บทที่ 28 เสี่ยวเป่าจับปลา (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

ตอนที่ 28 เสี่ยวเป่าจับปลา (รีไรท์)

ตอนที่ 28 เสี่ยวเป่าจับปลา (รีไรท์)

หนานกงหลีอดใจไม่ไหว จึงเอื้อมมือไปบีบแก้มขาวนุ่มของเสี่ยวเป่าสองสามครั้ง

ทว่าผิวเด็กนั้นบอบบางเหลือทน บีบเพียงสองครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว

หนานกงหลีชักมือกลับอย่างรู้สึกผิด

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะอย่างสงสัย พลางยกมือกุมใบหน้าเล็ก ๆ ของตนไว้ แต่นางไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร

“ตรงนั้นเสี่ยวเป่าปลูกสิ่งใดหรือ?”

เขาชี้ไปทางบริเวณที่ดูราวกับหญ้าสีเขียวหนาตา

“เจ้าปลูกหญ้าไปทำไม” ต้องเป็นหญ้าแน่ ๆ

เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ย “ท่านอาเจ็ดนี่เขลาจริงเชียว มันคือต้นข้าว ข้าวที่เอาไว้กินอย่างไรเล่า”

หนานกงหลีเป็นอ๋องไร้ประโยชน์ แต่เล็กจนโตเขาอาศัยอยู่ในวัง จะไปรู้จักต้นข้าวได้อย่างไร?

เขาไม่โกรธที่เสี่ยวเป่าว่าเขาโง่ เพียงถามด้วยความสงสัย “เช่นนั้นข้าวที่เรากินก็ได้มาจากต้นข้าวเหล่านี้อย่างนั้นหรือ? ดูอย่างไรก็คือหญ้า”

น่าทึ่งเกินไปแล้ว

เสี่ยวเป่าผันตัวเป็นอาจารย์ (วิทยาศาสตร์) ตัวน้อยทันที ริมฝีปากน้อย ๆ พรั่งพรูถึงการเติบโตของต้นข้าวอย่างไหลลื่น

ยามที่นางพูดถึงทุ่งนากว้าง เด็กหญิงวัยสามขวบที่รู้จักชาวนามามากกว่าครึ่งชีวิต ดวงตานางก็เป็นประกายราวกับดวงดาว

หลังจากหนานกงหลีฟังนางพูดจบก็คิดว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เขามองนางแปลก ๆ

“เสี่ยวเป่า เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

เสี่ยวเป่า “…”

แย่แล้ว ๆ จะให้ท่านอาเจ็ดรู้ว่านางเป็นภูตพฤกษาตัวน้อยไม่ได้!

คนตัวเล็กรีบปิดปากหมายปกปิด*[1] ทว่าลูกตากลับกลอกไปมา ในขณะเดียวกัน หัวเล็ก ๆ ก็พยายามคิดหาคำแก้ตัว

มุมปากของหนานกงหลีกระตุกขึ้น “เจ้ากำลังคิดว่าจะโกหกข้าอย่างไรดีใช่หรือไม่?”

เสี่ยวเป่าตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ‘ท่านอาเจ็ดรู้ได้อย่างไร?!’

แต่นางไม่ได้พูดมันออกมา

หนานกงหลีจุ๊ปากไปหนึ่งที “ถึงเจ้าไม่พูด สีหน้าเจ้าก็บอกสิ่งที่อยู่ในใจจนหมดแล้ว!”

คนอะไรทั้งอ่านง่ายและไร้เดียงสา

เสี่ยวเปาเอามือเล็ก ๆ ปิดใบหน้าอย่างรวดเร็ว

นางถูกจับได้เสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดมันแล้ว

เจ้าก้อนแป้งน้อยเอามือที่ปิดหน้าออก แล้วใช้ตาดวงน้อยมองท่านอาเจ็ดอย่างน่าสงสาร

หนานกงหลีอดหัวเราะออกมาอย่างเสียมิได้

“เสี่ยวเป่าเด็กโง่”

แต่ก็น่ารักเหลือเกิน

คนตัวเล็กที่ถูกกล่าวว่าโง่เขลาทำท่าโมโห แก้มขาวป่องขึ้นราวกับปลาทองน้อย

“ไม่จริง เสี่ยวเป่าเป็นลูกรักของท่านพ่อ ไม่โง่หรอก”

ที่นางจะสื่อก็คือถ้าท่านพ่อฉลาด นางก็ต้องฉลาดเหมือนกัน

หนานกงหลี “…”

เพิ่งจะบอกว่านางโง่ เผลอแป๊บเดียวนางกลับฉลาดเสียแล้ว

“ในเมื่อฉลาดมาก อย่างนั้นเสี่ยวเป่าคิดจะโกหกอาว่าอย่างไร?”

