บทที่ 30 กินขนมกับพี่ชาย (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

ตอนที่ 30 กินขนมกับพี่ชาย (รีไรท์)

ตอนที่ 30 กินขนมกับพี่ชาย (รีไรท์)

หนานกงฉีเฉินถูกความน่ารักตกเข้าให้แล้ว ใช่แล้ว! นางคือน้องสาวของเขา!

ยิ่งเห็นว่านางดูชอบตนเองมาก หนานกงฉีเฉินก็อดปลื้มปริ่มไม่ได้ ที่แท้เขาดูน่าสนใจขนาดนี้เลยหรือ?

เด็กชายเก็บอาการด้วยการเอามือไพล่หลังไว้แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

“เห็นแก่ว่าเจ้าชอบข้าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็เข้ามาเถอะ”

เสี่ยวเป่ายกยิ้มดีใจจนเห็นฟันซี่เล็กที่ขาวสะอาด นางเดินเตาะแตะเข้าไปนั่งข้างเด็กชายอย่างเชื่อฟัง

“ท่านพี่กินสิ่งนี้หรือไม่เจ้าคะ นี่เป็นแป้งทอดที่อร่อยมากเลยนะ มีขนมถั่วหอม ๆ กรอบ ๆ ด้วยนะ”

เจ้าก้อนแป้งเข้าไปนั่งข้าง ๆ พี่ชาย ก่อนจะหยิบบรรดาของว่างออกมาแบ่งปันอย่างเอื้อเฟื้อ

หนานกงฉีเฉินกำลังจะกินของว่างที่เจ้าก้อนแป้งส่งมาให้ แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เหมือนว่าเขาจะเกิดปัญหาแล้วล่ะ เขาตามเจ้าเด็กนี่ไปที่นั่นที่นี่อย่างไม่มีเหตุผล ตอนนี้เขายังมาอยู่ในอาณาเขตของนางอีก

แถมยังยอมรับนางเป็นน้องสาวและรับขนมจากนางด้วย

หนานกงฉีเฉิน “…”

“ท่านพี่?”

นางชะโงกหน้ามาดูด้วยความสงสัย ทั้งยังยื่นขนมถั่วกวนมาให้เขา

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าเล็ก ๆ ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู หนานกงฉีเฉินก็หลงลืมสิ่งที่กำลังคิดไปทันที

ถ้าอย่างนั้น…เขาที่โตขนาดนี้แล้ว ต้องเป็นสุภาพบุรุษเช่นใดกันถึงรังแกเด็กสามขวบได้ลงคอ!

“เจ้าก็กินนี่ด้วยสิ”

หนานกงฉีเฉินหยิบขนมกุ้ยฮวายื่นไปตรงหน้าเจ้าก้อนแป้ง

เสี่ยวเป่ามองตาปริบ ๆ แววตาสุกใสราวกับดาวดวงน้อย แต่ก็ยอมอ้าปากงับขนมที่อีกคนยื่นมาคำเล็ก ๆ

ท่าทางยามกินขนมของนางนั้นดูจริงจังมาก แก้มนุ่มนิ่มพองออกเหมือนถุงสีขาวใบเล็กที่ดูน่ารักสองใบ

หนานกงฉีเฉินไม่อาจละสายตาได้ เขาคอยป้อนขนมให้นาง ในใจลึก ๆ รู้สึกพอใจกับการทำหน้าที่พี่ชาย

“ท่านพี่ เสี่ยวเป่ากินไม่ไหวแล้ว”

เสี่ยวเป่าหันหน้าหนีพลางใช้มือปฏิเสธ

หนานกงฉีเฉินหยุดป้อนนาง แล้วใช้นิ้วจิ้มที่แก้มป่องพอง

เกิดเป็นลักยิ้มเล็ก ๆ ให้เห็น แต่ทันทีที่เขาเอานิ้วออก เนื้อนุ่มก็เด้งกลับขึ้นมาดังเดิม

หนานกงฉีเฉิน “!!!”

เหตุใดถึงนุ่มนิ่มเพียงนี้!

