ตอนที่ 32 มีความหวังในการรักษา

อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดเฉินไคชุนก็เดินลัดคันนามาขวางรถม้าเอาไว้ได้

เหล่าองครักษ์ขมวดคิ้วจ้องหน้าเขา และกำลังคิดว่าหากชาวนาผู้นี้กล้าล่วงเกินคุณหนู พวกเขาจะลงมือสังหารทันที

เฉินไคชุนกลับไม่รับรู้เรื่องราวใด ๆ แม้แต่น้อย เขายังเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางถูมือไปมา “ทุกท่านเดินมาผิดทางแล้วกระมัง บ้านข้าอยู่ทางนั้นต่างหากขอรับ”

เหล่าองครักษ์ไม่รู้ว่าครอบครัวของจี้จือฮวนมีใครบ้าง เมื่อได้ยินดังนั้นก็มีท่าทีที่อ่อนลงเล็กน้อย คิดว่าชาวนาผู้นี้คงจะเป็นพ่อของจี้จือฮวน

“ดูสิ หัวหน้าหมู่บ้านไปหยุดรถม้าเอาไว้ได้แล้ว เช่นนั้นต้องเป็นคนจากสำนักศึกษาชิงอวิ๋นแน่ ไม่แน่อาจเป็นอาจารย์ใหญ่มารับเย่าจงด้วยตัวเองก็เป็นได้”

“นี่เป็นเรื่องน่ายินดีของหมู่บ้านจริง ๆ เย่าจงเจ้าทำให้หมู่บ้านของเรามีหน้ามีตากับเขาแล้ว”

เฉินเย่าจงเองก็มองไปทางรถม้าด้วยความคาดหวังอย่างมาก เมื่อถึงเวลา หากเขาได้รับคำชมจากอาจารย์ใหญ่ต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน และได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ เช่นนั้นเส้นทางของเขาก็จะสดใสแล้ว

ใครจะไปคิดว่าเหล่าชาวบ้านที่ชะเง้อคอมอง นอกจากจะไม่เห็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นแล้ว กลับพบว่าเป็นสตรีที่คุ้นเคยผู้หนึ่งแทน

“นั่น…นั่นมันสตรีอัปลักษณ์ตระกูลเผยไม่ใช่หรือ?”

“นั่นสิ เหตุใดนางถึงนั่งรถม้ากลับมาได้!”

เฉินเย่าจงขมวดคิ้วมุ่น ในใจก็มีความคิดเหลวไหลผุดขึ้นมา หรือว่าสำนักศึกษาชิงอวิ๋นจะรู้แล้วว่าคนที่ตอบคำถามนั้นได้ไม่ใช่ตนเองอย่างนั้นหรือ?

ไม่…เป็นไปไม่ได้

ทว่าเฉินไคชุนนั้นกลับตื่นตระหนกยิ่งกว่าเฉินเย่าจงเสียอีก เพราะจี้จือฮวนมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “มีธุระอันใดหรือ?”

เฉินไคชุนอ้าปากค้างทันที “นี่ เจ้าอยู่บนรถม้าของท่านอาจารย์ใหญ่ได้อย่างไร พวกเขามาหาเย่าจงของเราต่างหาก”

อาอินยื่นหน้าออกไป กลอกตามองบนใส่แล้วเอ่ยขึ้นมา “ใครบอกท่านว่าเป็นรถม้าของอาจารย์ใหญ่อะไรนั่น ประสาทไปแล้วหรืออย่างไร?”

“เฮอะ นางเด็กบ้านี่!” เฉินไคชุนทำทีพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อจะตีคน องครักษ์ที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งก็รีบชักดาบออกมาและจ้องหน้าเขาเขม็ง

เฉินไคชุนตกใจผงะไป เมื่อองครักษ์เห็นว่าจี้จือฮวนไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ จึงตะคอกออกมา “หลีกไป”

รถม้าผ่านหน้าเฉินไคชุนไป ก่อนจะหยุดลงที่ตีนของเนินเขาลูกนั้น

เฉินไคชุนนิ่งงันด้วยความตกตะลึง

นี่มัน…นี่มันเรื่องอะไรกัน

“โอ๊ย หน้าแตกกันยกใหญ่ ที่แท้ก็ไม่ใช่สำนักศึกษาชิงอวิ๋นมาหาเย่าจงหรอกหรือ?”

