อร์กับนักพรตชื่อหยวนเป็นศิษย์อาจารย์กัน นักพรตชื่อหยวนยังเคยชี้แนะตระกูลฉินของเราในคราวนั้น เขารู้เรื่องของพวกเราดี หากจะมีใครที่สามารถช่วยเหลือไปทางซีเป่ยได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ ก็มีเพียงแต่เขาเท่านั้นแล้ว”