เสี่ยวเป่าหันมองเขาด้วยดวงตากลมโต โดยที่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา

หนานกงฉีเฉินชักมือกลับอย่างรู้สึกผิด

“เอ่อ… เจ้าอิ่มแล้วหรือ?”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว และตอบเสียงแผ่ว “ถ้าท่านพ่อกลับมา เสี่ยวเป่าต้องกินข้าวกับท่านพ่อ ถ้าไม่กินท่านพ่อจะโกรธ”

มีอยู่ครั้งหนึ่งนางเผลอกินของว่างจนอิ่ม พอถึงยามที่ต้องกินข้าวก็ยังอิ่มจนกินไม่ไหว ท่านพ่อโมโหจนชุนสี่และคนอื่น ๆ กลัวแทบตาย

สุดท้ายเสี่ยวเป่าก็ต้องเข้าไปอ้อนและสัญญาว่าจะไม่กินของว่างจนอิ่มอีก สีหน้าของท่านพ่อถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย

แต่ว่า…

เสี่ยวเป่าก็ยังถูกลงโทษไม่ให้กินของว่างตั้งสามวัน

หนานกงฉีเฉินคิ้วขมวด “เหตุใดเสด็จพ่อต้องยุ่งกับการกินของเจ้าด้วย”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ เจ้าตัวยังอยากป้อนขนมเจ้าก้อนแป้งต่อ เพราะพอใจที่ได้เห็นเสี่ยวเป่ากินขนมจนแก้มป่อง

“ท่านพ่อหวังดีต่อเสี่ยวเป่า ถ้ากินขนมมากไปเสี่ยวเป่าจะไม่สูง”

เจ้าก้อนแป้งยังคงปกป้องท่านพ่อของนางเป็นอย่างดี

ขณะที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยกัน ชุนสี่ก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำขิง

“องค์หญิงดื่มน้ำขิงสักหน่อยนะเพคะ เมื่อครู่ท่านเปียกไปทั้งตัว อาจทรงเป็นหวัดได้นะเพคะ”

เสี่ยวเป่ารีบหันไปส่งสายตาน่าสงสารให้ชุนสี่ “ชุนสี่ ข้าไม่ดื่มได้หรือไม่?”

ชุนสี่ที่เอ็นดูองค์หญิงน้อยมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพลันใจอ่อนลงเมื่อสบตาเข้ากับสายตาน่าสงสารของนาง แต่ว่า…

“ไม่ได้เพคะองค์หญิง ถ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะยิ่งลำบากนะเพคะ”

สุดท้ายเสี่ยวเป่าก็ยอมดื่มมันแต่โดยดี ทันทีที่น้ำขิงหมดถ้วย พุทราเชื่อมก็ถูกยัดใส่มือ นางจึงนำมันเข้าปากอย่างรวดเร็ว

“ก็แค่น้ำขิง เหตุใดต้องทำหน้าเช่นนั้น”

หนานกงฉีเฉินปากอย่างใจอย่าง ซ้ำยังยัดพุทราเชื่อมอีกอันใส่มือนาง

เสี่ยวเป่าส่งยิ้มน้อย ๆ ให้เขา “ขอบคุณท่านพี่…”

เด็กชายรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่ผิวขาวเนียนกลับเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาได้แต่กลบเกลื่อนด้วยการบอกว่าที่นี่ร้อน

เสี่ยวเป่ารีบคว้ามือพี่ชายแล้วพาวิ่งไปทางสวนผักขนาดเล็กของนาง

“ท่านพี่ ๆ ไปดูสวนผักของเสี่ยวเป่ากันเถอะ”

เด็กชายที่เพิ่งโดนมือนุ่มนิ่มจับไม่ทันตั้งตัว ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะยอมเดินงุ่มง่ามตามหลังนางไป

“สวนผักมีสิ่งใดน่าสนใจกัน”

เขายังคงทำหน้าเย่อหยิ่งดังเดิม แต่ก็ยอมเดินตามนางไปแต่โดยดี

ผ่านไปเพียงครึ่งเดือน สวนผักเล็ก ๆ ของนางก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะทีเดียว

ก่อนหน้านี้ต้นกล้าผักอยู่ในช่วงกำลังโตจึงดูบางตา ดินในสวนก็ดูไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก

แต่ยามนี้ต้นกล้าต้นเล็กเหล่านั้นกลับสูงขึ้นเกือบเท่าเสี่ยวเป่าแล้ว

ผักกาดขาวต้นน้อยก็โตพร้อมทานแล้ว ผักสีเขียวชอุ่มแตกกิ่งชูใบ สีสันสดใสใบดกเต็มต้น

เพียงแต่ยังโตไม่เต็มที่เท่าผักกาดขาว

มะเขือเทศเป็นพืชเถาจึงเติบโตช้ากว่าผักชนิดอื่น มันถูกมัดติดกับลำที่ทำจากไม้ไผ่ ทั้งป็นระเบียบและดูสวยงาม

ใบต้นหูหลัวปัวก็เติบโตขึ้นมาก แต่ก็ยังดูเป็นระเบียบดี

ต้นหอมกับต้นกุยช่ายตรงริมรั้วก็เติบโตได้ดีเช่นกัน เสี่ยวเป่าใช้ทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์จริง ๆ

สวนผักล้อมรอบด้วยรั้วไม้ดูสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก บรรยากาศสดชื่นให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ชนบท

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่ดอกไม้ แต่ดูรวม ๆ แล้วมันก็ทั้งเป็นระเบียบและดูสบายตา

หนานกงฉีเฉินไม่เคยรู้มาก่อนว่านอกจากดอกไม้สีสันสดใสแล้ว สวนในวังหลวงยังสามารถปลูกสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย!

“แล้วนั่น…นั่นคือผักชนิดใด?”

หนานกงฉีเฉินตกตะลึกกับสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

เสี่ยวเป่ามองตามเข้าไปในสวนผักเล็ก ๆ ของตน จากนั้นหางก็ยกสูง*[1] ขึ้นเกือบถึงฟ้า

“พวกนั้นเป็นต้นไม้ของเสี่ยวเป่าเอง เดี๋ยวข้าพาท่านพี่ไปดูต้นเฉ่าเหมยนะ”

นางพูดพลางลากอีกคนเข้าไปในทุ่งเฉ่าเหมย

ต้นเฉ่าเหมยเติบโตขึ้นมาก แต่ยังคงความเป็นระเบียบ ต้นของมันแตกกิ่งก้านและเต็มไปด้วยใบเขียวชอุ่มจนต้นดูใหญ่เป็นพิเศษ อีกไม่นานดอกก็คงบานสะพรั่ง

เมล็ดของต้นเฉ่าเหมยนั้นได้รับการเพาะพันธุ์อย่างดีจากภูตพฤกษา จึงเติบโตได้ดีกว่าผักชนิดอื่น

มันเกือบจะกลายเป็นต้นเฉ่าเหมยที่สมบูรณ์แล้ว แค่ต้องรอให้มันออกผลก่อน เมื่อถึงยามที่ผลเต็มต้น มันจะต้องดูสวยงามมาก ๆ แน่

เสี่ยวเป่าพูดปร๋อ บรรยายรสชาติของเฉ่าเหมยให้พี่ชายฟังว่ามันอร่อยเพียงใด จนหนานกงฉีเฉินน้ำลายไหล

เมื่อหนานกงสือเยวียนกลับมาถึง สิ่งที่เขาเห็นคือ หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวเล็กกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างแปลงเฉ่าเหมย พูดคุยกันเสียงเจื้อยแจ้ว

เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยดูมีความสุขมาก ดวงตาสดใสราวกับแสงแดด ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาจากใจจริง

ภาพตรงหน้าดูสนิทสนมและอบอุ่นเสียจนหนานกงสือเยวียนตกอยู่ในภวังค์

เขาอุตส่าห์แอบเข้ามาเงียบ ๆ แต่ดูเหมือนเสี่ยวเป่าจะติดสัญญาณตรวจจับเขาเอาไว้ เมื่อหนานกงสือเยวียนก้าวเข้ามานางก็เงยหน้าขึ้นทันที

ทันใดนั้นดวงตาของเด็กน้อยก็เปล่งประกาย

“ท่านพ่อ!”

[1] ยกหาง หมายถึง ตื่นเต้น ดีใจ