ตอนที่ 30 รีบช่วยคน

ประโยคนี้ของจี้จือฮวน ไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุคนของภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่เลยสักนิด

โจวเหล่ยได้ยินดังนั้นจึงชี้หน้านาง “ดี ๆ ๆ คำพูดนี้เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ภายภาคหน้าอย่ามาร้องไห้อ้อนวอนพวกเราก็แล้วกัน!”

จากนั้นโจวเหล่ยก็สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที ฮวาเซียงเซียงคิดไม่ถึงว่าคนที่ดูนิ่ง ๆ อย่างจี้จือฮวนจะมีนิสัยกล้าได้กล้าเสี่ยงเช่นนี้ ยิ่งทำให้นางรู้สึกถูกชะตากับจี้จือฮวนเข้าไปอีก

จี้จือฮวนหันไปเอ่ยกับเด็กทั้งสอง “ในนี้มีเงินนิดหน่อย พวกเจ้าอยากซื้ออะไรก็ไปซื้อได้เลย หากไม่พอให้มาบอกข้า ข้าจัดการธุระเสร็จแล้วพวกเราค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”

หากไม่รู้ถึงความสามารถของจี้จือฮวนมาก่อน อาอินต้องเกลี้ยกล่อมไม่ให้นางขายสูตรอย่างแน่นอน อย่างมากก็แค่ย้ายไปขายที่ตำบลอื่น แต่ว่าหลายวันมานี้ได้เห็นจี้จือฮวนทำอาหารด้วยวิธีการใหม่ ๆ อยู่ในครัว นางจึงไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป

ของที่ท่านแม่ทำเป็นมีมากมาย แค่ขายไปไม่กี่อย่าง พรุ่งนี้ก็จะมีมากกว่านี้อีก

แต่เผยจี้ฉือกลับไม่วางใจนัก เพราะเขามีนิสัยขี้ระแวง บวกกับเคยประสบเรื่องของเผยหยวนมา การตกลงมาจากที่สูงเช่นนั้น จึงทำให้เขามีสัญชาตญาณที่ต้องการปกป้องทุกคน

“เถ้าแก่เนี้ยฮวาคนนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”

อาอินเพิ่งจะรู้ตัวว่าพี่ชายกำลังพูดกับตัวเองอยู่ “นางก็คือคนที่รับซื้อเกลือของเรา”

เผยจี้ฉือได้ยินจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดจี้จือฮวนถึงจะขายสูตรให้นาง การลักลอบซื้อขายเกลือ พูดถึงโทษแล้วก็มีความผิดพอ ๆ กัน ในเมื่อต่างก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เหตุใดต้องแบ่งแยกกันด้วย สู้ลงเรือลำเดียวกันไม่ดีกว่าหรือ เพราะเมื่อมีศัตรูร่วมกันเช่นนี้เวลาเผชิญหน้าก็จะสามารถต่อกรได้ดียิ่งขึ้น

เพียงแต่จี้จือฮวนเป็นคนฉลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลเป็นกิจการที่ฮวาเซียงเซียงตั้งใจทำขึ้นมา ดังนั้นของทั้งหมดภายในภัตตาคารแห่งนี้ รวมถึงพ่อครัวแม่ครัวนางล้วนเลือกมาเองกับมือ

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังสู้ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ไม่ได้ และนางก็ไม่ได้เป็นคนเล่ห์เหลี่ยมจัดเช่นเขา ทว่าคนส่วนใหญ่เมื่อได้ยินชื่อภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลแล้ว ก็มักจะเปลี่ยนไปกินที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่กันมากกว่า

ภายหลังการค้าจึงซบเซาลงเรื่อย ๆ พ่อครัวแม่ครัวที่มีฝีมืออยู่สามสี่คนก็ถูกภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ดึงตัวไป ทำให้ตอนนี้คนที่ทำงานในครัวเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

เมื่อพวกเห็นฮวาเซียงเซียงพาสตรีผู้หนึ่งเข้ามา และบอกว่าจะมาสอนพวกเขาทำอาหาร ก็มีคนชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที

แต่อย่างไรเสียฮวาเซียงเซียงก็เป็นเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่ ต่อให้ไม่เต็มใจอย่างไรก็ต้องเรียนด้วยอยู่ดี