“ไปเถอะ ๆ แยกย้ายกลับบ้านไปกินข้าวต่อดีกว่า”

เฉินเย่าจงร่างโงนเงนเล็กน้อย ใบหน้าตึงเครียดอย่างไร้ที่เปรียบ

เขาไม่เคยอับอายขายหน้าเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยเลย

อาชิงรออยู่ที่บ้านจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เขายืนอยู่ที่รั้ว ข้างกายล้อมรอบไปด้วยลูกไก่กับลูกหมู รอจนกระทั่งเห็นจี้จือฮวนกลับมา เขาจึงวิ่งลงเนินมาด้วยความดีใจ

“ท่านแม่!”

จี้จือฮวนเพิ่งลงจากรถม้า ก็เห็นเด็กตัวน้อยคนหนึ่งถลาเข้ามา นางจึงรีบรับตัวเขาเอาไว้ “รอนานแล้วหรือ หิวหรือไม่?”

ในบรรดาเด็กทั้งสามคน มีเพียงอาชิงที่สนิทสนมกับจี้จือฮวนมากที่สุด อย่างอาอินกับอาฉือไม่มีทางแสดงท่าทีที่สนิทสนมเช่นนี้อย่างแน่นอน

อาชิงพยักหน้าให้อย่างน่าสงสาร พลางเอานิ้วชี้มาจิ้มกัน “อาชิงคิดถึงพวกท่านมาก”

เขาเอ่ยจบจึงพบว่ามีคนหลายคนที่ตนเองไม่รู้จักอยู่ด้วย

ตอนกลับมาจี้จือฮวนกับพวกอาอินนั่งรถม้าคันเล็กตามหลังมา เวลานี้ก็ได้เหล่าองครักษ์อุ้มลงมาแล้ว

“แม่นางน้อย” แม่นมชราลงมาจากรถม้าด้วยตัวเอง และมอบของให้กับจี้จือฮวน “นี่เป็นค่ารักษา วันนี้ต้องขอบคุณแม่นางน้อยที่ยื่นมือเข้าช่วย ข้าขอส่งเพียงเท่านี้ก็แล้วกันนะ”

จี้จือฮวนรับของมาและก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นการขอบคุณเช่นกัน ขณะที่เตรียมจะกลับนั้น ใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ ในรถม้าก็มีเสียงกุกกักดังขึ้น ก่อนที่ประตูรถจะถูกเปิดออก เด็กน้อยที่มีใบหน้าน่ารักมองไปที่จี้จือฮวน พลางเอ่ยด้วยความเขินอายขึ้นมา “ข้าขออยู่เล่นที่บ้านเจ้าก่อนได้หรือไม่?”

หนึ่งเค่อต่อมา

ลานบ้านของครอบครัวเผยไม่เคยคึกคักเช่นนี้มาก่อน เหล่าองครักษ์ยืนประจำตำแหน่งซ้ายขวา เด็กหญิงตัวน้อยกลับมามีแรงอีกครั้ง ดูนู่นดูนี่ในบ้านของครอบครัวเผยด้วยความสนใจโดยมีแม่นมชราและสาวใช้คอยดูแล

“นี่คืออะไร?”

“อันนี้ดื่มได้หรือไม่?”

“ว้าว ข้าไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย”

อาอินจัดการกับวัตถุดิบที่ได้มาจากฮวาเซียงเซียงอยู่ในห้องครัว ส่วนเผยจี้ฉือและจี้จือฮวนพาจางหยวนเฉียวเข้าไปดูอาการของเผยยวนในห้อง

ดังนั้นคนที่รับผิดชอบคอยอยู่เป็นเพื่อนสาวน้อยจึงเหลือเพียงอาชิง

อาชิงคิดว่าในฐานะที่เป็นชายชาตรีน้อย เขาต้องดูแลคนป่วยให้ดี ดังนั้นจึงอธิบายทุกอย่างในบ้านให้นางฟังอย่างกระตือรือร้น

“บ้านเจ้าดีจังเลย มีลูกไก่ด้วย บ้านข้าไม่มีเลย” สาวน้อยจึงรู้สึกอิจฉาอาชิงขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้าช่างน่าสงสารจริง ๆ” อาชิงลูบหัวของหมูน้อยเสี่ยวปา พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ

บ้านของนางไม่มีแม้แต่ลูกไก่ เฮ้อ!

มุมปากของสาวใช้และองครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ กระตุกขึ้นเล็กน้อย เจ้าเด็กที่บ้านยากจนถึงเพียงนี้ กลับมีหน้าบอกว่าคนอื่นน่าสงสารเนี่ยนะ

ทว่าในโลกของเด็กนั้นบริสุทธิ์และสวยงาม

“มันชื่อว่าหมูเสี่ยวปา นี่คือไก่เสี่ยวเอ้อ แล้วเจ้าล่ะชื่อว่าอะไร?”

สาวน้อยกะพริบตาปริบ ๆ “ข้าชื่อหย่งหนิง เจ้าล่ะ?”

