ตอนที่ 29 พี่ชาย (รีไรท์)

ตอนที่ 29 พี่ชาย (รีไรท์)

หนานกงฉีเฉินเชิดหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างใจเย็น

“ลุกขึ้นเถอะ”

ต่อมาเขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเป่า แล้วก้มมองเจ้าก้อนแป้งตัวน้อย

“เจ้าน่ะหรือน้องสาวข้า โง่งมจริง”

ใบหน้าขาวราวหิมะของเสี่ยวเป่าพองขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาคู่สวยจ้องคนตรงหน้า

“เสี่ยวเป่าไม่ได้โง่ เสี่ยวเป่าฉลาดต่างหาก!”

เด็กน้อยโต้กลับด้วยความโมโห ทว่าน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ มันไม่ได้ทำให้น่ากลัวเลยสักนิด

หนานกงฉีเฉินเย้ยหยันคืน “หากเจ้าไม่ได้โง่ เหตุใดจึงจับปลาตัวใหญ่ด้วยมือเปล่า เจ้าไม่รู้หรือว่าอาจถูกปลาตัวนั้นดึงลงไปในน้ำได้”

เขามองเด็กที่ดูเหมือนก้อนหิมะ อืม…เขาคิดว่านางเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ ใคร ๆ ก็บอกว่าเสด็จพ่อรักใคร่นางมาก

แต่เขากลับมองว่าเป็นเพราะเสด็จพ่อคิดว่านางไร้เดียงสาและโง่เขลาเกินไป ถึงได้ประคบประหงมนางเป็นพิเศษ!

เสี่ยวเป่ายืนขึ้นช้า ๆ พร้อมปลาตัวใหญ่ในมือ

“เสี่ยวเป่าจับปลาตัวใหญ่ได้ แล้วท่านคือผู้ใดกัน?”

หนานกงฉีเฉินยกมือกอดอกพร้อมเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ข้าคือพี่ชายของเจ้า”

เสี่ยวเป่าเบิกตากว้าง “เสี่ยวเป่ามีพี่ชาย!”

พูดจบนางก็วิ่งไปหาเขาทันที

“หยุด! ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ข้า ตัวเจ้าเปียกโชก แถมยังมีกลิ่นเหมือนปลา”

เด็กชายแสดงท่าทีน่ารังเกียจ

เสี่ยวเป่าลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยืนอยู่ที่เดิม มองเด็กชายที่หน้าตาคล้ายท่านพ่อตาปริบ ๆ

หนานกงฉีเฉินถูกนางมองตาปริบ ๆ พลันนึกสงสัยว่าเมื่อครู่ตนพูดเสียงดังและรุนแรงเกินไปจนทำให้นางหวาดกลัวหรือไม่

“จะ เจ้า…” นางคงไม่ได้จะร้องไห้ใช่หรือไม่? ไม่นะ นี่เขาจะทำเด็กร้องไห้เสียแล้ว

“ท่านพี่!”

หนานกงฉีเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนมากขึ้นเมื่อถูกเรียกว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เสด็จพ่อมีโอรสแปดคน และเขาก็เป็นโอรสคนที่หก ก่อนที่องค์ชายเจ็ดและแปดจะเกิด เป็นเขาที่ต้องเรียกคนอื่นว่าพี่ชายมาตลอด

ต่อมาองค์ชายเจ็ดและแปดถือกำเนิด แต่เด็กน้อยชอบร้องไห้งอแง เขาเองก็ไม่ได้โตขนาดที่จะใจเย็นกับเด็กที่เอาแต่ร้องไห้และเอะอะโวยวายได้ แม้จะได้เป็นพี่ชายแล้ว แต่กลับรู้สึกเฉย ๆ

แต่เมื่อถูกน้องสาวแปลกหน้าผู้นี้เรียกว่า “ท่านพี่” ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและเชื่อฟัง ความคิดอยากปกป้องนางที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจนี่มันคือสิ่งใดกัน?!

ไม่เอาน่า… หนานกงฉีเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยสาบานว่าเจอนางเมื่อใดจะจัดการสั่งสอนนางมิใช่หรือ?!

“ว่าอย่างไร?”