หนานกงหลีจิ้มแก้มป่อง ๆ ของคนตัวเล็กจนแก้มบุ๋มลงไป

จิ้มเพลินดีจริง

คนตัวเล็กไม่รู้ว่าจะโกหกอย่างไร นางจึงขยับเข้าไปใกล้ ๆ อีกฝ่ายด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเบา

“เสี่ยวเป่าจะบอกท่านอาเจ็ด แต่ท่านต้องเก็บเป็นความลับและห้ามบอกคนอื่น”

จู่ ๆ หนานกงหลีก็รู้สึกสนใจขึ้นมา “ตกลง อาเจ็ดจะไม่บอกคนอื่น”

เสี่ยวเป่าโน้มตัวมากระซิบใกล้ ๆ หูเขา

“จะ…จริง ๆ แล้วเสี่ยวเป่าเป็นภูตพฤกษาตัวน้อย จึงรู้เรื่องมากมายเช่นนี้”

ทันทีที่นางพูดจบก็รีบสังเกตสีหน้าของท่านอาเจ็ดอย่างระมัดระวัง ทว่าเขากลับปิดปากและยักไหล่

เสี่ยวเป่า “???”

เกิดสิ่งใดขึ้น?

“โธ่ ฮ่า!!! หลานสาวตัวน้อย เหตุใดเจ้าจึงน่ารักถึงเพียงนี้ มาเถอะ มาให้อาเจ็ดชื่อชมภูตตัวน้อยของตระกูลหนานกง โอ้ งดงามจริง ๆ เทพธิดาตัวน้อยที่ลงมาจุติที่โลกมนุษย์ อาเจ็ดเชื่อตามที่เจ้าบอก!”

เสี่ยวเป่าได้แต่ก้มหน้างุด “…”

ข้าพูดความจริง เหตุใดท่านถึงไม่เชื่อ!

เสี่ยวเป่าจนปัญญา นางพูดความจริงกลับไม่มีผู้ใดเชื่อ!

หนานกงหลีเลิกสนใจเรื่องพวกนั้น แล้วพาเสี่ยวเป่าไปเดินเล่นต่อจนนางเหนื่อยเสียก่อนค่อยพากลับตำหนักฉินเจิ้ง

ชายหนุ่มที่มากับท่านอาเจ็ดกลับไปแล้ว แต่เห็นว่าท่านพ่อกำลังยุ่ง เสี่ยวเป่าจึงไม่รบกวน เพียงขอให้ท่านอาเจ็ดสอนนางอ่านเขียน

หนานกงหลีปลื้มปริ่มเป็นที่สุด เพราะทันทีที่กลับมาถึงตำหนักนางก็หาคนมาสอนอักษรที่ตนเองไม่รู้จัก แถมยังเรียนรู้ได้เร็วกว่าบุตรชายของเขาเสียอีก!

หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับสนมหลิว ราชสำนักและวังหลังก็สงบสุขไปพักหนึ่ง แน่นอนว่าทุกคนยิ่งสงสัยว่าองค์หญิงน้อยผู้นี้มีหน้าตาอย่างไร

ส่วนเสี่ยวเป่าก็ว่านอนสอนง่าย ทุก ๆ วันนอกจากเป็นทำตัวเป็นเด็กดีรอท่านพ่อกลับมา นางยังไปดูแลสวนผักเล็ก ๆ ของตน

เกือบครึ่งเดือนที่เสี่ยวเป่าใช้ชีวิตอย่างซ้ำซาก แต่กลับไม่น่าเบื่อสักนิด นางได้พบหน้าท่านพ่อ ท่านอาเจ็ด และชุนสี่ทุกวัน พวกเขาพานางทำสิ่งที่นางชอบ ได้กินอิ่มนอนหลับทุกวัน แต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่หวือหวา

แต่บางครั้งท่านพ่อก็ยุ่งมากจนไม่ได้กลับวังสองสามวัน มีเพียงท่านอาเจ็ดและชุนสี่เท่านั้นที่อยู่กับนาง

ทว่าวันนี้แม้แต่ท่านอาเจ็ดก็ไม่มา เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนตั่งอย่างว่าง่าย ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง พลางใช้นิ้วเล็กนุ่มนิ่มอีกข้างเขี่ยเจ้ากระต่ายกระดาษเล่นอยู่อย่างนั้น

“หากองค์หญิงทรงเบื่อ เช่นนั้นเราไปเดินเล่นกันเถอะเพคะ”

เสี่ยวเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตกลง ในวังหลวงกว้างใหญ่นี้ ที่ ๆ นางเคยไปมีเพียงไม่กี่ที่ เพราะส่วนใหญ่นางมักจะติดตามอยู่ข้างกายท่านพ่อ

“องค์หญิงน้อยอยากไปที่ใดเพคะ?”