“เผยเฮ่อชิง พวกพี่หญิงล้วนเรียกข้าว่าอาชิง เช่นนั้นต่อไปพวกเราก็เป็นสหายกันแล้ว ลูกไก่ของข้าก็เป็นลูกไก่ของเจ้าด้วย”

หย่งหนิงชอบใจเป็นอย่างมาก “อาชิงเจ้าใจดีจังเลย”

เดิมทีแม่นมเห็นครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในที่เช่นนี้ ก็คิดจะกลับไปตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะมีวิชาแพทย์ที่สูงส่งเพียงนี้ คุณหนูแค่กินยาเข้าไป ตอนนี้นอกจากจะเดินเล่นได้แล้ว ยังสามารถพูดคุยอย่างสนุกสนาน และดูท่าทางมีความสุขกว่าตอนที่พักที่เรือนรับรองมากทีเดียว

เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็รู้สึกเบาใจลง

ภายในบ้าน

จางหยวนเฉียวตรวจอาการเผยยวนโดยละเอียด ก่อนจะขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา “แปลกจริง แม่นางน้อยเจ้าเคยรักษาสามีของเจ้าหรือไม่?”

“ข้าไม่รู้อะไรมากนัก จึงให้เขากินพวกยาถอนพิษไปบ้างเท่านั้น”

เผยจี้ฉือจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ท่านปู่จาง ท่านพ่อข้าเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ยัง…ยังพอมีความหวังหรือไม่ขอรับ?”

จางหยวนเฉียวบ่นพึมพำเบา ๆ “ถ้าให้ข้าพูดตามตรง ร่างกายนี้เดิมคงจะไม่รอดตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับค่อย ๆ ดีขึ้น ชีพจรก็เริ่มเต้นแรงขึ้น พอมีความหวังอยู่ เพียงแต่ข้าต้องขอศึกษาดูก่อนว่าเขาถูกพิษอะไรกันแน่ จะได้รักษาให้เขาได้ตรงจุด”

เผยจี้ฉือราวกับพบว่าตัวเองฟังผิดไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงดึงมือของจางหยวนเฉียวมากุมไว้ พลางเอ่ยทั้งน้ำตาที่คลอขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านปู่จาง ท่านอย่าหลอกข้านะขอรับ ท่านพูดจริงใช่หรือไม่ขอรับ?”

“ต้องจริงอยู่แล้ว ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร?” จางหยวนเฉียวลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะตบบ่าของเผยจี้ฉือ “แม่เจ้าต่างหากที่เก่ง คาดว่าคงเป็นเพราะยาถอนพิษที่นางให้พ่อเจ้ากิน จึงทำให้พ่อของเจ้าอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ แต่หากช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ต่อให้เป็นเทพต้าหลัวก็คงช่วยไม่ได้แล้ว”

เผยจี้ฉือสะดุ้งขึ้นมา จริงด้วย อาการของท่านพ่อเหมือนจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ที่จี้จือฮวนเริ่มแปลกไป

ที่แท้นางกำลังช่วยท่านพ่อจริง ๆ

จี้จือฮวนกลับมาพร้อมกับไหดินเผา ก่อนจะเอาปลิงดูดเลือดด้านในที่เลี้ยงเอาไว้อย่างดีใส่เข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ “บนตัวของปลิงดูดเลือดเหล่านี้น่าจะมีพิษในกายของสามีข้าหลงเหลืออยู่ ขอท่านหมอจางได้โปรดช่วยดูให้ทีนะเจ้าคะ”

จางหยวนเฉียวปัดมือไปมา “เกรงใจอะไรกัน ข้าอยู่ที่โรงยาฮุ่ยหมินในตำบล เจ้าต้องการอะไรก็มาหาข้าได้”

ก่อนหน้านี้จี้จือฮวนไม่สามารถยืนยันได้ว่าเผยยวนถูกพิษอะไรกันแน่ ตอนนี้มีท่านหมอยอมช่วยแล้ว ความหวังในการรักษาก็มีมากขึ้น

ตกเย็นจางหยวนเฉียวก็ยอมอยู่กินข้าวกับพวกเขาด้วย จี้จือฮวนจึงเข้าครัวด้วยตัวเอง

ในลานบ้านอาชิงกำลังสอนหย่งหนิงแยกแยะของป่า นี่เป็นความรู้ที่เขาเพิ่งเรียนมา จึงอยากแบ่งปันให้สหายใหม่

“มันนี่มีพิษ เจ้าร้องตามข้านะ ร่มสีแดง ก้านสีขาว กินแล้วนอนแน่นิ่งด้วยกัน…”