ตอนที่ 31 จากร้ายกลายเป็นดี

จี้จือฮวนใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กน้อย และพบว่ามีไข้สูง ดูเหมือนว่าคงต้องอยู่รอให้น้ำเกลือหมดเสียก่อน

แม่นมชราเห็นว่าคุณหนูลืมตาขึ้นมาแล้วก็ดีใจจนน้ำตาไหล อุ้มเด็กน้อยเอาไว้และร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ปากก็พึมพำไม่หยุดว่าหากเป็นอะไรขึ้นมา ผู้น้อยต้องหนีความผิดไม่พ้นเป็นแน่

จี้จือฮวนเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าเข้าใกล้ผู้ป่วยมากนัก นางต้องการอากาศบริสุทธิ์ กลับไปก็ให้กินอาหารอ่อน ๆ ก่อน อาหารจำพวก ปลา กุ้ง ปู อะไรพวกนี้อย่าเพิ่งเอาให้นางกิน นอกจากนี้ให้เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าเนื้อบางและระบายอากาศได้ดี ปิดมิดชิดเช่นนี้ไม่ดีกับเด็ก”

แม่นมชราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เหตุใดคุณหนูของนางถึงได้นิ่งแบบนี้เล่า ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย หรือว่าสตรีผู้นี้ให้นางกินอะไรส่งเดช จึงทำให้วิญญาณของคุณหนูถูกดูดไปแล้ว?

จี้จือฮวนทายาให้ด้วยความอดทน ก่อนจะถามออกมา “ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วใช่หรือไม่?”

ในที่สุดเด็กน้อยก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ดวงตากลมโตราวกับผลองุ่นกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอ่อนว่า “คัน”

“ถึงคันก็ห้ามเกานะ” เสียงของจี้จือฮวนอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว

เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ครานี้แม่นมชราจึงเริ่มวางใจ “ขอบคุณหมอเทวดา ขอบคุณหมอเทวดามากเจ้าค่ะ”

“หากอยากขอบคุณข้าก็บอกให้คนเปิดทางก่อนเถอะ คนอื่นเขารอกลับบ้านกันอยู่” จี้จือฮวนเอ่ยเสียงเรียบ

“ได้เจ้าค่ะ” แม่นมชราเปิดม่านออก ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “เปิดทาง”

รถม้าจึงรีบหลีกทางให้ผู้คนที่สัญจรไปมา เพียงแต่รถเกวียนที่นางจ้างมาไม่อาจรอได้ และจี้จือฮวนเองก็ไม่สามารถทิ้งเด็กน้อยไปโดยไม่สนใจได้เช่นกัน เป็นแม่นมชราที่สังเกตเห็นว่านางอายุยังน้อยทั้งยังมีเด็กมาด้วยอีกสองคน หนึ่งในนั้นก็เดินเหินได้ไม่สะดวก แม่นมชราจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ท่านหมอพักอยู่ที่ใดหรือ รอคุณหนูอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะไปส่งพวกท่านที่บ้านเอง ค่ารักษาก็จะจ่ายให้อย่างงามแน่นอน”

จี้จือฮวนรอประโยคนี้ของนางอยู่ “ตกลง”

วันนี้นางช่วยชีวิตเด็กน้อยคนนี้เอาไว้จริง ๆ อีกทั้งยาในกล่องยาน้อย ๆ ก็ยังต้องเก็บเอาไว้ช่วยเผยยวนอีก และยังไม่ใช่ของที่มีอยู่ในยุคนี้ด้วย ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ายากจะหาได้

การจะเรียกค่ารักษาก็ไม่นับว่าเกินไปแต่อย่างใด

อีกทั้งดูจากการตกแต่งของรถม้าคันนี้แล้ว ฐานะของเด็กผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน คนประเภทนี้กลัวการถูกคนทวงบุญคุณเป็นที่สุด ดังนั้นการจ่ายเงินตอบแทนเพื่อไม่ให้มีอะไรติดค้างกันก็ถือว่าเป็นการดีที่สุด

เมื่อเห็นจี้จือฮวนไม่ได้สอบถามอะไรมากเกี่ยวกับฐานะของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย แม่นมชราก็แอบชื่นชมอยู่ในใจ

ตอนนี้เด็กน้อยไม่เป็นอะไรแล้ว จี้จือฮวนจึงกระโดดลงจากรถม้า พาอาอินและอาฉือมาอยู่ด้านข้าง ก่อนจะหยิบตะกร้าใบเล็กของตัวเองมาด้วย