เสี่ยวเป่าจับคางอยู่ครู่เดียวก็ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

หนึ่งในนางกำนัลจึงเสนอว่า “อุทยานหลวงทางด้านนั้นมีสระน้ำเพคะ ที่นั่นมีทั้งปลาจินหลี่*[2] ทั้งปลาหลี*[3] พระนางทั้งหลายมักจะไปเดินเล่นชมปลากันบ่อย ๆ องค์หญิงอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่เพคะ?”

เมื่อได้ยินชื่อปลาจินหลี่และปลาหลี ดวงตากลมโตของเสี่ยวเป่าก็ส่องแสงวิบวับ

“เอาล่ะ เราไปดูเจ้าปลาน้อยกันเถอะ”

พูดจบก็รีบออกเดินทาง นางแทบรอไม่ไหวที่จะไปอุทยานหลวง นางกำนัลและขันทีรีบเดินตามหลังนางมาติด ๆ

สระน้ำมีไว้สำหรับชมเท่านั้น ที่นี่ไม่ได้มีเพียงปลาจินหลี่ที่สวยงามและล้ำค่าเท่านั้น แต่ยังมีดอกบัวอีกด้วย

ทว่ายามนี้มีเพียงใบบัว ยังอีกนานกว่าดอกบัวจะบาน

เสี่ยวเป่าวิ่งไปข้างหน้า เด็กน้อยนั่งยอง ๆ อยู่ข้างสระน้ำ ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองบนผิวน้ำสีหน้าจริงจัง

แต่มันทำให้ชุนสี่และคนอื่น ๆ ตกใจ “องค์หญิง ไปดูปลาที่ศาลากันเถอะ ที่นี่อันตรายเกินไปเพคะ”

เสี่ยวเป่าตอบตกลง ทว่าระหว่างที่กำลังจะลุกขึ้น จู่ ๆ สายตาของนางก็ปะทะเข้ากับบางอย่างใต้ผืนน้ำ แขนเล็ก ๆ ขาวนวลราวหิมะม้วนแขนเสื้อของตนขึ้นแล้วก้าวลงไปในน้ำ

ชุนสี่และคนอื่น ๆ “!!!”

“องค์หญิง ท่านจะทำสิ่งใด…”

“เงียบก่อน… อย่าเพิ่งพูด เสี่ยวเป่ากำลังจะจับปลา”

ระหว่างที่นางตอบชุนสี่ มือน้อย ๆ ของนางก็คว้าหางปลาอ้วนและยืนขึ้นทันใด นางเซไปเซมา เพราะเจ้าปลาอ้วนดิ้นไม่หยุด จนกระทั่งนางล้มก้นกระแทกพื้นท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทุกคน

เสี่ยวเป่านั่งลงบนพื้น กอดปลาที่มีความยาวเท่าแขนของนางไว้แน่น พร้อมยกยิ้มจนตาหยี

ชุนสี่และคนอื่น ๆ รีบเข้าไปช่วยนาง

“โง่งมสิ้นดี”

ขณะที่เหล่านางกำนัลกำลังรีบเข้าไปช่วยนาง เสียงของเด็กชายก็ดังขึ้น จากนั้นไม่นานเสี่ยวเป่าก็จับปลาเอาไว้ได้

นางกอดปลาตัวอ้วนใหญ่ไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหันไปตามทิศทางเสียง เห็นเด็กชายคนหนึ่งในชุดผ้าสีน้ำเงิน หน้าตาดูคล้ายกับท่านพ่อ และกำลังมองนางอย่างเย่อหยิ่ง

เสี่ยวเป่ามองเขาด้วยนัยน์ตาใสซื่อ เพราะนางไม่รู้จักคนผู้นั้น

แต่ชุนสี่และคนอื่น ๆ รู้จัก พวกนางจึงรีบหันไปทำความเคารพ

“ถวายพระพรองค์ชายหก”

[1] ปิดปากหมายปกปิด หมายถึง ยิ่งพยายามปิด ความจริงก็ยิ่งกระจ่าง

[2] ปลาจินหลี่ (锦鲤) คือ ปลาคาร์ป

[3] ปลาหลี (鲤鱼) คือ ปลาไน