หลังจากดึงสติตนกลับมา หนานกงฉีเฉินก็จงใจมองนางด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง

เสี่ยวเป่ายืนถือปลาตัวใหญ่ ไม่เข้าไปใกล้ตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง เพียงส่งแววตาสดใสน่ามองมายังพี่ชาย

“ท่านพี่กินปลาหรือไม่เจ้าคะ?”

เสี่ยวเป่ายกปลาตัวใหญ่ในมือพลางยิ้มหวานจนตาหยี

“เสี่ยวเป่าจับปลาให้ท่านพ่อ แต่มันตัวใหญ่มาก แบ่งให้ท่านพี่กินด้วยก็ได้”

หนานกงฉีเฉินตกใจจนพูดไม่ออก “!!!”

อย่าคิด…อย่าคิดจะใช้ความใจดีเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่มาซื้อใจเขา

“ไม่กิน!”

เด็กชายผู้ดื้อรั้นยกมือกอดอก สะบัดหน้าหนี และพ่นคำพูดเย็นชาออกมา

เสี่ยวเป่ากลับไม่โกรธสักนิด ทั้งยังถามเขาเสียงเบาอีกว่า “ท่านพี่ชอบกินสิ่งใด?”

หนานกงฉีเฉินตั้งใจทำตัวก้าวร้าว “ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น!”

ในใจพลางคิดว่าข้าทำตัวร้ายกาจขนาดนี้แล้ว เจ้าเด็กโง่นั่นควรจะกลัวได้แล้ว

เขาลอบมองเสี่ยวเป่าเล็กน้อย ทว่าสายตากลับปะทะเข้ากับดวงตาสีดำใสดูงดงาม ทั้งใบหน้าขาวราวกับน้ำนม และแก้มป่อง ๆ ที่ดูนุ่มนิ่ม

มองแวบแรกก็รู้สึกว่ามันน่าบีบจริง ๆ

“แล้ว… ท่านพี่อยากกินเฉ่าเหมยหรือไม่ เฉ่าเหมยของเสี่ยวเป่ากำลังจะสุก ลูกที่ใหญ่และสวยที่สุดเป็นของท่านพ่อ ส่วนท่านอาเจ็ดก็อยากได้เหมือนกัน ท่านพี่ ท่านอยากได้หรือไม่?”

หนานกงฉีเฉินถูกดึงดูดด้วยคำพูดของนาง เฉ่าเหมยคือสิ่งใด? เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เสด็จพ่อและท่านอาเจ็ด เดี๋ยวนะ… เจ้าเด็กนี่เรียกเสด็จพ่อว่าอย่างไรนะ?

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า… ท่านพ่อ?”

เสี่ยวเป่าส่งเสียงตอบรับ

หนานกงฉีเฉินขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าจึงเรียกท่านพ่อ ไม่รู้กฎเกณฑ์ เจ้าต้องเรียกว่า ‘เสด็จพ่อ’ สิ!”

เสี่ยวเป่ามองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร “แต่ว่าเสี่ยวเป่าจะเรียกท่านพ่อ”

หนานกงฉีเฉินเห็นสายตาน่าสงสารของนางก็เริ่มใจอ่อน จากนั้นเขาก็พูดเสียงเบาลงโดยไม่รู้ตัว

“แล้วเสด็จพ่อไม่ห้ามหรือ?”

เจ้าก้อนแป้งส่ายหน้า “ไม่”

หนานกงฉีเฉิน “…”

เขาเริ่มสับสนเล็กน้อย มองเจ้าเด็กนี่พลางนึกถึงรูปลักษณ์ที่สง่างามและเย็นชาของท่านพ่อ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที

“เจ้ากล้าได้อย่างไร!”

เพียงประโยคเดียว เขายังใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันถึงกล้าพูดออกไป

 

เห็นเจ้าเด็กนี่ดูอ่อนแอไร้เดียงสาเช่นนั้น ที่จริงนางกล้าหาญกว่าเขาเสียอีก!

เสี่ยวเป่าพึมพำว่า “ท่านพ่อใจดี”

เด็กหญิงมองปลาในอ้อมแขนแล้วมองหน้าพี่ชาย

“ท่านพี่ ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่?”

“ไปที่ใด?”

ปลากำลังจะร่วง เสี่ยวเป่าจึงรีบตะโกนบอกแล้วกอดปลาในอ้อมแขนไว้แน่น

“ทำของอร่อยให้ท่านพ่อ!”

จากนั้นหนานกงฉีเฉินไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับตนเอง เขาตามเสี่ยวเป่ามาที่ห้องเครื่อง

“องค์หญิงน้อย! ทรงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? สวรรค์! ท่านไปจับปลาตัวใหญ่มาจากที่ใด!”

เสี่ยวเป่าเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “เสี่ยวเป่าจับเอง เอาไปทำของอร่อยให้ท่านพ่อ”

หนานกงฉีเฉินเห็นว่าเสี่ยวเป่าคุ้นเคยกับพ่อครัวเป็นอย่างดี เขารู้ได้ทันทีว่านางต้องมาที่นี่บ่อย ๆ เป็นแน่

ที่จริงแล้วนอกจากสวนเล็ก ๆ ของตน สถานที่โปรดของเสี่ยวเป่าก็คือห้องเครื่องแห่งนี้

เพราะที่นี่มีแต่ของอร่อย ๆ!

หลังจากส่งปลาให้พ่อครัวหลิว เสี่ยวเป่าก็ก้มมองเสื้อผ้าเปียก ๆ ของตน

ชุนสี่รีบพูดขึ้นทันที “องค์หญิงทิ้งปลาไว้ที่นี่ก่อน พออาหารเสร็จแล้วค่อยให้คนนำไปส่งก็ได้เพคะ เรากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะเพคะ”

เสี่ยวเป่าไม่ชอบความรู้สึกของเสื้อผ้าเปียกที่ติดอยู่ตามร่างกายจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“ก็ได้”

โชคดีที่ตอนนี้อากาศไม่หนาวมาก ไม่อย่างนั้นชุนสี่คงกังวลว่านางจะเป็นหวัด

แต่ขณะที่กำลังจะไป เสี่ยวเป่าก็หยิบขนมมากมายใส่ไว้ในกระเป๋าใบที่ยังสะอาด

ตอนนี้นางมีกระเป๋าอยู่สองใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าที่ปักลายดอกไม้แห่งชีวิตที่จู่ ๆ ก็โผล่มาใต้หมอนในวันนั้น

ตอนนี้ข้างในว่างเปล่า เพราะหลังจากหยิบเมล็ดเฉ่าเหมยถุงเล็ก ๆ ออกมา ก็ไม่มีสิ่งใดอีก แต่เสี่ยวเป่าลังเลที่จะทิ้งกระเป๋าใบเล็กนี้

อีกถุงค่อนข้างใหญ่ เป็นถุงที่ชุนสี่และคนอื่น ๆ ทำขึ้นเป็นพิเศษเอาไว้ใส่ของว่างสำหรับเสี่ยวเป่า เมื่อของว่างข้างในหมด คนตัวเล็กก็จะมาที่ห้องเครื่องเพื่อเติมของกินให้เต็ม

นางพกถุงสองใบนี้ตลอดเวลา ตอนนี้เสี่ยวเป่าตบถุงที่เต็มไปด้วยขนม แล้ววิ่งหาหนานกงฉีเฉิน

“ท่านพี่ เราไปกันเถอะ ของอร่อยนี้ให้ท่าน”

หนานกงฉีเฉินพูดอย่างรังเกียจ “ข้าไม่อยากกินของพวกนี้ ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว”

แต่สุดท้ายเด็กชายก็ยังไปที่ตำหนักฉินเจิ้งกับเสี่ยวเป่าด้วยความเต็มใจ

ท่านพ่อยังไม่กลับจากราชกิจ เสี่ยวเปาเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดสีเหลืองสดใส น่ารักบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้อง

ผิวนางขาวจนสะท้อนแสงได้ในเวลากลางวัน ทั้งตัวหุ้มด้วยเนื้อนุ่ม ๆ ทำให้เจ้าก้อนแป้งนี้ดูนุ่มนิ่มจนใคร ๆ ก็อยากจะคลอเคลีย

นางสวมชุดกระโปรงตัวเล็กวิ่งออกไป ก่อนจะหยุดอยู่ไม่ไกลจากเด็กชาย เงยหน้าขึ้นถามเสียงแผ่วว่า

“ท่านพี่ ๆ เสี่ยวเป่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ข้าอยู่ใกล้ ๆ ท่านได้หรือยัง?”

จะว่าไปนางก็ดูเชื่อฟังดีเหมือนกันนะ