โชคดีที่ก่อนหน้านี้เด็กทั้งสองเอาเงินไปซื้อของกินที่ข้างทางมาแล้ว ทั้งยังมีลูกอมที่จะเอากลับไปให้อาชิงด้วย ตอนนี้จึงสามารถเอามากินรองท้องก่อนได้

ขณะที่อาอินเพิ่งจะหยิบลูกอมออกมา ก็มีคนขี่ม้าพุ่งมาทางนี้จนฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว ทำให้ผู้คนที่ยังไม่ทันจากไปใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน ลูกอมที่อาอินแกะเปลือกเสร็จแล้วก็พลอยเปื้อนฝุ่นไปด้วย

“หมอมาแล้ว รีบหลีกไป” บุรุษที่อยู่บนหลังม้ารีบลงไปพาท่านหมอที่ขาทั้งสองข้างสั่นเทาลงมาจากหลังม้า “รีบดูอาการให้คุณหนูของเราเร็วเข้าขอรับ”

หมอชราพยักหน้าหงึก ๆ และขยับหมวกบนหัวของตัวเองให้ตรง เพราะควบม้าตะบึงมาตลอดทาง จนคนแก่อย่างเขาเกือบจะตายระหว่างทางไปแล้ว

แต่เมื่อเข้าไปในรถม้า และมองดูของที่มีหน้าตาแปลกประหลาดตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะคิดว่าน่าเป็นของที่พวกตระกูลร่ำรวยมีกัน

หลังจากเริ่มตรวจชีพจรเพื่อดูอาการของเด็กน้อย หมอชราก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ใครเป็นคนรักษาให้อย่างนั้นหรือ?”

แม่นมชราจึงเอ่ยด้วยความเป็นกังวล “เป็นหมอหญิงท่านหนึ่งเจ้าค่ะ คุณหนูของเราไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เมื่อครู่ต้องอันตรายมากเป็นแน่ เด็กที่มีอาการผดผื่นเช่นนี้ เก้าในสิบคนมักจะไม่รอด และข้าก็มาช้าไป แต่ยังดีที่ผ่านมาได้และปลอดภัยแล้ว” หลังจากหมอชราเอ่ยจบ แม่นมก็เอ่ยขึ้นว่า อามิตตาพุทธ ทันที

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด และแน่ใจว่าเด็กปลอดภัยแล้ว หมอชราจึงลงจากรถม้าไป

ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนจะกลับไปที่ตำบลแต่อย่างใด และเอาแต่ถามจี้จือฮวนเกี่ยวกับเรื่องการแพทย์ ที่แท้คนผู้นี้มานามว่า จางหยวนเฉียว หลายปีก่อนเขาเป็นศิษย์ของหัวหน้าสำนักหมอหลวง ต่อมาเมื่อหัวหน้าสำนักหมอหลวงจากไป เขาเองก็ไม่คิดที่จะเข้าสำนักหมอหลวงอีก จึงอาศัยอยู่ในตำบลฉาซู่แห่งนี้และเปิดร้านยาเพื่อรักษาคนแทน

ชีวิตนี้เขามีดีอสองอย่าง หนึ่งคืออาหารรสเลิศ สองคือเรื่องการแพทย์

และคนผู้นี้ก็ไม่ได้มีท่าทางดูแคลนหมอหญิงแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะมีอายุเกินหกสิบปีแล้ว แต่เมื่อพบหน้าเด็กอย่างจี้จือฮวนก็ยังคารวะให้นาง จากนั้นก็ได้ถามถึงขั้นตอนการรักษาเมื่อครู่อย่างละเอียด

พูดถึงโรคที่ยากจะวินิจฉัยและรักษาในทางการแพทย์แผนจีนแล้ว จี้จือฮวนไหนเลยจะกล้าสอนจระเข้ว่ายน้ำ ทำได้เพียงบอกปัดไปว่าเป็นความลับของสำนัก ไม่อาจบอกผู้อื่นได้

จางหยวนเฉียวก็เข้าใจเหตุผลดี แต่การที่สามารถช่วยรักษาผู้ป่วยเช่นนี้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แถมยังเป็นเด็กที่อ่อนแออีกด้วย หากว่าทุกคนสามารถเอาไปฝึกฝนได้ จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นและคนในครอบครัวได้มากเพียงใด

ประโยคนี้ของจางหยวนเฉียว ทำให้จี้จือฮวนเกิดความรู้สึกชื่นชมในตัวเขา จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันเกี่ยวกับโรคที่รักษาได้ยากบางโรค