แต่เมื่อจี้จือฮวนได้แสดงฝีมือให้พวกเขาได้ชิม แต่ละคนจึงได้ยอมรับในฝีมือของนางจากใจจริง เพราะพวกเขาทำมาหากินกับของกิน ใครทำอร่อยคนนั้นก็คืออาจารย์

หลังจากสอนเสร็จ จี้จือฮวนก็เลยถือโอกาสสอนฮวาเซียงเซียงในสิ่งที่เรียกว่าการอบรมพนักงานและการประชาสัมพันธ์

ฮวาเซียงเซียงจึงตัดสินใจยกที่ว่างหน้าร้านให้จี้จือฮวน ต่อไปนางก็จะสามารถมาตั้งร้านตรงนี้ได้ จี้จือฮวนย่อมไม่ปฏิเสธ จากนั้นก็มีคนของภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลมาช่วยย้ายโต๊ะและเก้าอี้ที่มีอยู่มาให้ด้วย พรุ่งนี้ก็แค่มาเปิดร้านก็พอ

ทางด้านภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ก็ยังคงส่งคนมาจับตามองอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินว่าจี้จือฮวนเอารถเข็นย้ายไปตั้งที่หน้าภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล ฉือชางไห่ก็เขวี้ยงกาน้ำชาในมือลงกับพื้นจนแตก

“นานแล้วที่ไม่เจอคนดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าจะดูสิว่าพวกนางจะพลิกฟ้าได้อย่างไรกัน”

ระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อเผยจี้ฉือแล้วจี้จือฮวนก็ยังคงจ้างเกวียนวัวกลับไปส่ง วันนี้เสียเวลาไปมาก แสงตะวันยามเย็นที่ตกกระทบลงบนร่างของสามคนแม่ลูกนั้น ให้ความรู้สึกร้อนระอุเล็กน้อย

บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมามากกว่าเดิม รถลากลาผ่านไปทีละสองสามคัน และยังมีพ่อค้าหาบเร่หาบของเดินไปตามคันนาด้วย

จี้จือฮวนมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดคิดถึงความสะดวกสบายในยุคปัจจุบันไม่ได้ ส่วนเผยจี้ฉือนั้นทำเพียงมองดูนางอย่างเงียบ ๆ

เขามั่นใจเลยว่าสตรีตรงหน้าผู้นี้ นอกจากร่างกายที่เหมือนกับจี้จือฮวนคนเก่าแล้ว อย่างอื่นกลับไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่หากนางไม่ใช่จี้จือฮวนคนเก่า เช่นนั้นนางเป็นใครกัน?

จู่ ๆ เกวียนวัวก็หยุดลง คนขับเกวียนส่งเสียงจิ๊จ๊ะขึ้นมาเล็กน้อย “ด้านหน้ามีคนขวางทางอยู่”

จี้จือฮวนชะโงกหน้าไปมอง ก็พบว่าด้านหน้าเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีเสียงคนร้องตะโกนเพราะถูกผลักเป็นระยะ ๆ อีกทั้งมีชาวบ้านที่คิดจะเข้าไปดู สุดท้ายก็ถูกคนผลักจนล้มลงบนถนน ทันใดนั้นทุกอย่างก็หยุดชะงักลง

คนที่มุงดูอยู่ต่างก็เป็นชาวนา พอเห็นว่ามีคนชักดาบไหนเลยจะยังกล้ามุงดูอยู่อีก ต่างคนก็ต่างรีบถอยห่างออกมา แต่รถม้าก็ยังไม่ยอมขยับ ขวางทางอยู่อย่างนั้น

อาชิงยังรอพวกนางกลับไปทำกับข้าวอยู่ จี้จือฮวนจึงร้อนใจขึ้นมาแล้ว

จี้จือฮวนลงจากเกวียนวัว ก่อนจะกำชับให้พวกอาอินรออยู่บนเกวียน เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงตะโกนในมาจากในรถม้า

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอดทนอีกหน่อยนะเจ้าคะ หมอใกล้จะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

“หลีกไป อย่ามาขวางทางตรงนี้ หากกล้ามารบกวนคุณหนูของเรา พวกเจ้าตายแน่!” มีองครักษ์ถือดาบเข้ามาสั่งให้คนที่ขวางทางอยู่ถอยออกไป แต่ว่าทั้งสองข้างทางต่างก็เป็นคันนา แล้วจะให้คนไปที่ใดกัน?

“ให้ข้าดูคุณหนูของพวกเจ้าได้หรือไม่” จี้จือฮวนเอ่ย

องครักษ์เห็นนางเป็นสตรีก็เอ่ยเสียงเย็นออกมา “อย่ามาสร้างความวุ่นวาย รู้หรือไม่ว่าคุณหนูของพวกเราสูงส่งเพียงใด หาใช่คนเช่นเจ้า…”

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงตะโกนออกมาจากในรถม้า “คุณหนูเจ้าคะ!”

เมื่อเห็นว่าไม่ทันการณ์แล้ว จี้จือฮวนจึงถือวิสาสะกระโดดขึ้นไปบนรถม้า เปิดม่านและมุดเข้าไปทันที ภายในรถม้านั้นทั้งอับและทึบเป็นอย่างมาก อากาศถ่ายเทไม่สะดวก แม่นมชราคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าถึงหกขวบเอาไว้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่งดงามราวกับรูปสลักเวลานี้เต็มไปด้วยผดผื่นจนแดงก่ำ ร่างกายถูกห่อด้วยผ้าห่มผืนหนา

องครักษ์คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะบุกเข้าไปในรถม้า ด้วยเกรงว่านางจะไปรบกวนเจ้านาย จึงยกดาบขึ้นและตะโกนออกมาทันที “เจ้าลงมานะ!”

จี้จือฮวนไม่ได้สนใจเขา นางเปิดกล่องยาน้อย ๆ ออก แม่นมชราตื่นตระหนกและสงสัย “เจ้าเป็นใครกัน?”

“คนที่สามารถช่วยนางได้ เป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว ไม่ได้ไปหาหมออย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนต้องการที่จะแตะตัวเด็กน้อย แต่แม่นมชรากลับปกป้องเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมกอดทันที

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาแตะต้องตัวคุณหนูของเรา?”

“หากท่านยังปล่อยไว้เช่นนี้นางได้ตายแน่ ท่านต้องการให้นางรอดหรืออยากให้นางตายกันแน่!” จี้จือฮวนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน

เด็กผู้หญิงในอ้อมกอดใกล้จะหมดลมหายใจอยู่แล้ว ทว่าหมอก็ยังไม่มา แม่นมชราจึงเอ่ยพร้อมกับร้องไห้ออกมา “เจ้าใช่หมอหรือไม่?”

“ท่านก็คิดเสียว่าข้าเป็นหมอก็แล้วกัน ถ้ายังไม่ยอมปล่อยมืออีก ต่อให้เทพต้าหลัวลงมาก็ยากจะช่วยได้แล้ว” จี้จือฮวนแกะผ้าห่มที่คลุมร่างของเด็กน้อยออก ก็พบว่าด้านในมีเสื้อกันหนาวสวมอยู่อีกชั้น จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “นางเป็นเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว รีบตอบข้ามา”

แม่นมชราไม่กล้าชักช้าอีก “เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อคืน”

จี้จือฮวนเปิดเสื้อของเด็กน้อยออก ก่อนจะพบว่าแขนและคอของนางมีผดผื่นขึ้น เต็มไปหมด คล้ายโรคลมพิษในเด็ก

“กินอะไรเข้าไปบ้าง?”

“เมื่อคืนดื่มน้ำนมอุ่นไปหนึ่งชาม กลางดึกก็เริ่มมีอาการปวดท้องและมีผื่นขึ้น จนอาเจียนทุกอย่างที่กินเข้าไปออกมา ทว่าต่อมาแม้แต่เอ่ยปากพูดก็ทำไม่ได้อีก” แม่นมชราเอ่ยจบก็ร้องไห้ออกมาอีก

ขณะที่จี้จือฮวนกำลังคิดว่าตนไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ นางกลับพบว่ามียารักษาโรคลมพิษสำหรับเด็กอยู่ในกล่องยาน้อย ๆ ด้วย

จี้จือฮวนไม่รอช้าหยิบยาคาลาไมน์ที่อยู่ข้างในออกมา สั่งให้แม่นมชราถอดเสื้อผ้าของเด็กออก และเริ่มทาบริเวณที่มีอาการ จากนั้นก็ป้อนยาและใส่สายน้ำเกลือให้นาง

แม่นมชรามองจี้จือฮวนรักษาคุณหนูของตนอย่างเป็นกังวล ของที่นำออกมาล้วนมีหน้าตาแปลกประหลาด ทำให้คนที่เห็นไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่?

ทว่าผ่านไปไม่นานคุณหนูของนางก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังจี้จือฮวน