อาอินไม่สนใจจะฟังเรื่องพวกนี้ เพียงแค่ร้อนใจว่าเหตุใดถึงยังไม่กลับบ้านอีก

แต่เผยจี้ฉือกลับจ้องจางหยวนเฉียวเขม็ง และตั้งใจฟังบทสนทนาของเขากับจี้จือฮวน เขารู้จักจางหยวนเฉียวว่ามีฝีมือด้านการแพทย์สูงส่ง ทว่าแม้แต่เขาก็ยังมั่นใจในตัวจี้จือฮวนอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นดูท่าแม่เลี้ยงคนนี้คงจะเก่งมากจริง ๆ

เผยจี้ฉือลังเลเล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนเสื้อของจี้จือฮวน

จี้จือฮวนหันไปมองเขาเล็กน้อย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเผยจี้ฉือคิดอะไรอยู่

“ท่านหมอจาง จะว่าไปแล้วข้าก็ยังรู้สึกละอายแก่ใจ เพราะสามีของข้าบัดนี้ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง ข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการรักษาของพวกท่าน ไม่ทราบว่าหากข้าอยากจะเชิญท่านไปดูอาการให้สามีของข้าที่บ้านสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“ย่อมได้อยู่แล้ว” จางหยวนเฉียวตอบตกลงในทันที หาได้ยากที่จะเจอคนที่มีอุดมการณ์ตรงกัน เขาย่อมเต็มใจช่วยเหลืออยู่แล้ว

โชคดีที่ตอนนี้น้ำเกลือก็หมดถุงแล้ว และจางหยวนเฉียวก็ต้องการดูให้ได้ว่าจี้จือฮวนทำจะเช่นไร แต่หลังจากที่ดูเสร็จแล้ว เขาก็ยังคงประหลาดใจไม่หาย การรักษาคนเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการเรียนรู้ช่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ

เนื่องจากแม่นมชรารับปากว่าจะไปส่งพวกจี้จือฮวนที่บ้าน ดังนั้นเหล่าองครักษ์จึงมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านตระกูลเฉินทันที

ตอนที่พวกเขามาถึงหมู่บ้านตระกูลเฉิน ทุกครัวเรือนกำลังกินข้าวกันอยู่ เด็ก ๆ ที่ไม่ใส่กางเกงหลายคนไม่เคยเห็นรถม้ามาที่หมู่บ้านมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบตะโกนเรียกผู้ใหญ่ให้ออกมาดู

เฉินไคชุนในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือต้องมีคนจากสำนักศึกษาชิงอวิ๋นมาเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้ใส่รองเท้าก็วิ่งไปที่ประตูเพื่อยื่นหน้าออกมาดูทันที

พวกชาวบ้านเห็นท่าทางของเขา ต่างก็แสดงความยินดีกันถ้วนหน้า “หัวหน้าหมู่บ้าน เย่าจงของพวกท่านโชคดีจริง ๆ ที่สามารถเข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาชิงอวิ๋นได้”

“นั่นสิ ดูรถม้านั่น โชคของท่านอยู่อีกไม่ไกลแล้ว!”

ฟังแล้วเฉินไคชุนก็ยิ้มกว้างออกมา ใช่แล้ว เย่าจงของพวกเขาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีในอนาคตเชียวนะ

หลังจากฟังจบเขาก็เดินไปที่รถม้าด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก

แต่ใครจะไปคิดว่ารถม้าจะหักเลี้ยวตรงทางเข้าหมู่บ้าน และตรงไปยังเนินเขาครึ่งลูกนั่นแทน

“นี่ พวกเจ้าไปผิดทางแล้ว นี่ บ้านของเฉินเย่าจงอยู่นี่!” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนร้องเรียก

“แปลกจริง ทำไมยิ่งเดินถึงได้ยิ่งไกลออกไปเช่นนั้นล่ะเนี่ย!”

เฉินไคชุนตบที่ต้นขาของตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต้องเป็นคนไม่รู้ทางแน่ ข้าจะไปตามพวกเขากลับมาเดี๋ยวนี้แหละ”

เฉินไคชุนเอ่ยจบก็วิ่งตามไป เฉินเย่าจงเองก็บังเอิญกลับมาจากอีกทางพอดี ชาวบ้านจึงรีบเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา บอกว่าคนของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นมารับเขาแล้ว และยังเป็นรถม้าอีกด้วย

เฉินเย่าจงไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ใบหน้าเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมาทันที